หลังจากเข้าซื้อกิจการห้างดังในอังกฤษ ตระกูลจิราธิวัฒน์ ก็ไม่มีท่าทีว่าจะอยู่นิ่ง พวกเขาเร่งเครื่องเดินหน้าคว้าโอกาสทางธุรกิจอย่างเต็มแรง แม้จะต้องเผชิญอุปสรรคจากสถานการณ์โรคระบาดก็ตาม
แม้สถานการณ์โรคระบาดจะส่งผลให้ภาคธุรกิจค้าปลีกทั่วโลกต้องสั่นสะเทือน แต่ ตระกูลจิราธิวัฒน์ ตระกูลผู้อยู่เบื้องหลังกลุ่มเซ็นทรัล กลับสู้ไม่ถอย เดินหน้าคว้าโอกาสทางธุรกิจอย่างไม่หยุดหย่อน
โดยเมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ตระกูลจิราธิวัฒน์ ได้ทำการเข้าซื้อธุรกิจที่อาจเป็นการซื้อครั้งใหญ่ที่สุดของพวกเขาเลยก็ว่าได้ โดยตระกูลผู้ติดทำเนียบ 10 อันดับมหาเศรษฐีไทย ประจำปี 2565 ตระกูลนี้ได้ควักเงินราว 4.5 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ เข้าซื้อห้างสรรพสินค้าสัญชาติอังกฤษ Selfridges ร่วมกับรีเทลเลอร์จากออสเตรีย Signa Holdings
การเข้าซื้อธุรกิจดังกล่าวทำให้ทางกลุ่มได้ครอบครองตึกห้างสรรพสินค้าสุดไอคอนนิค อายุกว่าร้อยปี ณ Oxford Street ถนนชื่อดังแห่งกรุง London รวมถึงห้าง Selfridges อีก 17 สาขาได้สำเร็จ โดยปัจจุบันทางกลุ่มเซ็นทรัล และ Signa Holdings ร่วมกันเป็นเจ้าของห้างสรรพสินค้าลักชัวรีทั่วยุโรปอยู่จำนวนหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม ทศ จิราธิวัฒน์ หลานชายของผู้ก่อตั้งห้างสรรพสินค้าชื่อดังผู้กุมบังเหียนธุรกิจเซ็นทรัลไม่หยุดแค่เพียงเท่านี้ โดยทางกลุ่มได้สำรองกองทุนมูลค่า 6.6 พันล้านเหรียญ ไว้เพื่อใช้สำหรับลงทุนในช่วง 5 ปีข้างหน้าเพื่อขยายธุรกิจรีเทลกับธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ทั้งในประเทศและทั่วภูมิภาค แต่ถึงแม้จะคิดการใหญ่ ทรัพย์สินสุทธิของ ตระกูลจิราธิวัฒน์ กลับร่วงลงถึงร้อยละ 9 ลงมาอยู่ที่ 1.06 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ
บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ธุรกิจค้าปลีกของทางตระกูลซึ่งมีรายได้ถึงร้อยละ 72 จากในประเทศ ก็มีแผนทุ่มทุน 1 แสนล้านบาท (2.8 พันล้านเหรียญ) ในช่วง 4 ปีข้างหน้าเพื่อขยายปีกธุรกิจรีเทลของทางบริษัท โดยเป้าหมายสูงสุดของพวกเขาคือ การเพิ่มรายได้กับมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดให้ได้ 2.5 เท่า และเพิ่ม EBITDA (กำไรก่อนหักค่าใช้จ่ายทางดอกเบี้ยภาษี ค่าเสื่อม และค่าตัดจำหน่าย) 3.5 เท่าภายในปี 2569
เมื่อปี 2021 ปีที่สองที่เราต้องจมอยู่กับสถานการณ์โรคระบาดส่งผลให้รายได้อยู่กับที่ ส่วนกำไรสุทธิก็ลดลง แต่เหมือนธุรกิจของพวกเขากำลังจะฟื้นคืนชีพ โดยในไตรมาสแรกของปี 2565 ทางบริษัทได้รายงานว่า รายได้แบบ YoY ของทางบริษัทพุ่งขึ้นร้อยละ 15 แตะ 5.63 หมื่นล้านบาท ในขณะที่กำไรสุทธิพุ่งขึ้นถึงร้อยละ 190 เป็น 1.3 พันล้านบาท ทั้งนี้ มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดของทางบริษัท ณ ปัจจุบันอยู่ที่ราว 2.07 แสนล้านบาท
ในขณะเดียวกัน ทางบริษัทด้านอสังหาริมทรัพย์ของทางกลุ่ม อย่าง บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) ก็มีแผนการลงทุนมูลค่า 1.2 แสนล้านบาทเตรียมไว้สำหรับปี 2569 เป็นที่เรียบร้อย ทั้งนี้ หนึ่งในโปรเจ็กต์ในอนาคตของทางบริษัทคือ การสร้างโครงการ mixed-used ที่มีทั้งศูนย์การค้า ที่พักอาศัย โรงแรม และสำนักงานในกว่า 30 จังหวัดในประเทศไทย
นอกจากนี้ ทางเซ็นทรัลพัฒนาก็ได้หมายตาโอกาสทางธุรกิจที่เวียดนามและมาเลเซียไว้อีกด้วย ส่งผลให้หุ้นของบริษัทไต่ขึ้นมาร้อยละ 6 นับตั้งแต่เดือนมิถุนายนที่ผ่านมา แม้ว่าทั้งรายได้และกำไรสุทธิจะลดลงในไตรมาสแรกก็ตาม
แปลและเรียบเรียงโดย ทัตชญา บุษยากิตติกร จากบทความ After Bagging Iconic British Retailer Selfridges For $4.5 Billion, Central Group’s Chirathivat Family Is Hungry For More เผยแพร่บน Forbes.com
อ่านเพิ่มเติม: กัลกุล ดํารงปิยวุฒิ์ กลับสู่ทำเนียบมหาเศรษฐีไทยอีกครั้งไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่ เพจเฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine