<h2>ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย และสิงคโปร์ แอร์ไลน์ส เปิดตัวบัตรเครดิต UOB KrisFlyer (ยูโอบี คริส ฟลายเออร์) 2 ใบ คือ ยูโอบี คริส ฟลายเออร์ เวิลด์ และ เวิลด์ อิลีท สิทธิประโยชน์อัดแน่น บัตรเครดิตตัวจริงเพื่อนักเดินทาง</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ความร่วมมือครั้งนี้ถือเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความมุ่งมั่นร่วมกันของธนาคารยูโอบี และสิงคโปร์ แอร์ไลน์ส ในการมอบสิทธิประโยชน์ให้กับลูกค้าทั่วทั้งภูมิภาคอาเซียน ด้วยสิทธิประโยชน์ด้านการเดินทางและไลฟ์สไตล์ที่อัดแน่น ผู้ถือบัตรเครดิตยูโอบี คริส ฟลายเออร์ ทั้ง 2 ประเภทสามารถแปลงค่าใช้จ่ายเป็นไมล์ได้โดยตรงกับสายการบิน พร้อมเพลิดเพลินกับสิทธิประโยชน์มากมาย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ธีรวัฒน์ ตรีรัตน์ดิลกกุล กรรมการผู้จัดการ Head of Card Payment and Unsecured Products ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย กล่าวว่า “เราเห็นถึงยอดการใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการเดินทางเพิ่มขึ้นอย่างมากในปี 2566 ซึ่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 51 จากปี 2565 ธนาคารยูโอบีมีการนำข้อมูลการใช้จ่ายของลูกค้ามาวิเคราะห์เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการเงินและสิทธิประโยชน์ใหม่ๆ ให้ตรงตามความต้องการที่เปลี่ยนไปของลูกค้า &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เรามีความยินดีที่จะขยายความร่วมมือด้านสายการบินกับหนึ่งในแบรนด์สายการบินที่ดีที่สุดในโลก บัตรเครดิตยูโอบี คริสฟลายเออร์ ถือเป็นข้อพิสูจน์ถึงความมุ่งมั่นของธนาคารในการนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการที่เป็นเลิศแก่ลูกค้า และการทำงานร่วมกับพันธมิตรที่มีวิสัยทัศน์เดียวกัน จะทำให้เราสามารถเติมเต็มความต้องการด้านไลฟ์สไตล์ของลูกค้าในภูมิภาคได้”​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/01/2PRckTYVpAkXfLSeAZga.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="2PRckTYVpAkXfLSeAZga.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ไรอัน ปัว รองประธานฝ่าย Loyalty Marketing สิงคโปร์ แอร์ไลน์ส กล่าวว่า “ด้วยเครือข่ายชั้นนำในเอเชียและในไทยของธนาคารยูโอบี เรามีความยินดีที่ได้ทำงานอย่างใกล้ชิดกับยูโอบีเพื่อดูแลและยกระดับสิทธิประโยชน์ให้แก่ผู้ถือบัตรชาวไทย ด้วยบัตรเครดิตยูโอบี คริสฟลายเออร์ เวิลด์ และ เวิลด์ อิลีทใหม่นี้ เรายังคงยืนยันคำมั่นสัญญาของแบรนด์คริสฟลายเออร์ ที่จะมอบคุณค่าที่ยอดเยี่ยมและทำให้การเดินทางสะดวกสบาย เพลิดเพลิน และคุ้มค่ายิ่งขึ้นสําหรับสมาชิกของเรา”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากสมาชิกบัตรเครดิตยูโอบี คริสฟลายเออร์ เวิลด์ อิลีท จะได้รับ 1 ไมล์คริสฟลายเออร์จากทุก 12.50 บาท ที่ใช้จ่ายในรายการที่เกี่ยวข้องในกลุ่มบริษัทสิงคโปร์แอร์ไลน์ส และทุกๆ 20 บาท ใช้จ่ายในหมวดอื่นๆ สมาชิกยังจะได้รับไมล์คริสฟลายเออร์จํานวน 20,000 ไมล์ เป็นโบนัสต้อนรับเมื่อใช้จ่ายครบ 50,000 บาท ภายใน 60 วัน นับจากวันที่บัตรเครดิตได้รับการอนุมัติ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกเหนือจากนี้ สมาชิกจะได้รับสิทธิประโยชน์ด้านการท่องเที่ยว ได้แก่ บริการรถลีมูซีนรับส่งสนามบินทั่วโลก 3 ครั้ง และบริการห้องรับรองในสนามบินนานาชาติ Dragon Pass Lounges ทั่วโลกสูงสุด 6 ครั้งต่อปีโดยไม่มีค่าใช้จ่าย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ขณะที่ผู้ถือบัตรเครดิตยูโอบี คริสฟลายเออร์ เวิลด์ จะได้รับ 1 ไมล์คริสฟลายเออร์จากทุก 15 บาท ที่ใช้จ่ายในรายการที่เกี่ยวข้องในกลุ่มบริษัทสิงคโปร์แอร์ไลน์ส และทุกๆ 20 บาท ใช้จ่ายในหมวดอื่นๆ สมาชิกยังจะได้รับไมล์คริสฟลายเออร์จํานวน 5,000 ไมล์ เป็นโบนัสต้อนรับเมื่อใช้จ่ายครบ 20,000 บาท ภายใน 60 วัน นับจากวันที่บัตรเครดิตได้รับการอนุมัติ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกเหนือจากนี้ สมาชิกจะได้รับสิทธิประโยชน์ด้านการท่องเที่ยว ได้แก่ บริการลีมูซีน รับหรือส่ง ณ สนามบินสุวรรณภูมิ เมื่อสํารองบัตรโดยสาร ผ่าน Flying Orange และและบริการห้องรับรอง Miracle Lounge ที่สนามบินสุวรรณภูมิสูงสุด 2 ครั้ง เมื่อมียอดใช้จ่ายครบ 100,000 บาทต่อไตรมาส&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากการได้รับไมล์คริสฟลายเออร์ที่เร็วขึ้นแล้ว ผู้ถือบัตรยังจะได้รับสิทธิพิเศษเมื่อบินกับสิงคโปร์ แอร์ไลน์สและสกู๊ต อาทิ การอัปเกรดสถานะสมาชิกภาพคริสฟลายเออร์ที่เร็วขึ้น เมื่อลูกค้าใช้จ่ายในกลุ่มบริษัทสิงคโปร์ แอร์ไลน์ส&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;รวมถึงสิทธิประโยชน์การเดินทางของสกู๊ต เช่น การเช็คอินและการขึ้นเครื่องก่อน ได้รับน้ำหนักสัมภาระเพิ่มขึ้น และการเลือกที่นั่งโดยไม่มีค่าใช้จ่าย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดยส่วนหนึ่งจากการเฉลิมฉลองการเปิดตัว ผู้ที่ถือบัตรใหม่ที่ได้รับการอนุมัติภายในวันที่ 31 มีนาคม 2567 ยังสามารถลุ้นรับบัตรโดยสารชั้นธุรกิจของสิงคโปร์แอร์ ไลน์สไปยังลอนดอนหรือเมลเบิร์น เมื่อใช้จ่ายด้วยบัตรเครดิตยูโอบี คริสฟลายเออร์&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ ยูโอบี ประเทศไทย ตั้งเป้าว่าจะมีผู้สมัครบัตรครบ 10,000 ใบภายใน 3 เดือน หรือ 30,000 ใบภายใน 1 ปีหลังจากเปิดตัว เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a target="_blank" href="https://forbesthailand.com/news/travel/china-free-visa-boost-economy-post-covid-19" alt="จีนแจกฟรีวีซ่า หวังดึงนักท่องเที่ยวกลับเยียวยาเศรษฐกิจหลังโควิด-19">จีนแจกฟรีวีซ่า หวังดึงนักท่องเที่ยวกลับเยียวยาเศรษฐกิจหลังโควิด-19</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

