ควบ Maserati Ghibli ทะลุ Dubai ตะลุยทะเลทราย
Dubai มหานครแห่งทะเลทรายที่ร้อนระอุในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) ประเทศที่อุดมไปด้วยน้ำมันดิบหรือ “ทองคำดำ” ที่แปรเป็นเงินตรามาบันดาลความสะดวกสบายสิ่งปลูกสร้างสุดหรูหราทั้งศูนย์การค้าที่เต็มไปด้วยสินค้าแบรนด์ดังจากทั่วโลกไปจนถึงคอนโดมิเนียมสำหรับอภิมหาเศรษฐีและยนตรกรรมจากทุกมุมโลกที่อวดโฉมประชันความแรงอยู่บนท้องถนน
อาณาจักรของมหาเศรษฐีแห่งนี้ถูกเลือกจาก Maserati S.p.A. ให้ใช้เป็นสถานที่ทดสอบรถหรูและแรงหลากรุ่นสัญชาติอิตาลีสำหรับสื่อมวลชนจากทั่วโลกเมื่อปลายเดือนกุมภาพันธ์ในโอกาสครบรอบ 1 ศตวรรษด้วยเป้าหมายของการเพิ่มยอดขายทั่วโลกกว่า 3 เท่าให้เป็น 50,000 คันในปี 2558จากไม่ถึง 15,000 คันในปี 2556
Maserati เจ้าของโลโก้ “ตรีศูล” หรือสามง่ามอาวุธของ Poseidon เทพเจ้าแห่งท้องทะเลถูกสร้างขึ้นมาจากพี่น้องตระกูลMaserati เมื่อ 100 ปีที่แล้วด้วยเทคโนโลยีชั้นสูงในเรื่องพละกำลังเครื่องยนต์ความแคล่วคล่องในการขับขี่ความแม่นยำของช่วงล่างที่ถ่ายทอดจากสนามแข่งทำให้ชื่อของ Maserati สะท้อนออกมาในรูปแบบสปอร์ตคาร์
แต่ในช่วงหลังนี้ Maserati ให้ความสนใจกับรถซีดาน 4 ประตูมากขึ้นเพราะความต้องการในตลาดทั่วโลกมีมากกว่ารถสปอร์ต 2 ประตูทำให้ Maserati ตัดสินใจเดินหน้าพัฒนารถยนต์ซีดานหรูที่เต็มไปด้วยพละกำลังเจาะกลุ่มลูกค้าเงินถุงเงินถังอย่างเต็มที่และรถซีดานบ้าพลังนั่นคือ Maserati Quattroporteที่เปิดตัวไปเมื่อปี 2554 และทำให้ยอดขาย Maserati ทั่วโลกเพิ่มขึ้นจาก 6,000 คันเป็น 12,000 คันในเวลาปีเดียว
Maserati Quattroporte คือ รถซีดานที่หรูหราที่สุดเครื่องใหญ่ที่สุดและแพงที่สุดของ Maserati ได้รับการตอบรับอย่างดีจากมหาเศรษฐีทั่วโลกที่ต้องการรถยนต์ที่มีสมรรถนะสูงแต่เต็มไปด้วยความหรูหราสามารถใช้ได้จริงในชีวิตประจำวันไม่ใช่รถที่มีแต่กำลังขับได้แรงสุดใจแต่ใช้ในชีวิตประจำวันไม่ได้
เมื่อเดินมาถูกทางในปีที่ผ่านมา Maserati จึงตัดสินใจผลิตรถสปอร์ตซีดานระดับหรูเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งรุ่นภายใต้ชื่อ Maserati Ghibliเป็นรถสปอร์ตซีดานระดับหรูขนาดเล็กลง
ชื่อนี้สร้างความฮือฮาให้สาวก Maserati และสื่อมวลชนทั่วโลกเพราะชื่อของGhibliนั้นถูกลบเลือนไปนานกว่า 1 ทศวรรษแล้วและเป็นครั้งแรกของ Maserati ที่นำชื่อGhibliมาใช้กับรถ 4 ประตูหลังจากใช้กับรถสปอร์ต 2 ประตูมาก่อนโดยครั้งแรกเป็นGhibliในยุค 50s ส่วนยุคที่ 2 Maserati Ghibli II ถือกำเนิดขึ้นเมื่อปี 1992
