6 พันล้านเหรียญถือว่าคุ้ม Josh Harris ทุ่มทุนซื้อทีมอเมริกันฟุตบอล - Forbes Thailand

6 พันล้านเหรียญถือว่าคุ้ม Josh Harris ทุ่มทุนซื้อทีมอเมริกันฟุตบอล

FORBES THAILAND / ADMIN
27 Jan 2025 | 09:00 AM
READ 145

ชาว Wall Street มองว่าการลงทุนที่ไร้ความเสี่ยงนั้นเปรียบเสมือนจอกศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้น จะให้จ่ายเท่าไรเพื่อซื้อทีม NFL ก็ถือว่าไม่แพง และตอนนี้พวกเจ้าของบริษัทไพรเวทอิควิตี้ ก็ลงสนามมาพร้อมเงินกองเป็นภูเขาโดยไม่มีอะไรจะเสีย เช่นเดียวกับ Josh Harris เศรษฐีพันล้านที่ทุ่มเงินไปกว่า 6 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ เพื่อเป็นเจ้าของทีม Washington Commanders


    ระหว่างที่แฟนเหนียวแน่น 63,000 คนหลั่งไหลเข้ามาในสนาม Raymond James Stadium ที่เมือง Tampa รัฐ Florida เพื่อชมการแข่งเปิดฤดูกาลระหว่างทีม Buccaneers กับ Washington Commanders เศรษฐีพันล้าน Josh Harris วัย 59 ปี เจ้าของคนใหม่ผู้ควบคุมทีม Washington Commanders ก็สัมผัสได้ถึงอากาศร้อน 90 องศาฟาเรนไฮต์ยามบ่ายของต้นเดือนกันยายน 2024 เขายิ้มแย้มจับมือทักทายผู้คน โพสท่าถ่ายรูป และแจกลายเซ็นบนหมวกของแฟนๆ ทีม Commanders ที่สวดมนต์ขอให้ชนะในฤดูกาลนี้ (ทีมชนะครั้งสุดท้ายเมื่อปี 2016)

    ในช่วงที่ Harris เริ่มเข้ามาคุมทีมเขาต้องเสี่ยงหลายอย่าง เขาทุ่มเงิน 6 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ประมูลซื้อทีม Commanders มาในปีที่แล้ว โดยเอาชนะผู้สนใจรายอื่นอย่าง Jeff Bezos กับ Tilman Fertitta ปิดฉากยุคสมัยอันอื้อฉาวของ Daniel Snyder และทำสถิติซื้อทีม NFL ด้วยราคาสูงที่สุด Harris ทำข้อตกลงนี้สำเร็จด้วยการตั้งกลุ่มเจ้าของร่วมจำนวน 23 คน ซึ่งมีทั้ง David Blitzer ผู้บริหารระดับสูงของ Blackstone ที่ลงทุนในกีฬาอื่นๆ ผ่านบริษัท Harris Blitzer Sports & Entertainment ร่วมกับเขา Magic Johnson ตำนาน NBA เศรษฐีพันล้าน Mitch Rales (Danaher Corp.) และ Eric Schmidt อดีตซีอีโอของ Google 

    Harris ไม่ได้รื้อทีมขนานใหญ่ทันทีที่การซื้อขายเสร็จสิ้นเมื่อเดือนกรกฎาคม ปี 2023 แต่หลังจากทีมทำผลงานน่าผิดหวังในฤดูกาลนี้ด้วยการชนะ 4 นัด แพ้ 13 นัด เขาก็เก็บกวาดบ้านและจ้างคนใหม่ๆ ทั้งหัวหน้าโค้ช ผู้จัดการทั่วไป และควอเตอร์แบ็กมือรางวัล Heisman Trophy ชื่อ Jayden Daniels ซึ่งมีคะแนนเป็นอันดับ 2 ในงานคัดเลือกนักฟุตบอลอาชีพช่วงฤดูใบไม้ผลิปีนี้