“ยูโอบี” จับมือ “สิงคโปร์ แอร์ไลน์ส” เปิดตัวบัตรเครดิต UOB KrisFlyer รับไมล์สะสมจากการใช้จ่าย

<h2 class="p1">Singapore Airlines พร้อมเปิดให้บริการเที่ยวบินตรงที่ยาวที่สุดในโลกเส้นทางใหม่ จาก Changi International Airport สิงคโปร์ สู่ John F. Kennedy Airport (JFK) นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา</h2>
เส้นทางการบินใหม่นี้ นับเป็นการทำลายสถิติเที่ยวบินตรงที่ยาวที่สุดในโลกของตนเอง จากเส้นทางเดิมที่เคยเปิดให้บริการจาก Changi Airport ไปสู่ Newark Liberty International Airport รัฐนิวเจอร์ซีย์ สหรัฐอเมริกา เมื่อเดือนตุลาคม 2018 
อย่างไรก็ดี ก่อนหน้านี้ สายการบินแห่งนี้ได้เปิดให้บริการเส้นทางการบินจาก JFK ไป Frankfurt เยอรมัน เป็นส่วนหนึ่งของไฟล์ทบินตรงที่ยาวที่สุดที่กำลังจะเปิดให้บริการ แต่ก็ต้องหยุดให้บริการในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 เช่นเดียวกับไฟล์ทอื่นๆ ที่ไป Seattle และ San Francisco ขณะที่เที่ยวบินไป Los Angeles ยังคงเปิดให้บริการอยู่หลายเที่ยวบินต่อสัปดาห์
<img class="alignnone wp-image-36150" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/10/sia.jpg" alt="Singapore Airlines" width="720" height="480" />
สำหรับเส้นทางการบินตรงสิงค์โปร์ (SIA) - นิวยอร์ก (JFK) นี้ จะครอบคลุมระยะทางทั้งสิ้น 9,537 ไมล์ โดยจะเปิดให้บริการเที่ยวแรกในวันที่ 9 พฤศจิกายน 2020 เป็นต้นไป และมีกำหนดการบิน 3 ครั้งต่อสัปดาห์ ดังต่อไปนี้
เที่ยวบินที่ SQ24 จะออกเดินทางจากสิงคโปร์ เวลา 02.25 น. ของวันจันทร์ พุธ และเสาร์ และจะถึงในวันเดียวกันเวลา 7.30 น. โดยใช้เวลาเพียง 18 ชั่วโมง 5 นาที
ขณะที่เที่ยวบินที่ SQ23 จะออกเดินทางจากมหานครนิวยอร์ก ในวันจันทร์ พุธ และศุกร์ เวลา 22.30 น. และถึงสิงคโปร์ 2 วันหลังจากนั้นเวลา 06.10 น. โดยใช้เวลาทั้งสิ้น 18 ชั้วโมง 40 นาที
“เส้นทางบินไปสู่ JFK International Airport จะทำให้ Singapore Airlines สามารถอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้โดยสารที่หลากหลาย ลดปัญหาในการให้บริการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ และยิ่งไปกว่านั้น ยังเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับผู้โดยสารที่มาเปลี่ยนเที่ยวบินที่ Changi Airport” อ้างอิงจากแถลงการณ์ของสายการบิน
อย่างไรก็ดี การกำหนดเส้นทางใหม่นี้ ได้ทำให้สายการบินพันธมิตรที่ใหญ่ที่สุดของ Singapore อย่าง United Airlines ซึ่งปัจจุบันเปิดให้บริการเพียงแค่ที่สนามบิน Newark International Airport ต้องเริ่มดำเนินการฟื้นคืนเส้นทางบริการบางส่วนไป JFK เพื่อรักษาความสัมพันธ์กับสายการบินพันธมิตรจากนานาชาติ อย่าง Singapore Airlines, Lufthansa และ SWISS ซึ่งคาดว่าจะพร้อมเปิดให้บริการในปี 2021 
ขณะที่ด้านการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ “SIA คาดการณ์ว่า จะมีความต้องการใช้บริการขนส่งสินค้าจำนวนมากจากหลากหลายอุตสาหกรรม ที่ตั้งอยู่ในนิวยอร์ก ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจเภสัชกรรม อีคอมเมิร์ซ และเทคโนโลยี ซึ่งเส้นทางการบินใหม่นี้ จะเป็นเส้นทางบริการขนส่งสินค้าเพียงเส้นเดียวจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือของสหรัฐฯ ไปสู่สิงคโปร์ ซึ่งเป็นศูนย์กลางกระจายสินค้าภายในภูมิภาค ของบริษัทสัญชาติสหรัฐฯ มากมาย”
แม้ว่าขณะนี้ หลายๆ สายการบินจะเริ่มลดเส้นทางการบินลง แต่ Lee Lik Hsin รองประธานกรรมการพาณิชย์ ของ Singapore Airlines กลับมองว่า เที่ยวบินระหว่าง SIA และ JFK เป็นก้าวสำคัญที่จะกลับมาสร้างเครือข่ายทั่วโลกอีกครั้ง เพราะการให้บริการเที่ยวบินตรง เป็นพื้นฐานสำคัญที่จะไปสู่ตลาดสหรัฐฯ ได้
"เราพร้อมจะยกระดับการบริการในทุกๆ ด้าน และจะทยอยกลับมาเปิดให้บริการเส้นทางการบินในจุดต่างๆ เพราะความต้องการทั้งจากผู้โดยสาร และการขนส่งสินค้าเริ่มกลับมาแล้ว พร้อมกับหาโอกาสสำหรับการเติบโตในระยะยาว” Lee Lik Hsin กล่าว 