Forbes Thailand ได้รับคำเชิญจากบริษัทเอ็มไพร์มอเตอร์สปอร์ตจำกัดตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ Maserati ในประเทศไทยอย่างเป็นทางการให้ไป “ลองขับ” Maserati หลากรุ่นที่ Dubai ท่ามกลางแสงแดดและลมของทะเลทรายในเดือนกุมภาพันธ์โดยทางทีมงาน Maserati S.p.A. ให้ความสำคัญเป็นพิเศษกับรุ่นGhibliซึ่งเป็นคำภาษาอาหรับที่หมายถึงลมร้อนระอุในทะเลทรายทางตอนเหนือของทวีปแอฟริกา
ภายหลังจากเครื่องบินลงจอดพาหนะที่พาคณะของเรามายังโรงแรม 5 ดาวกลางเมือง Dubai ก็คือ Maserati Quattroporte S เครื่องยนต์ V6 ขนาด 3,000 ซีซี 410 แรงม้าซึ่งเป็นครั้งแรกที่ผมได้สัมผัสความแรงของยนตรกรรมความเร็วรุ่นนี้แบบ “หลังติดเบาะ” ด้วยฝีเท้าของโชเฟอร์ประจำ
ผมเองมีประสบการณ์การขับGhibli II, 222 และShamalเมื่อประมาณ 10 กว่าปีก่อนที่ยังอยู่ในความทรงจำและผมไม่เคยลืมความดุดันของเครื่องยนต์และช่วงล่างที่กระด้างของรถยนต์แบรนด์นี้
มาในครั้งนี้ทำให้ผมไม่รีรอที่จะกระโดดเข้าไปนั่งหลังพวงมาลัย Maserati Ghibliทันทีหลังจากที่ในช่วงเช้าเรานั่งฟังทีมงานของ Maserati S.p.Aสรุปเส้นทางการทดลองขับแบบคร่าวๆ
ในตลาดต่างประเทศรูปลักษณ์ภายนอกของ Maserati Ghibliทำให้คู่แข่งอย่างเป็นทางการเช่น BMW Series 5, Mercedes Benz E-Class, Audi A6 ต้องมองเหลียวหลังแต่หากเป็นในเมืองไทยที่มีกำแพงภาษีสูงสำหรับรถยนต์นำเข้าเครื่องยนต์ใหญ่มากแรงม้าคู่แข่งของ Maserati Ghibliสมน้ำสมเนื้อกันจึงกลายเป็น Aston Martin, Mercedes Benz CLS, BMW 640 Coupe
ผมค่อนข้างชอบกับหน้าตาของ Maserati Ghibliที่ดูปราดเปรียวทะมัดทะแมงไม่ใช่น้อยแถมสุดเท่จากกระจังหน้าขนาดใหญ่กับโลโก้ตรีศูลอันเป็นเอกลักษณ์ของ Maserati ไฟหน้า Bi-Xenon พร้อมไฟ LED ที่ทำหน้าที่เป็นไฟ day light ดูดุดันดีครับซึ่งรูปทรงของGhibliถูกออกแบบมาให้เป็นรถซีดานคูเป้ทำให้เป็นรถ 4 ประตูที่ดูเพรียวลมไม่น้อยทีเดียวดูแล้วไม่เหมือนกับรถซีดานแต่เหมือนกับรถคูเป้ 2 ประตู
มาดูภายในของ Maserati Ghibliกันบ้างดีกว่าเพียงแค่ก้าวเข้าไปในห้องโดยสารก็ต้องร้องว้าวกับความเนี้ยบและความหรูหราของวัสดุที่ใช้แล้วครับไม่เสียแรงที่ใช้โรงงานในเมืองGrugliascoใกล้กับเมือง Turin ที่เป็นโรงงานผลิตเดียวกันกับรุ่นพี่อย่างQuattroporteไม่ว่าจะเป็นแผงคาร์บอนไฟเบอร์และลายไม้ที่ถูกติดตั้งไว้ภายในรถได้รอบคันอย่างลงตัว