    เด็กคนหนึ่งที่โตมาในชุมชน Chevy Chase รัฐ Maryland เห็นพ่อแม่ต้องลงชื่อรอคิวให้มีคนสละตั๋วเสียก่อนจึงจะมีโอกาสเข้าชมการแข่งในฤดูกาลของทีม Commanders (ชื่อเดิมว่า Washington Redskins) ในสนามประวัติศาสตร์ RFK Stadium หลังจากเห็นแบบนี้มา 25 ปี การซื้อทีมนี้จึงเป็นฝันที่เป็นจริง และมันยังเป็นการลงทุนที่เหมาะกับพอร์ตโฟลิโอทีมกีฬาของบริษัทไพรเวทอิควิตี้ยักษ์ใหญ่ของเขาด้วย ในพอร์ตนี้มีทีมเบสบอล Philadelphia 76ers ทีมฮอกกี้ New Jersey Devils ในลีก NHL สโมสรฟุตบอล Crystal Palace ของอังกฤษ และทีม Joe Gibbs Racing จากรายการแข่งรถ Nascar

    ในไม่ช้าก็น่าจะมีเหล่าพี่น้องนักซื้อกิจการมาร่วมชมรมสุดพิเศษเพื่อเป็นเจ้าของทีม NFL เหมือน Harris กันมากขึ้น เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา NFL กลายเป็นลีกอาชีพลีกใหญ่รายสุดท้ายที่เปิดประตูรับบริษัทไพรเวทอิควิตี้ โดยบรรดาเจ้าของทีมลงคะแนนเสียง 31 ต่อ 1 (มีเพียงตระกูล Brown แห่งเมือง Cincinnati โหวตคัดค้าน) เพื่อเปิดทางให้กลุ่มบริษัทที่ได้รับอนุมัติเข้ามาถือหุ้นในแต่ละทีมได้ไม่เกิน 10% โดยมีกฎข้อบังคับอื่นๆ เช่น ต้องถือหุ้นไม่ต่ำกว่า 6 ปี ซึ่งถือเป็นความเปลี่ยนแปลงที่สำคัญสำหรับลีกนี้ เพราะมูลค่าของทีมต่างๆ พุ่งไปถึงระดับหลายพันล้านเหรียญ จนทำให้กลุ่มผู้มีศักยภาพพอจะมาซื้อทีมได้นั้นเหลืออยู่น้อยเต็มที

    แม้กระทั่ง Harris ผู้มีทรัพย์สินประมาณ 9.3 พันล้านเหรียญก็ยังเป็นห่วงว่าการซื้อทีมอเมริกันฟุตบอลอาชีพจะกลายเป็นเรื่องไกลเกินเอื้อมในไม่ช้า ตอนที่เจ้าพ่อเฮดจ์ฟันด์ David Tepper ซื้อทีม Carolina Panthers ในปี 2018 ด้วยราคา  2.3 พันล้านเหรียญนั้น มันเป็นราคาสูงสุดเท่าที่มีการซื้อทีม NFL มา และไม่มีการขายทีมใดอีกจนกระทั่งทายาทของ Pat Bowlen ประกาศขายทีม Denver Broncos ในปี 2022  Harris จึงตั้งกลุ่มมายื่นประมูล แต่ก็แพ้กลุ่มที่นำโดยตระกูล Walton ซึ่งทุ่มเงินก้อนมหึมาถึง 4.7 พันล้านเหรียญ หรือมากเป็นเท่าตัวของราคาที่ Tepper เคยจ่าย

    “ถ้าดูทิศทางราคาของ NFL แล้ว รวยระดับ Forbes 400 ก็อย่าหวัง” Harris กล่าว “คุณต้องรวยระดับ Forbes 50”

