เมื่อบิดาล้มป่วยและเริ่ม “หมดใจ” กับธุรกิจ อรรถพล ตั้งคารวคุณ ทายาทรุ่น 2 ก็เข้ารับช่วงต่อทันทีด้วยเหตุผลเดียวคือ ธุรกิจสีทาบ้านแบรนด์เดลต้าของครอบครัวจะ “ล้ม” ในรุ่นเขาไม่ได้ เพียงแค่ 6 ปี เขาและพี่ชายสามารถพลิกชีวิตบริษัทให้กลับมาแข็งแกร่งอีกครั้ง และวาดแผนเข้าระดมทุนในตลาดเอ็ม เอ ไอ
อรรถพล ตั้งคารวคุณ ประธานเจ้าหน้าที่สายการเงิน และประธานเจ้าหน้าที่สายปฏิบัติการ บริษัท สีเดลต้า จำกัด ออกตัวกับ Forbes Thailand ว่า นี่เป็นนิตยสารฉบับแรกที่เขาเปิดใจให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับเรื่องราวของธุรกิจสีเดลต้าที่เขาเข้ามาสานต่อแบบหมดเปลือก
ก่อนหน้านี้ไม่กี่ปีมีสื่อสายธุรกิจหลายฉบับติดต่อเข้ามาเพื่อพูดคุย แต่เขาก็ไม่กล้าพอที่จะรับนัดเนื่องจากรู้ตัวดีว่า ตัวเองยัง “ไม่ใช่” คนที่ประสบความสำเร็จและยังไม่มีชิ้นงานเป็นที่ประจักษ์ ที่พอจะบอกเล่าสู่กันฟังได้
อาจจะเป็นจริงอย่างที่หนุ่มวัย 37 ปีว่า เพราะในวันนั้น สีเดลต้าภายใต้บริหารของบิดาเขา อาจณรงค์ ตั้งคารวคุณ กำลังอยู่ในสถานะที่ร่อแร่ หลังจากเจ้าของธุรกิจวัย 67 ปีได้ล้มป่วย และเริ่มหมดใจกับธุรกิจที่ทำ สีเดลต้าที่เคยแข็งแกร่ง ค่อยๆ หดตัวเล็กลง และอาจจะถึงจุดจบวันหนึ่งหากไม่มีผู้ใดเป็นผู้สานต่อ
ด้วยเหตุนี้กระมัง อรรถพลจึงไม่อยากจะพูดคุยกับสื่ออย่างลงลึกในช่วง 6 ปีที่ผ่านมา เพราะต้องทุ่มเทเวลาทั้งหมดให้บริษัทที่กำลังมีปัญหาให้กลับมาแข็งแกร่งอีกครั้ง และต้องให้ผลงานที่เขาทำเป็นตัวบอกเรื่องราวของมันเอง วันนี้ เขาพิสูจน์ได้แล้วว่า ความพยายามที่ใส่ลงไปในบริษัทเริ่มเห็นผลแล้ว สีเดลต้ากำลังมีชิวิตใหม่มีทิศทางไปในทางที่ดี และสามารถกลับสู่สังเวียนการแข่งขันอย่างผู้ที่สมบูรณ์อีกครั้ง
ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น
เขาเกิดในครอบครัวคนไทยเชื้อสายจีน บิดาของเขาเป็นหนึ่งสมาชิกตระกูล “ตั้งคารวคุณ” ที่ครองตลาดสีทาบ้านในประเทศ มีแบรนด์สีมากมาย ที่รู้จักกันดีก็สีทีโอเอ ด้วยความเป็นครอบครัวใหญ่และผลประโยชน์มาก ทำให้บิดาได้เรียนรู้ถึงปรัชญาชีวิต “สีข้นกว่าเลือด” ที่เกิดจากความขัดแย้งบนผลประโยชน์ระหว่างสมาชิกในครอบครัว