<figure><img class="wp-image-36151" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/10/jfk.jpg" alt="Singapore Airlines" width="720" height="480" /><figcaption> John F. Kennedy International Airport (JFK)</figcaption></figure>
ประเด็นที่น่าสนใจ คือ เส้นทางใหม่นี้จะให้บริการโดยเครื่องบินของบริษัทแอร์บัสประเภท A350-900 ต่างจากเดิมที่เคยใช้<a style="color: #003300;" href="https://www.forbes.com/sites/ericrosen/2018/10/11/worlds-new-longest-flight-from-singapore-to-newark-launches-today/#8af79402aca3"> A350-900ULR </a>ในเส้นทางการบินไปสู่ Newark International Airport ด้วยเหตุที่ว่า ภายใน ULR ประกอบไปด้วยชั้นธุรกิจ และชั้นประหยัดแบบพรีเมียมรวมเป็น 161 ที่นั่ง
ขณะที่ A350-900 มีทั้งหมด 253 ที่นั่ง โดยแบ่งได้เป็นชั้นธุรกิจ 42 ที่นั่ง ชั้นประหยัดแบบพรีเมียม 24 ที่นั่ง และชั้นประหยัด 187 ที่นั่ง ซึ่งสันนิษฐานได้ว่า ทางสายการบินไม่ได้คาดการณ์ว่าจะมีผู้โดยสารเข้ามาใช้บริการในช่วงนี้เป็นจำนวนมาก จึงหันไปเน้นการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นมากกว่า เพื่อที่จะสร้างผลตอบที่ดี หรือบางทีอาจเป็นไปได้ว่า เราอาจจะเห็นการกลับไปใช้รุ่น ULR อีกครั้ง ซึ่งมีแต่ชั้นพรีเมียมเพียงอย่างเดียว  เมื่อจำนวนผู้โดยสารกลับมาเพิ่มขึ้นอีกครั้ง
ทั้งนี้ สำหรับการให้บริการบนเครื่องบินอาจมีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม กล่าวคือ ในช่วงก่อนที่จะเกิดโรคระบาดขึ้น ทางสายการบินได้เปิดตัว<a style="color: #003300;" href="https://www.forbes.com/sites/ericrosen/2018/08/15/singapore-airlines-partners-with-canyon-ranch-on-in-flight-health/#4dbb4d475f7a">การบริการด้านสุขภาพและอาหาร</a> ภายใต้ความร่วมมือกับธุรกิจสปาและโรงแรม อย่าง Canyon Ranch และ COMO ซึ่งผู้โดยสารสามารถเลือกทานเมนูอาหารเพื่อสุขภาพได้
แต่ในปัจจุบัน การดูแลสุขภาพของผู้โดยสาร จะให้ความสำคัญกับความปลอดภัยและความสะอาดเป็นหลัก ซึ่งทางสายการบินได้มีมาตรการรักษาความสะอาด เพื่อสร้างความมั่นใจว่าเครื่องบินปราศจากเชื้อโรค โดยการติดตั้งเครื่องกรอง HEPA ที่จะหมุนเวียนอากาศภายในลำทุกๆนาที และกรองฝุ่น ไวรัส และแบคทีเรียออก
และที่สำคัญ เครื่องบินทุกลำจะได้รับการทำความสะอาดอย่างถี่ถ้วน ตั้งแต่ก่อนให้บริการ และตลอดการเดินทาง ขณะที่ลูกเรือต้องสวมอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล อันได้แก่ แว่นครอบตา หน้ากากอนามัย และถุงมือยาง พร้อมมอบชุดดูแลสุขภาพให้กับผู้โดยสาร ซึ่งประกอบด้วย หน้ากากอนามัย เจลล้างมือและผ้าเช็ดฆ่าเชื้อ โดยที่ผู้โดยสารทุกท่านจะต้องสวมหน้ากากตลอดระยะเวลาการเดินทาง
แปลและเรียบเรียงโดย ชญาน์นัทช์ ธนินท์พงศ์ภัค จากบทความ Singapore Airlines Will Launch Non-Stop Flights To New York JFK Next Month เผยแพร่บน Forbes.com