    การเชิญ Wall Street มาร่วมปาร์ตี้กับ NFL ถือเป็นตัวเปลี่ยนเกม กองทุนไพรเวทอิควิตี้ 8 รายที่ NFL ยอมรับนั้นมีทั้ง Blackstone, Carlyle, Arctos และ Ares Management ซึ่งปัจจุบันมีเงินทุนสำรองส่วนเกิน 1.6 แสนล้านเหรียญ อำนาจการยิงที่ล้นเหลือเช่นนี้จะช่วยให้มูลค่าของทีมต่างๆ ที่ Forbes คำนวณว่าเพิ่มขึ้นมากกว่า 60% ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมายังคงเพิ่มขึ้นต่อไปได้  อันที่จริงแล้วแค่ไม่ถึง 2 สัปดาห์หลังจาก NFL เปลี่ยนกฎการเป็นเจ้าของทีมไปหมาดๆ Arctos ก็เริ่มคุยกับ Stephen Ross เจ้าของทีม Miami Dolphins เพื่อขอซื้อหุ้นในทีมนี้ โดยจะประเมินมูลค่าทีมให้มากกว่า 7 พันล้านเหรียญ

    สำหรับบริษัทไพรเวทอิควิตี้อย่าง Arctos แล้ว เรื่องนี้ไม่ต้องคิดนาน เพราะทีม NFL มีหนี้ต่ำมากแต่ทำเงินได้มหาศาลจากค่าลิขสิทธิ์สื่อ จึงแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะขาดทุนไม่ว่าทีมจะแข่งชนะหรือแพ้  ตั้งแต่ปี 2000 เป็นต้นมาทีม NFL ทำกำไรแซงหน้าสินทรัพย์อื่นๆ ไปลิ่วเกือบทุกอย่าง ไม่ว่าหุ้น อสังหาริมทรัพย์ พันธบัตร หรือกองทุนไพรเวทอิควิตี้เองด้วย (อ่านล้อมกรอบ “สนามเด็กเล่นของเศรษฐีพันล้าน”) และถ้าปรับค่าความเสี่ยงด้วย ตัวเลขก็จะยิ่งสวยขึ้นไปอีก

    “วงการธุรกิจให้เกรดคุณจากกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษีเงินได้ ค่าเสื่อมราคา และค่าใช้จ่ายตัดบัญชี (EBITDA) ราคาหุ้น และกระแสเงินสด” Harris กล่าว “ส่วนวงการกีฬาให้เกรดคุณจากการสร้างความทรงจำดีๆ”

    Joshua Harris เป็นลูกคนโตของทันตแพทย์จัดฟันซึ่งเป็นอดีตนักกีฬาพายเรือสมัยเรียนที่ University of Pennsylvania ในยุค 1950 และตัวเขาเองก็อุทิศตนให้กีฬามาตลอดชีวิต สมัยเด็กเขาเล่นเบสบอลกับซ็อคเกอร์ใน Little League ที่รัฐ Maryland และเมื่ออายุ 9 ขวบเขาได้พบรักแท้คือกีฬามวยปล้ำหลังจากที่ชนะการแข่งทัวร์นาเมนต์ในค่ายฤดูร้อน จากนั้นเขาก็แข่งขันมวยปล้ำอย่างจริงจังมาตลอดช่วงเรียนมัธยมปลายที่ Field School ใน D.C. และช่วงเรียนมหาวิทยาลัยที่ Penn โดยลงแข่งเป็นตัวแทนของชาว Quakers ในรุ่นน้ำหนัก 118 ปอนด์

    หลังจากเรียนวิชาเศรษฐศาสตร์ได้ดีเยี่ยมในมหาวิทยาลัยปีแรกเขาจึงขอย้ายคณะไปเรียนที่วิทยาลัยธุรกิจ Wharton School แทน แล้วเขาก็ทำเหมือนอีกหลายคนที่เรียนจบจากคณะนี้ในยุคประธานาธิบดี Reagan ด้วยการมุ่งหน้าสู่ Wall Street เขาได้งานที่ Drexel Burnham Lambert ในช่วงที่ Wall Street กำลังผลกำไรอู้ฟู่ด้วยตราสารหนี้ขยะของ Michael Milken โดยทำงานในฝ่ายควบรวมกิจการที่สำนักงานใน New York อยู่ 2 ปีภายใต้การชี้แนะของ Leon Black มือขวาของ Milken ในช่วงเวลาไม่นานที่ Harris ทำงานอยู่ที่ Drexel นั้น ธนาคารก็กลายเป็นข่าวพาดหัวเพราะไปมีส่วนพัวพันกับคดีอื้อฉาวของ Ivan Boesky ที่ซื้อขายหุ้นโดยใช้ข้อมูลภายใน ทำให้ธุรกิจของ Milken ถูกสืบสวนโดย ก.ล.ต. และสำนักงานอัยการของสหรัฐฯ Harris ลาออกในปี 1988 เพื่อไปเรียนปริญญาโทบริหารธุรกิจที่ Harvard และได้งานที่ Blackstone ในปี 1990 แต่แค่ 2 เดือนต่อมาเขาก็ลาออกเพื่อไปทำงานกับ Leon Black และ Marc Rowan ซึ่งอพยพจาก Drexel ที่ล้มละลายออกมาก่อตั้ง Apollo Advisors

    ทั้ง 3 คนใช้เวลา 30 ปีต่อมาปั้น Apollo จนกลายเป็นหนึ่งในบริษัทไพรเวทอิควิตี้ใหญ่ที่สุดของโลกซึ่งบริหารสินทรัพย์ 7 แสนล้านเหรียญในปัจจุบัน  Harris ขึ้นชื่อเรื่องเป็นคนมาตรฐานสูงและหมกมุ่นกับรายละเอียด การทำข้อตกลงธุรกิจที่สร้างชื่อเสียงให้เขามากที่สุดคือ การเข้าซื้อกิจการผู้ผลิตเคมีภัณฑ์สัญชาติดัตช์ LyondellBasell ในปี 2008 โดยใช้ประโยชน์จากหนี้ 2 พันล้านเหรียญที่บริษัทนี้ผิดนัดชำระกับธนาคาร หลังจากเขาพาบริษัทนี้ฝ่าภาวะล้มละลายอันยาวนานและทำการเสนอขายหุ้น IPO ในปี 2010 Harris กับหุ้นส่วนก็ทำกำไรได้ 1 หมื่นล้านเหรียญเมื่อพวกเขาขายหุ้นทั้งหมดไปในปี 2013 ต่อมา Black เสียชื่อเนื่องจากเขาสนิทกับ Jeffrey Epstein นักการเงินที่กลายเป็นข่าวฉาว โดยที่ Black เคยจ่ายเงิน 158 ล้านเหรียญจ้าง Epstein ให้ช่วยวางแผนภาษีและมรดก และเมื่อ Black ถูกกดดันให้สละตำแหน่งในปี 2021 คณะกรรมการบริษัทของ Apollo เลือก Rowan มาเป็นซีอีโอคนใหม่โดยไม่เลือก Harris

    Harris ลาออกในปีนั้นแต่ไม่ได้หายไปจากวงการไพรเวทอิควิตี้นาน เขาเปิดบริษัท 26North ในปี 2022 และสร้างบริษัทมาจนมีสินทรัพย์ 2.3 หมื่นล้านเหรียญ บริษัทนี้ประกาศเข้าซื้อกิจการแรกคือ ArchKey ผู้รับเหมาทำระบบไฟฟ้าสำหรับอาคารพาณิชย์เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมาด้วยราคากว่า 1 พันล้านเหรียญ

    “การจะสร้างผลตอบแทนให้เหนือกว่าตลาดเป็นเรื่องยากขึ้นสำหรับพอร์ตที่ใหญ่เกิน 5 แสนล้านหรือ 1 ล้านล้านเหรียญ ผมเลยอยากกลับคืนสู่สามัญ” เขากล่าว “ผมอยากกลับไปทำสิ่งที่ผมเคยทำสมัยที่ Apollo ยังเล็กกว่านี้เยอะ”