แผงหน้าปัดที่ถูกออกแบบมาให้มีความทันสมัยแต่แฝงไว้ด้วยความหรูหรารวมถึงหน้าจอแบบ touch screen ขนาด 8.4 นิ้วกลางคอนโซลโดยมีโลโก้ตรีศูลประดับอย่างเด่นอยู่ด้านล่างของจอ
เจ้าหน้าจอขนาดยักษ์นี้จะทำหน้าที่เป็นจอแสดงผลและควบคุมการทำงานของสิ่งอำนวยความสะดวกและระบบต่างๆภายในรถซึ่งเรียกระบบนี้ว่า MTC (Maserati Touch Control) MTC นี้สามารถควบคุมได้แม้กระทั่งการสั่งอุ่นเบาะนั่งรวมไปถึงพวงมาลัยเมื่อต้องขับรถในสภาวะอากาศหนาวและยังเป็นจอแสดงภาพกล้องมองหลังอีกด้วย
แต่ที่ผมชอบใน option หนึ่งของ Maserati Ghibliคือมีช่องให้เสียบซิมการ์ดโทรศัพท์เพื่อให้ปล่อยสัญญาณ Wi-Fi Hotspot ให้กับผู้โดยสารภายในรถให้สามารถติดต่อกับโลกโซเชียลเน็ตเวิร์กได้ตลอดเวลาที่ใช้ชีวิตอยู่ภายในรถคันนี้โดย Wi-Fi Hotspot นี้สามารถเชื่อมต่อได้กับอุปกรณ์สื่อสารได้มากถึง 3 ชิ้นด้วยกัน
ไม่ต้องห่วงกับระบบเสียงของ Maserati Ghibliนะครับเพราะเขาใช้เครื่องเสียงระดับที่เรียกว่า “หูเทพ” ต้องหันมามองด้วยลำโพง Bowers & Wilkins มากถึง 15 ตัวรอบคันที่มีขนาดตั้งแต่ 25-165 มิลลิเมตรโดยลำโพงทั้งหมดนั้นใช้ดอกลำโพงที่ทำจาก Kevlar ที่เสียงใสเหลือเกินและลำโพงทั้ง 15 ตัวนี้ประกอบไปด้วยลำโพง Tweeter ที่ให้เสียงแหลมลำโพง Woofer และลำโพง Sub-woofer ให้เสียงทุ้มและยังมี Amplifier ขนาด 1,280 วัตต์ซึ่งผมว่าเครื่องเสียงใน Maserati Ghibliนี้ดีกว่าเครื่องเสียงในบ้านเสียอีกและเมื่อลองฟังเพลงจาก thumb drive ที่ทางทีมงานเตรียมไว้ให้บอกได้เลยว่าสุดยอดดดดดถ้ามีแผ่น CD หรือ DVD คอนเสิร์ตระดับโลกล่ะก็เหมือนกับเราไปนั่งอยู่ในคอนเสิร์ต
ตื่นตาตื่นหูกับระบบเครื่องเสียงชั้นยอดแล้วก็ต้องมาตื่นเต้นกับสัมผัสภายในตัวรถผ่านเบาะหนังแท้ตลอดทั้งคันที่ได้รับการออกแบบตัดเย็บจากPoltrona Frau ผู้ผลิตเฟอร์นิเจอร์ชั้นนำของอิตาลีที่มีประวัติอันยาวนานเกือบ 100 ปีโดยบริษัทนี้ได้รับความไว้วางใจจากค่ายรถยนต์ระดับหรูทั้ง Rolls-Royce และ Ferrari ให้ออกแบบและตัดเย็บหนังให้กับเบาะนั่งของรถยนต์เหล่านี้
แม้ว่ารูปร่างของ Maserati Ghibliดูเหมือนรถ 2 ประตูแต่พื้นที่ภายในห้องโดยสารกลับกว้างขวางทีเดียวทั้งพื้นที่วางขาสำหรับผู้โดยสารตอนหลังที่สามารถยืดขาได้สบายๆขณะที่ความสูงของห้องโดยสารก็เพียงพอที่ทำให้