อ่านเพิ่มเติม: <a style="color: #003300;" href="https://forbesthailand.com/world/europe/kjell-inge-rokke-%e0%b9%80%e0%b8%a8%e0%b8%a3%e0%b8%a9%e0%b8%90%e0%b8%b5%e0%b8%8a%e0%b8%b2%e0%b8%a7%e0%b8%99%e0%b8%ad%e0%b8%a3%e0%b9%8c%e0%b9%80%e0%b8%a7%e0%b8%a2%e0%b9%8c-%e0%b8%9c%e0%b8%b9%e0%b9%89.html">Kjell Inge Rokke เศรษฐีชาวนอร์เวย์ ผู้สร้าง “ซูเปอร์ยอช์ต” ลำใหญ่ที่สุดในโลก</a>

Singapore Airlines เปิดไฟล์ทบินตรงที่ยาวที่สุดในโลกสู่มหานครนิวยอร์ก

10 "เส้นทางบิน" ที่ทำรายได้สูงที่สุดในโลก ปี 2019

<h2 class="topic">ในการแข่งขันเอาชนะธรรมชาติ เที่ยวบินตรงยาว 19 ชั่วโมงของสายการบิน Singapore Airlines น่าจะครองตำแหน่งชนะเลิศในแง่ของระยะทาง เที่ยวบินจากสิงคโปร์ไปยังสนามบิน Newark ใน New York นั้นยาวถึง 9,500 ไมล์ ในขณะที่นกปากแอ่นหางลายจะบินเป็นระยะทาง 7,000 ไมล์ในฤดูอพยพระหว่างรัฐ Alaska กับประเทศนิวซีแลนด์ ความแตกต่างอย่างเดียวระหว่างทั้งคู่คือฝูงนกเหล่านี้จะต้องบินต่อเนื่องถึง 9 วัน</h2>
เที่ยวบินใหม่ของ Singapore Airlines นับว่าได้รับความสนใจจากสื่อมาก เมื่อพิจารณาว่าเที่ยวบินนี้เคยทำการบินมาแล้วเมื่อ 9 ปีก่อน ก่อนที่จะหยุดดำเนินการไปในปี 2013 จากภาวะราคาน้ำมันพุ่งกว่า 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล 

สื่อมวลชนหลายรายยกให้การนำเที่ยวบินนี้กลับสู่ตารางบินอีกครั้งของ Singapore Airlines เป็นศักราชใหม่ของไฟลท์บินตรงระยะไกล (ultra-long-haul) สำนักข่าว BBC พาดหัวเชิงตั้งคำถามว่า “นี่คืออนาคตของเที่ยวบินระยะไกลหรือไม่?” ขณะที่นิตยสาร Fortune พาดหัวยาวเหยียด “19 ชั่วโมงสู่ Newark: Singapore Airlines กลับมาทวงบัลลังก์ศึกเที่ยวบินระยะไกลของโลก” 
<ul class="listtype-bullet listindent1 list-bullet1">
 	<li><a href="http://forbesthailand.com/news-detail.php?did=2800">Singapore Airlines เปิดเที่ยวบินตรงยาวที่สุดในโลก ตอบโจทย์ผู้โดยสารพรีเมียม</a></li>
</ul>
ถึงแม้ว่าเที่ยวบินข้ามโลกแบบนี้จะกินใจมนุษยชาติที่ต่างมีโลกแฟนตาซีของการได้บินเคียงคู่ไปกับฝูงนก แต่ในแง่มุมความเป็นจริงเชิงเศรษฐศาสตร์นั้นแตกต่างออกไป

การแข่งขันรอบล่าสุดของไฟลท์บินระยะไกลเกิดขึ้นในช่วงกลางทศวรรษ 2000s ด้วยตัวแปรสำคัญคือเครื่องบิน Boeing 777 และ Airbus A340 (777-200LR และ A340-500) สายการบินต่างแสวงหาข้อได้เปรียบจากโมเดลเครื่องบินใหม่ที่สามารถบินได้นาน 18 ชั่วโมงนี้ด้วยการออกเที่ยวบินเชื่อมต่อระหว่างทวีปเอเชียกับสหรัฐอเมริกา จนถึงปี 2008 มีไฟลท์บินไกลกว่า 8,000 ไมล์ทั้งหมด 10 เที่ยวบินในตาราง

แต่ในความเป็นจริงนั้น หลายสายการบินต้องเผชิญปัญหา สายการบินไทยยกเลิกไฟลท์บินจากกรุงเทพฯ สู่ L.A. และ New York ขณะที่ Singapore Airlines เปลี่ยนแปลงเที่ยวบินสู่ New York เป็นเที่ยวบินชั้นธุรกิจทั้งลำ 100 ที่นั่งซึ่งดำเนินการอยู่ 5 ปีก่อนจะต้องยอมจำนนและยกเลิกไป

<figure><img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/d3f459456c7be17062bdbe2ed9bb976b.jpg" alt="" width="638" height="309" /><figcaption> การบินไทยเองก็เคยมีเที่ยวบินตรงจากกรุงเทพฯ สู่ Los Angeles และ New York ซึ่งต้องใช้เวลาบินนานถึง 18 ชั่วโมง</figcaption></figure>

เหตุและผลนั้นง่ายดาย นั่นคือ การที่คุณจะบินได้ไกลขึ้น คุณต้องแบกเชื้อเพลิงที่มากขึ้นไปด้วย และเมื่อต้องเพิ่มปริมาณเชื้อเพลิง คุณก็ต้องสละพื้นที่ว่างบนเครื่องซึ่งควรจะนำมาใช้สร้างรายได้ 

ถึงแม้ว่าบริษัทผลิตเครื่องบินจะอ้างว่าโมเดลเครื่องรุ่นใหม่สามารถเพิ่มประสิทธิภาพได้ 25% แต่เครื่องบินเหล่านี้ก็ยังบริโภคน้ำมันประมาณ 6 ตันต่อชั่วโมง ดังนั้นการบินระยะไกลเพิ่มขึ้นอีก 4 ชั่วโมงแปลว่าเครื่องจะต้องการน้ำมันเพิ่มอีกอย่างน้อย 25 ตัน ปริมาณเชื้อเพลิง 25 ตันที่จะทำให้เครื่องขาดพื้นที่บรรทุกคนหรือสิ่งของเพิ่มเพียงเพื่อทำให้เครื่องไม่ต้องหยุดแวะกลางทางแม้แต่จุดเดียว

นอกจากนี้ยังมีต้นทุนอื่นๆ อีกสำหรับเที่ยวบินไม่แวะพักยาว 18 ชั่วโมง นั่นคือลูกเรือ 2 ชุดสำหรับสับเปลี่ยนระหว่างที่อีกชุดหนึ่งพักผ่อน, บริการอาหารที่ซับซ้อนขึ้น รวมถึงน้ำสำหรับดื่มและสำหรับบริการห้องน้ำบนเครื่องบิน หากต้องการรายได้ที่ครอบคลุมต้นทุนเหล่านี้ เที่ยวบินนั้นๆ จะต้องได้ค่าพรีเมียมที่สูงกว่าไฟลท์บินแบบแวะพักทั่วไป

แม้ต้นทุนจะสูงแต่ 2-3 ปีที่ผ่านมาจำนวนเที่ยวบินระยะไกลก็เริ่มเพิ่มขึ้นอีกครั้ง เส้นทางบินในตารางเดือนตุลาคมนี้ที่มีเที่ยวบินไกลกว่า 8,000 ไมล์ถึง 26 เส้นทางรวมถึงอีก 3 เส้นทางที่กำลังจะประกาศเร็วๆ นี้(ข้อมูลจาก OAG วิเคราะห์โดย ICF) 

ผู้ที่สนับสนุนเที่ยวบินระยะไกลมักกล่าวว่า ด้วยเทคโนโลยีเครื่องบินโมเดลใหม่ เช่น เครื่องบินเครื่องยนต์คู่ A350-ULH นั้นประหยัดน้ำมันกว่าเครื่องบินรุ่นก่อนๆ จนสามารถเปลี่ยนสมการการบินพาณิชย์ได้ ซึ่งตัวแปรนี้อาจจะเป็นไปได้สำหรับบางเส้นทาง

<figure><img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/856a5021f4c95fe51715d909d8acbadf.jpg" alt="" width="638" height="390" /><figcaption> Dubai ฮับการบินพาณิชย์ของโลกซึ่งกลายเป็นตัวแปรใหม่ของเส้นทางบินระยะไกล ( PHOTO CREDIT: Emirates)</figcaption></figure>

อย่างไรก็ตาม มีปรากฏการณ์อื่นที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกันด้วย กล่าวคือ เที่ยวบินระยะไกลหลายเส้นทางในยุคบูมก่อนหน้านี้เป็นเส้นทางที่เชื่อมต่อเมืองหลักทางธุรกิจเข้าด้วยกัน โดยเป็นเส้นทางที่ผู้โดยสารส่วนใหญ่ยินดีจ่ายค่าพรีเมียมเพื่อเดินทางจากจุด A ไปยังจุด B โดยไม่แวะพัก 

ในทางกลับกัน ครึ่งหนึ่งของเส้นทางบินไกลทุกวันนี้เป็นการเชื่อมต่อไปยังฮับขนาดใหญ่ในตะวันออกกลาง ยกตัวอย่างเช่น ไฟลท์บิน Dubai-Auckland ที่เริ่มบินเมื่อปี 2016 พนันได้เลยว่าผู้โดยสารจำนวนมากต้องการไปเปลี่ยนเครื่องที่ Dubai เพื่อเดินทางสู่จุด C ต่อไป สำหรับผู้โดยสารกลุ่มนี้ ไฟลท์บินระยะไกลเส้นทางใหม่จากจุด A ตรงไปจุด C น่าจะเป็นการเชื่อมต่อที่ดี แต่ขึ้นอยู่กับว่าผู้โดยสารเหล่านี้จะยอมจ่ายค่าพรีเมียมหรือไม่?

แน่นอนว่ามีผู้โดยสารกลุ่มหนึ่งที่ยอมจ่ายมากกว่าเพื่อบินข้ามโลกแบบไม่แวะพัก นั่นคือผู้โดยสารธุรกิจ เตียงนอนราบ 180 องศาและคืนแห่งการพักผ่อนที่ดีนั้นคุ้มค่าพอที่พวกเขาจะจ่ายเพิ่มอีก 1,000 เหรียญสหรัฐฯ ซึ่งเส้นทางบินระยะไกลประมาณ 10 เส้นทางทั่วโลกนั้นมีดีมานด์ดังกล่าวมากพอจะสร้างรายได้จากค่าพรีเมียม โดย 5 เส้นทางในจำนวนนั้นเป็นไฟลท์บินไป-กลับจากออสเตรเลีย ส่วนเส้นทางบินระยะไกลใหม่ๆ ที่เพิ่งเปิดตัวนั้นยังยากที่จะตัดสินความคุ้มค่า

ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ไฟลท์ระยะไกลเส้นทางใหม่เหล่านี้จะยังคงถูกจับตามอง เราอาจจะลืมเวทมนต์ของการบินไปในเส้นทางระยะใกล้ แต่เมื่อเป็นการบินไกลถึง 8,000 ไมล์บนฟากฟ้า สิ่งนี้จะยังคงเป็นความมหัศจรรย์อยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นการบินของนกอพยพหรือนกเหล็กก็ตาม

&nbsp;

แปลและเรียบเรียงจาก <a href="https://www.forbes.com/sites/samuelengel1/2018/10/23/in-bird-versus-singapore-airlines-airbus-bird-flies-longer/#5e1e5256d7ea">What's Behind The New Boom In Ultra-Long-Haul Airline Flights </a>โดย Samuel Engel รองประธานและกรรมการผู้จัดการด้านการบิน ICF ตีพิมพ์ใน forbes.com

เบื้องหลังยุคบูมครั้งใหม่ของเส้นทางบินระยะไกล (ultra-long-haul)

<h2>ก้าวหน้าไปอีกขั้นในธุรกิจการบิน เมื่อ Singapore Airlines เริ่มเปิดให้บริการเที่ยวบินสิงคโปร์-นิวยอร์ก อย่างเป็นทางการเเล้ว นับเป็นเที่ยวบินตรงที่ยาวที่สุดในโลก ด้วยระยะเวลาการเดินทางรวมกว่า 19 ชั่วโมง  ท่ามกลางการเเข่งขันของสายการบินต่างๆ ที่พยายามทำลายสถิติให้บริการเที่ยวบินตรงที่ยาวที่สุด</h2>
เครื่องบิน แอร์บัส A350-900ULR ของ Singapore Airlines เดินทางออกจากสนามบินนานาชาติ  Changi ตั้งแต่วันพฤหัสบดีผ่านมา และมาถึงสนามบิน Newark Liberty นครนิวยอร์ก ในช่วงเช้าวันศุกร์รวมระยะทาง 15,350 กิโลเมตร

เว็บไซต์ของ Singapore Airlines ระบุเวลาออกเดินทางในเวลา 23.35 น. ตามเวลาท้องถิ่นสิงคโปร์ และจะใช้เวลาเดินทางราว 19 ชั่วโมง 25 นาที โดยขึ้นอยู่กับสภาพอากาศและลมระหว่างการบิน

ก่อนหน้านี้ สายการบิน Qantas ได้เปิดบริการเที่ยวบินตรงยาว 17 ชั่วโมงจากนครเพิร์ธ ประเทศออสเตรเลีย ถึงกรุงลอนดอนของสหราชอาณาจักร เมื่อต้นปีที่ผ่านมา ส่วนสายการบิน Qatar Airways ก็เปิดบินตรงยาว 17 ชั่วโมงครึ่ง จากนครโอ๊คแลนด์ของนิวซีแลนด์ สู่กรุงโดฮาของการ์ตา

Singapore Airlines กลับมาเปิดให้บริการเส้นทางนี้อีกครั้ง หลังยกเลิกไปเมื่อ 5ปีก่อน เนื่องจากต้นทุนการบินที่สูงเกินรับไหว เเต่หลังการประโคมข่าวมาอย่างต่อเนื่อง ที่นั่งของเที่ยวบินนี้กว่า 161 ที่นั่งก็ถูกจองเต็มเกือบทั้งหมดเเละที่นั่งสำรองเเทบไม่เพียงพอ

โดยเที่ยวบินนี้ไม่มีที่นั่งแบบประหยัด (Economy) แต่มีที่นั่งแบบ 'premium economy' จำนวน 94 ที่นั่ง และ business-class  67 ที่นั่ง ราคาค่าโดยสารแบบถูกที่สุดนั้นอยู่ที่ระดับมากกว่า 2,100 เหรียญสหรัฐฯ 

<img class="aligncenter" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/300fc1dc082f426f991bc98115daf061.jpg" alt="" />

สำหรับบริการที่นั่งชั้น  business-class จะมีอาหารให้บริการ 2 มื้อเเละสามารถเลือกเมนูอาหารมื้ออื่นเวลาใดก็ได้ รวมถึงบริการเครื่องดื่มระหว่างการบิน พร้อมเตียงหรูหราให้ผู้โดยสารสามารถนอนหลับอย่างสบายตลอดการเดินทาง ขณะที่การบริการในชั้น premium economy จะมีอาหาร 3 มื้อ และเครื่องดื่มให้บริการ

โดยมีการร่วมมือกับ Canyon Ranch ผู้ให้บริการ Health Spa Resort พัฒนาหาวิธีทำให้ผู้โดยสารนอนหลับได้ง่ายขึ้น การลดอาการปวดเมื่อยด้วยการหารูปแบบการยืดเส้นยืดสายบนเครื่อง รวมไปถึงการสรรหาเมนูอาหารที่ใช้หลักโภชนาการช่วยให้รู้สึกดี หรือสามารถเลือกเมนูอาหารได้ตามใจชอบ

ในส่วนของที่นั่งชั้น  business-class เป็นที่นั่งรุ่นใหม่ล่าสุดของสายการบิน 67 ที่นั่งจัดเรียงในรูปแบบ 1-2-1 แต่ละห้องกว้าง 28 นิ้ว ระยะห่าง 60 นิ้วระหว่างเบาะนั่งให้สามารถเอนเตียงนอนขนาด 78 นิ้วได้  มีจอให้ความบันเทิงขนาด 18 นิ้วรวมทั้งบริการระบบชาร์ตไฟภายในและ USB

ด้าน premium economy มีทั้งหมด 94 ที่นั่ง จัดเรียงในรูปแบบ 2-4-2 รูปแบบ แต่ละห้องกว้าง 19.5 นิ้วและมีระยะห่าง 38 นิ้ว จอให้ความบันเทิงขนาด 13.3 นิ้วและที่ชาร์ตเเบตเตอรี่ภายในที่นั่ง

ผู้โดยสารทุกคนสามารถรับชมภาพยนตร์ที่มีให้เลือกกว่า 1,200 ชั่วโมงเเละมีรายการโทรทัศน์จำนวนมาก เเละหากต้องการทำงานบนเครื่องบินก็สามารถจ่ายค่าบริการเพิ่มเพื่อใช้งานอินเทอร์เน็ตความเร็ว 200 Mbps ได้

<img class="aligncenter" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/831a314368015af34803da98759082b4.jpg" alt="" />

อีกหนึ่งความพิเศษของเที่ยวบินนี้ Singapore Airlines เลือกใช้เครื่องบินแอร์บัส รุ่น A350-900 ULR (ultra-long-range ) เครื่องบินระยะไกลระบบ 2 เครื่องยนต์ ออกแบบมาแทนเครื่องบินโบอิ้ง รุ่น 777 โดยมีอัตราการกินน้ำมันน้อยกว่า 20-30 % ซึ่งพัฒนาให้รับกับยุคที่ราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้น

ในช่วงปี 2004-2013 ที่ Singapore Airlines เคยให้บริการในเส้นทางบินตรงสิงคโปร์-นิวยอร์ก ในช่วงนั้นใช้เครื่องบินแอร์บินแอร์บัส A340-500 ซึ่งกินน้ำมันเป็นอย่างมากทำให้ต้นทุนการบินสูงจนต้องหยุดให้บริการไป

Geoffrey Thomas ผู้เชี่ยวชาญด้านการบิน ซึ่งเป็นผู้โดยสารคนหนึ่งบนเที่ยวบินนี้ ให้ความเห็นว่าจุดประสงค์การให้บริการเที่ยวบินระดับพรีเมียม คือการตอบโจทย์ผู้มีกำลังซื้อสูง ด้วยเป็นเส้นทางบินระหว่างเมืองศูนย์กลางทางการเงินขนาดใหญ่ของโลก

"ผู้โดยสารของเที่ยวบินเส้นทางนี้จะเต็มไปด้วยนักธุรกิจ นักท่องเที่ยวที่ร่ำรวย พวกเขาต้องการความสะดวกสบายของเที่ยวบินตรงเเละไม่ต้องการเเวะพักที่ไหน" 

<figure><img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/7eba3dae53e9dc15055cbab1ebad330e.jpg" alt="" width="638" height="359" /><figcaption> PHOTO : Airbus</figcaption></figure>

ที่มา
<ul>
 	<li>https://www.bbc.com/news/business-45795573</li>
 	<li>https://www.forbes.com/sites/ericrosen/2018/10/11/worlds-new-longest-flight-from-singapore-to-newark-launches-today/#21d394a22aca</li>
 	<li>https://qz.com/quartzy/1417867/the-worlds-longest-flight-is-singapore-airlines-sin-to-ewr/</li>
</ul>
ภาพ :  Singapore Airlines

Singapore Airlines เปิดเที่ยวบินตรงยาวที่สุดในโลก ตอบโจทย์ผู้โดยสารพรีเมียม

ในยุคนี้ เครื่องบินพาณิชย์ของสายการบินต่างๆ ไม่ได้เป็นเพียงพาหนะอีกต่อไป โดยเฉพาะในชั้นโดยสารธุรกิจและชั้นหนึ่ง ที่นำความหรูหราเข้ามาสร้างความสะดวกสบายให้เกิดขึ้น เพื่อให้การเดินทางเป็นไปได้อย่างราบรื่นและงดงามที่สุด มีเตียงนอนราบสบายๆ เหมือนโรงแรมชั้นหนึ่ง มีอาหารหรูจากเชฟที่มีชื่อเสียงเสิร์ฟพร้อมแชมเปญอย่างดี ฯลฯ จนอาจเพลินถึงที่หมายอย่างไม่ตัว

Luxury on the Sky

“เครื่องบิน” อาจจะมีนิยามว่าเป็นพาหนะมีวัตถุประสงค์บ่งใช้คือพาผู้คนเดินทางจากที่หนึ่งไปยังอีกที่ในเวลาที่รวดเร็ว ความลำบาก เมื่อยขบ นั่งไม่สบาย ฯลฯ ก็เป็นภาวะส่วนหนึ่งของการเดินทาง แต่ในยุคสมัยนี้เครื่องบิน โดยเฉพาะเครื่องบินพาณิชย์ของสายการบินต่างๆ ไม่ได้เป็นเพียงพาหนะอีกต่อไป โดยเฉพาะในชั้นโดยสารธุรกิจและชั้นหนึ่ง ที่นำความหรูหราเข้ามาสร้างความสะดวกสบายให้เกิดขึ้น เพื่อให้การเดินทางเป็นไปได้อย่างราบรื่นและงดงามที่สุด

<img src="http://forbesthailand.com/uploads/library/d2134b6f1249ec76f854801d5ba83ecf.png" alt="" />

<img src="http://forbesthailand.com/uploads/library/935dba3cba36bb9ed7d2ba97a7c1d397.png" alt="" />

Singapore Airlines มีชื่อเสียงมานานด้านบริการ ได้รับรางวัลมานับไม่ถ้วน Singapore Airlines สสร้างปรากฏการณ์ความหรูถึงขีดสุดก่อนใคร ด้วยบริการชั้นหนึ่ง “สวีทคลาส” ที่ทำให้ไฟลต์สุดน่าเบื่อยาวนานอย่าง Singapore New York กลายเป็นเรื่องชิลล์ๆ เมื่อสร้างห้องส่วนตัวในเครื่องบิน A 380 ให้ผู้โดยสารมีห้องสวีทที่จะใช้นั่งได้ นอนได้ มาคนเดียวก็อยู่ห้องเดี่ยว แต่ถ้ามาคู่ สามารถปรับห้องส่วนตัวให้เป็นห้องคู่ พร้อมเตียงคู่ได้ด้วย

<img src="http://forbesthailand.com/uploads/library/6ba8e6107ebe86d914505bb398fe8de4.png" alt="" />

อีกสายการบินที่ขึ้นชื่อเรื่องความความหรูหราของชั้นธุรกิจและชั้นหนึ่ง ก็คือสายการบิน Emirates ที่นอกจากจะทำห้องสวีทสส่วนตัวให้ผู้โดยสารชั้นหนึ่ง โดยทีนั่งเป็นส่วนตัวมีประตูเลื่อนปิด ในห้องนั้นมีมินิบาร์ส่วนตัวแต่ถ้าอยากดื่มอะไรเป็นพิเศษ แค่แง้มประตูแกร๊กเดียว พนักงานต้อนรับที่คอยมองอยู่ก็จะปราดเข้ามาถามทันที “จะรับอะไรคะ” แล้วถ้าเดินทางพร้อมกันหลายคน อยากไปสังสรรค์ที่เลานจ์ก็ยังได้ โดยเลานจ์นั้นมีเครื่องดื่มและอาหารรองรับแบบไม่แพ้บาร์หรูๆ ในโรงแรมสักแห่งสิ่งที่เป็นความหรูอย่างที่สุดของห้องโดยสารชั้นหนึ่งบนเครื่องบิน Emirates คือห้องอาบน้ำแบบสปาที่มีถึง 2 ห้อง แต่ละห้องมีฝักบัวอาบน้ำพร้อมน้ำที่สามารถควบคุมอุณหภูมิและเวลาได้ โดยแยกเป็นสัดส่วนกับอ่างล้างหน้าบริเวณที่เปลี่ยนเสื้อผ้าและสุขภัณฑ์ ทั้งนี้ที่เป่าผมให้ด้วยเหมือนเข้าพักที่โรงแรม 5 ดาวอย่างไรอย่างนั้น สามารถอาบน้ำสำราญใจได้ทั้งๆ ที่ลอยอยู่บนฟ้า

<img src="http://forbesthailand.com/uploads/library/cebfeb36dbec5ad9bee433f564cfbe58.png" alt="" />

<img src="http://forbesthailand.com/uploads/library/b6217006f964be403fa78393af7c8bf2.png" alt="" />

และสำหรับ Best Airlines in The World ของ Skytrax ถึง 4 ใน 6 ปี ตั้งแต่ปี 2010 เป็นต้นมา อย่างสายการบิน Qatar Airways รางวัลชั้นธุรกิจที่ดีที่สุด ด้วยที่นั่งแบบ Q-suites ให้ห้องส่วนตัวซึ่งสามารถปรับ 2 ที่นั่งรวมกันเป็นเตียงคู่ได้เช่นกัน ก็ทำให้ความหรูหราของการโดยสารเครื่องบินนั้นก้าวไปอีกขั้นหนึ่ง คือไม่แพงมาก แต่ก็หรูได้เหมือนกัน นี่เรายังไม่ได้พูดถึงว่า บนเครื่องบิน เสิร์ฟแชมเปญ Dom Perignon อาหารระดับเชฟมิชลิน 3 ดาว มีเครื่องใช้ amenity kits จากแบรนด์ดังระดับโลก ชุดนอนของดีไซเนอร์หูฟังเทคโนโลยีล่าสุดกับโปรแกรมเอนเตอร์เทนเมนท์คุณภาพโฮมเธียเตอร์และหนังเรื่องล่าสุดที่ยังฉายอยู่ในโรงภาพยนตร์ด้วย

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events