    ถ้าเรามองย้อนกลับไปในอดีตก็มักจะเข้าใจได้ง่ายว่าอะไรคือเหตุผลให้สินทรัพย์สักประเภทเฟื่องฟูขึ้นมา แต่ในตอนที่ Harris เริ่มสนใจการซื้อทีมกีฬานั้นเป็นช่วงหลังจาก Apollo เสนอขายหุ้น IPO ในปี 2011 ซึ่งช่วยให้เศรษฐีพันล้านคนนี้ได้สภาพคล่องเพิ่มมาใหม่ ในตอนนั้นยังไม่มีอะไรรับประกันได้เลยว่ามูลค่าของทีมกีฬาจะเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ และปีนั้นก็เป็นปีที่ NBA เจอศึกหนักเป็นพิเศษเพราะต้องแก้ปัญหาขัดแย้งเรื่องส่วนแบ่งรายได้กับสหภาพนักกีฬา ซึ่งลุกลามจนมีการปิดสนามยาวนานถึง 5 เดือน ทำให้ฤดูกาลแข่งขันในปี 2011-12 สั้นลง

    Harris กับ Blitzer วาณิชธนากรแห่ง Blackstone ซึ่งเขาเริ่มผูกมิตรด้วยตั้งแต่ตอนไปทำงานที่ London ระหว่างเกิดวิกฤตการณ์ด้านการเงินจึงดึงกลยุทธ์จากงานประจำมาใช้ด้วยการตั้งบริษัทลูกเพื่อนำเงิน 280 ล้านเหรียญมาซื้อทีมร่วมกันกับกลุ่มนักลงทุนที่ส่วนใหญ่เป็นศิษย์เก่า Penn และชาวเมือง Philadelphia ที่ยังจดจำยุครุ่งโรจน์ของทีม Sixers ในทศวรรษ 1980 ได้

    หลังจากซื้อทีมแล้ว Harris ก็คิดหาทางช่วยทีมให้หลุดพ้นจากการเป็นทีมครึ่งๆ กลางๆ โดยปล่อยให้ทีมแย่ลงเสียก่อน เขาคุมแผนการปั้นทีมใหม่ด้วยการเอานักกีฬาหน้าเก่าไปแลกกับเด็กใหม่ที่ดูมีอนาคต และพยายามทำให้ทีมได้สิทธิ์เลือกผู้เล่นหน้าใหม่เข้ามาเยอะๆ ด้วยการจงใจเล่นห่วยในสนาม ช่วงเวลาอันมืดมนนั้นทำให้แฟนๆ ต้องคิดคำพูดปลุกใจที่ชวนหดหู่เอามาสวดซ้ำๆ ในระหว่างแข่งว่า “ต้องเชื่อในกระบวนการ”

    โชคไม่ดีที่ช่วงปั้นทีมกินเวลานานกว่าที่ Harris คิดไว้ ทีมนี้แพ้รวด 5 ฤดูกาลตั้งแต่ปี 2012-2017 แต่ในที่สุดแผนของเขาก็ได้ผล ทีมของชาว Philly ทีมนี้ได้เข้ารอบเพลย์ออฟทุกปีตลอดช่วง 7 ปีที่ผ่านมา และแฟนๆ ก็กลับเข้ามาในสนามอย่างคับคั่งจนตั๋วขายหมดทุกเกมมาตั้งแต่ปี 2017

    “ตอนนี้ Sixers ติดกลุ่ม top-quartile (7 ทีมแรก) ของ NBA ชาว Philadelphia สนใจกีฬา พวกเขาใจสู้และคาดหวังสูงด้วย” Harris กล่าว “และทีม Washington ก็ติดกลุ่ม top-quartile (8 ทีมแรก) ของ NFL ด้วย ถ้าคุณปั้นทีมถูกวิธีก็มั่นใจได้เลยว่าคุณทำเงินจากทีมพวกนี้ได้”

    นี่คือเหตุผลว่าทำไมเขาถึงไม่ถอยเมื่อเห็นราคาขายทีม NFL  ลีกนี้ทำเงินได้ปีละประมาณ 1 หมื่นล้านเหรียญจากสัญญาให้ลิขสิทธิ์สื่อ ซึ่ง Harris คาดว่าตัวเลขจะสูงขึ้นอีกมากเมื่อมีการเจรจาต่อรองกันอีกครั้งหลังจากจบฤดูกาลแข่งปี 2028-29  ข้อมูลของ Nielsen ชี้ว่า รายการโทรทัศน์ที่มีผู้ชมมากที่สุด 93 รายการจาก 100 รายการในปี 2023 คือ การแข่งขันของ NFL 

    และ 3 ใน 7 รายการที่เหลือคือ การแข่งขันอเมริกันฟุตบอลระดับมหาวิทยาลัย ปีที่แล้วมีผู้ชมเฉลี่ย 17.9 ล้านคนรับชมการแข่งทั่วไปในช่วงฤดูกาลปกติ และมีผู้ชมมากเป็นประวัติการณ์ถึง 120 ล้านคนรับชมการแข่งขัน Super Bowl LVIII  เมื่อเทียบกันแล้วการแข่งขันของ NBA นัดที่ถ่ายทอดทางโทรทัศน์ทั่วประเทศมีผู้ชมเฉลี่ย 1.6 ล้านคน แต่ NBA ก็ยังได้เซ็นสัญญา 11 ปีมูลค่าถึง 7.6 หมื่นล้านเหรียญกับสถานีโทรทัศน์เมื่อเดือนกรกฎาคมเพื่อจะถ่ายทอดลีกนี้ไปจนถึงปี 2036


    “ถ้าเศรษฐกิจถดถอย บริษัทเคมีภัณฑ์หรือเหล็กกล้าอย่างที่ผมเคยลงทุนจะถูกกระทบ” Harris กล่าว “แต่ใน NFL รายได้ส่วนใหญ่ 70% เป็นเงินที่ได้มาตามสัญญา อีก 30% อาจจะกระทบนิดหน่อยแต่ก็เป็นคนละส่วนกัน”

    National Hockey League อาจจะไม่ได้มีกำไรแน่นอนเท่านี้ แต่มูลค่าประเมินทีมก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน ปัจจุบันทีม New Jersey Devils ของ Harris มีมูลค่า 1.45 พันล้านเหรียญ เพิ่มขึ้น 4.5 เท่าจากราคาที่เขาซื้อมา 320 ล้านเหรียญในปี 2013 และพวกเจ้าของทีม NBA ก็ยิ่งได้มูลค่าสูงกว่านี้ โดย Forbes ประเมินว่า ปัจจุบันทีม 76ers มีมูลค่า 4.3 พันล้านเหรียญ คิดเป็น 15 เท่าของราคาที่กลุ่มของ Harris ซื้อมา

    แต่ Harris ไม่ได้นั่งรอดูเงินงอกเงยอยู่เฉยๆ เขายังลงทุนอีกกว่า 75 ล้านเหรียญเพื่อปรับปรุงร้านขายของ ลานจอดรถ และห้องสวีตหรูในสนาม Northwest Stadium ของทีม Washington ด้วย สนามนี้เพิ่งเปลี่ยนมาใช้ชื่อใหม่หลังจาก Northwest Federal Credit Union ทำข้อตกลงจะจ่ายเงินสนับสนุนให้ทีม Commanders ประมาณ 8 ล้านเหรียญต่อปี ซึ่งทำให้ได้สิทธิตั้งชื่อสนาม

    ในระยะยาว Harris อยากสร้างสนามใหม่แทนที่สนามเก่าปุปะอายุ 27 ปีแห่งนี้ สภาผู้แทนราษฎรผ่านร่างกฎหมายแล้วในปี 2024 เพื่อโอนสิทธิความเป็นเจ้าของสนาม RFK Stadium เดิมซึ่งปัจจุบันจัดการเกลี่ยพื้นที่แล้วเพื่อเตรียมทำลาย โดยโอนจากสำนักอุทยานแห่งชาติไปเป็นของ District of Columbia  และถ้าวุฒิสภาผ่านร่างกฎหมายนี้ก็จะเป็นการเปิดประตูให้ Harris สร้างสนามใหม่แทนที่สนามเดิมซึ่งเขาเคยมาดูการแข่งเมื่อสมัยเด็ก