ด้วยเหตุนี้ อรรถพลและพี่น้องอีก 2 คน จึงถูกบิดาพร่ำสอนว่า เมื่อเติบใหญ่ให้ไปหาหนทางของตัวเอง เพราะกลัวจะขัดแย้งกันระหว่างพี่น้องเหมือนที่ตนเองเจอ ดังนั้น ลูกทั้งสามจึงแยกไปดำเนินชีวิตตามแบบฉบับของตนเอง ทิ้งธุรกิจสีครอบครัวไว้ให้อยู่ภายใต้การบริหารงานของบิดา
อรรถพลเคยทำงานเป็นเซลส์ขายสินค้าเคมีก่อสร้าง ก่อนจะมาทำธุรกิจร้านมัลติสโตร์ที่นำเข้าแบรนด์เสื้อผ้าจากฮ่องกงราวกว่า 10 ปีที่แล้ว และมีผลตอบรับจากตลาดดีมากจนขยายสาขาร้านไปถึง 11 สาขา ก่อนที่จะปิดตัวลงต่อมาเพราะโดนพิษความวุ่นวายทางการเมือง
ช่วงที่ทำธุรกิจของตัวเองอยู่ อรรถพลได้เข้ามาช่วยธุรกิจสีเดลต้าอย่างไม่เต็มตัว ตอนนั้นอายุราว 30 ปี รับหน้าที่เป็นผู้จัดการโรงงาน เพราะผู้จัดการคนเดิมลาออกไปประกอบกับเรียนจบปริญญาตรีทางด้านวิศวกรรมเคมี จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และปริญญาโทจาก University of Nottingham (หลักสูตรควบ 2 ปริญญา) ที่เขาคิดว่าน่าจะช่วยงานโรงงานได้
จุดเริ่มต้นนี้เองเขาค่อยๆ เข้าไปเรียนรู้การดำเนินธุรกิจและได้ไปเกี่ยวข้องกับปัญหามากมาย ทั้งยังเห็นชีวิตของพนักงานที่ได้ทุ่มเทให้กับบริษัท ซึ่งมีจำนวนไม่น้อยที่ทำงานกับบริษัทหลายสิบปี บางคนอยู่มาทั้งชีวิต นี่เป็นเหตุให้เขาฉุกคิดว่า “จะปล่อยให้ธุรกิจที่รุ่นพ่อสร้างขึ้นมา ล้มไปต่อหน้าต่อตาหรือ”
ประกายความคิดในวันนั้น ทำให้เขาเข้ามารับหน้าที่อย่างเต็มตัวในปี 2561 นั่งในตำแหน่งผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ปีที่แล้วรับตำแหน่งเป็นประธานเจ้าหน้าที่สายการเงิน และประธานเจ้าหน้าที่สายปฏิบัติการ โดยมีพี่ชาย รณฤทธิ์ ตั้งคารวคุณ นั่งตำแหน่งซีอีโอ
“สมัยก่อนมีปัญหากับพ่อมาก มีจนเครียด ไม่เหมือนเจ้านายด่า เพราะพ่อด่า เราต้องเจอกับพ่อที่บ้าน ไม่ใช่งาน eight to five โทรมาด่าอีก เราพยายายามหนีไปในสิ่งที่คุณพ่อทำไม่เป็น”
แต่ความอึดอัดในครั้งนี้ได้สร้างทางออกให้กับอรรถพลในเวลาเดียวกัน เขาค้นพบว่าหากจะทำให้บริษัทเดินหน้า ต้องทำในสิ่งที่บิดาไม่ถนัด และสิ่งนั้นก็คือ การมุ่งเน้นขายผ่านช่องทางโมเดิร์นเทรด ที่เขามีประสบการณ์อย่างโชกโชนจากทำธุรกิจในร้านเสื้อผ้า
ทาสีบ้านใหม่ให้เดลต้า