    Harris ยังทำงานจากวงในอีกด้วย เขาร่วมเป็นสมาชิกคณะกรรมการพิเศษของ NFL ซึ่งวางนโยบายในอนาคตสำหรับการให้บริษัทไพรเวทอิควิตี้เข้ามาเป็นเจ้าของทีม “เขาจะช่วยเราได้มากเลย” Roger Goodell ประธานบริหาร NFL กล่าว “มันชัดเจนอยู่แล้วว่าความเข้าใจโลกการลงทุนของเขานั้นยอดเยี่ยมมาก”

    กฎใหม่ตั้งข้อจำกัดให้บริษัทไพรเวทอิควิตี้ถือหุ้นในแต่ละทีมได้ไม่เกิน 10% แต่ในอนาคตมันจะต้องเปลี่ยนไปอย่างแทบจะแน่นอน เพราะตอนนี้เจ้าของผู้ควบคุมทีม NFL กว่าครึ่งอายุเกิน 70 ปีแล้ว และการถ่ายโอนความมั่งคั่งจากรุ่นสู่รุ่นครั้งใหญ่จะเกิดขึ้นในไม่ช้า

    หนึ่งในนั้นคือ เศรษฐีพันล้าน Robert Kraft วัย 83 ปี เจ้าของทีม New England Patriots ที่เขาซื้อมาในปี 1994 ด้วยราคา 172 ล้านเหรียญ (เทียบเท่า 365 ล้านเหรียญในปัจจุบัน) ซึ่งเป็นการซื้อทีม NFL ด้วยราคาสูงที่สุดในยุคนั้น

    “ในโลกทุกวันนี้มีแต่ทีมกีฬาและดนตรีเท่านั้นที่ทำให้ชุมชนต่างๆ รวมใจกันได้จริง…เรามีผลิตภัณฑ์ที่ทรงพลังมาก” Kraft กล่าวและว่า มีผู้ยื่นข้อเสนอขอซื้อทีมของเขากว่า 7 พันล้านเหรียญ “ผมว่าเราได้แนวทางที่ทั้งตอบโจทย์ของบริษัทไพรเวทอิควิตี้ได้และสนับสนุนวัฒนธรรมที่เราอยากรักษาไว้ด้วย ถือว่าเป็นชัยชนะของทุกฝ่าย เมื่อก่อนผมไม่เคยคิดว่าผมจะขายอะไรออกไป แต่ตอนนี้ผมกำลังลองคิดดู”

    ถ้า Kraft หรือเจ้าของคนอื่นในลีกตัดสินใจขายทีม แน่นอนว่าคงไม่ใช่การขายให้เศรษฐีพันล้านคนใดคนหนึ่งเพราะตอนนี้ราคาสูงเกินไปแล้ว แต่บริษัทจาก Wall Street จะก้าวเข้ามา ซึ่งก็ถือเป็นการพัฒนาอย่างเป็นประชาธิปไตย เพราะผู้ซื้อจากสายไพรเวทอิควิตี้หลายรายที่ได้รับอนุมัติจากทางลีก (Blackstone, Ares และ Carlyle) เป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ และมันจะไม่ใช่แค่ข่าวดีสำหรับพวกเจ้าพ่อแห่ง Wall Street อย่าง Josh Harris เท่านั้น แต่ยังเป็นเรื่องดีสำหรับแฟนกีฬาทั่วไปที่ชอบการลงทุนด้วย


เรื่อง: Maneet Ahuja และ Hank Tucker เรียบเรียง: ธรรดร โสตถิอำรุง ภาพ: Cody Pickens 



เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : สูตรลับธุรกิจของ Takaya Awata เศรษฐีพันล้านเจ้าของเชนร้านอุด้งที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น

อ่านบทความฉบับเต็มและเรื่องราวธุรกิจอื่นๆ ที่น่าสนใจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนธันวาคม 2567 ในรูปแบบ e-magazine