ถือเป็นความโชคดีของอรรถพลที่เขาทำธุรกิจร้านขายเสื้อผ้ามาก่อน ประสบการณ์ครั้งนั้นสอนให้เขารู้ถึงการวางแผนการจัดการสินค้า (merchandising) อย่างเป็นระบบ เขาเข้าใจว่า การจัดการไม่ดีนั่นหมายถึงต้นทุนที่เพิ่มขึ้น แผนของเขาก็คือทำอย่างไรให้มีการจัดระบบการผลิตกับการเก็บสินค้าในสต๊อกให้สัมพันธ์กันอย่างลงตัว โจทย์ง่ายๆ คือ บริษัทต้องไม่พลาดโอกาสในการขายเลย
การปรับการทำงานและการคุมเข้มการใช้จ่าย เป็นผลให้สีเดลต้าดีขึ้นตามลำดับจากยอดขาย 300 กว่าล้านบาทเมื่อ 6 ปีที่แล้ว ขยับขึ้นมาอยู่ที่ราว 625 ล้านบาทในปีที่แล้ว มีกำไรอยู่ที่ 35 ล้านบาท ปัจจุบันยอดขายของสีเดลต้ามาจาก 3 ช่องทางหลัก คือ โมเดิร์นเทรด 60% ช่องทางดั้งเดิม 30% และงานกลุ่มงานรับเหมาก่อสร้าง 10%
ปี 2561 ยังเป็นอีกปีสำคัญของบริษัทคือการเข้าซื้อแบรนด์สีเซฟโก้ (Sefco) ซึ่งอยู่ในตลาดอีโอนีมี เป็นไฟติ้งแบรนด์ ที่จะช่วยสร้างการเติบโตให้กับบริษัทได้อีกทางหนึ่ง
โตอย่างยั่งยืน
หลังจากจัดบ้านเสร็จเรียบร้อย อรรถพลก็เดินหน้าสร้างความยั่งยืนให้กับบริษัทต่อทันทีโดยความยั่งยืนแรกคือ แบรนด์ เขาอ้างอิงจากวิจัยทางการตลาดชิ้นหนึ่ง ซึ่งได้พบว่าปัจจุบันการสื่อสารของบริษัทสีส่วนใหญ่เน้นการสื่อสารแบบ “manufacturer’s talks” ผู้ผลิตเป็นคนสื่อสารฝ่ายเดียว และผู้บริโภคได้รับข้อมูลแบบไม่มีทางเลือก แม้จะเข้าใจหรือไม่เข้าใจก็ตามที เสมือนผู้ผลิตอยู่เหนือผู้บริโภค
จากจุดตรงนี้เองเขาจึงได้ริเริ่มวิธีการสื่อสารใหม่และได้แนวทางคือ แบบ “Less for More” มุ่งเน้นการสื่อสารที่เข้าใจง่าย ไม่งง เพราะในความเป็นจริงผู้บริโภคทาสีบ้านไม่กี่ครั้งในชีวิต เขามองว่า การทาสีบ้านจึงไม่ควรเป็นเรื่องยุ่งยาก แนวทางนี้ค่อนข้างประสบความสำเร็จ และสิ่งที่ได้ตามมาคือการจดจำในแบรนด์สีเดลต้ามากขึ้นอีกด้วย
อีกความยั่งยืนหนึ่งคือ การเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ ในอีก 2-3 ปีข้างหน้า เพราะต้องการสร้างความมั่นคงให้กับสีเดลต้าในอนาคต ไม่ว่าจะมีคนในครอบครัวบริหารหรือไม่ นั่นไม่ได้เป็นสาระสำคัญอีกต่อไป แต่การอยู่ต่อไปของบริษัทจะต้องอยู่ภายใต้ระบบที่โปร่งใสบนหลักธรรมาภิบาล และบริหารภายใต้ผู้บริหารที่มีความสามารถ
ภาพ: กิตติเดช เจริญพรคลิกอ่านฉบับเต็ม "อรรถพล ตั้งคารวคุณ พลิกชีวิตสีเดลต้าสู่อนาคตใหม่" ได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับ มีนาคม 2563 ในรูปแบบ e-magazine