<h2>มหาเศรษฐีผู้ใจบุญ เหล่านี้คือนักลงทุนระดับเอบวกนี้ทำให้ AltSchool มีทุนสำรองในการทำสงครามในแวดวงเทคโนโลยีการศึกษาที่ไม่น้อยหน้าคู่แข่งรายใดๆ ขอเชิญทำความรู้จักกับบรรดาเจ้าของเงินผู้หลักแหลมซึ่งยินยอมพร้อมรับความเสี่ยง เพียงแค่คุณมีของดีติดตัวมา</h2>
<img class="alignnone wp-image-15318 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/08/MARK-ZUCKERBERG.jpg" alt="มหาเศรษฐีผู้ใจบุญ นักลงทุนระดับเอบวกเพื่อการศึกษา" width="328" height="342" />

MARK ZUCKERBERG
<em>Chan Zuckerberg Initiative</em>

Mark Zuckerberg และ Priscilla Chan ผู้เป็นภรรยาได้ลงทุนกว่า 300 ล้านเหรียญในบริษัทเทคโนโลยีการศึกษา องค์กรที่ไม่แสวงหาผลกำไร และองค์กรบริหารเขตพื้นที่การศึกษาหลายต่อหลายแห่ง Zuckerberg ได้เขียนจดหมายถึง Maxima ผู้เป็นลูกสาวในขณะที่ยังเป็นทารกน้อยในปี 2015 ซึ่งมีเนื้อความตอนหนึ่งว่า “ลูกจะมีเทคโนโลยีที่เข้าใจว่าลูกจะสามารถเรียนรู้ได้ดีที่สุดด้วยวิธีใด และมีจุดไหนบ้างที่ลูกต้องเน้นเป็นพิเศษ”

&nbsp;

<img class="alignnone wp-image-15321 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/08/PETER-THIEL.jpg" alt="มหาเศรษฐีผู้ใจบุญ นักลงทุนระดับเอบวกเพื่อการศึกษา" width="328" height="342" />

PETER THIEL
<em>Founders Fund</em>

มหาเศรษฐีผู้ใจบุญ ศิษย์เก่าจาก Stanford ผู้นี้เป็นที่รู้กันทั่วไปว่าตัวเขาเกลียดชังระบบการศึกษาแบบดั้งเดิม และกองทุนเงินร่วมลงทุนของเขาได้ลงทุนในธุรกิจเพื่อการศึกษาหลายต่อหลายแห่ง ซึ่งรวมถึงผู้ผลิตซอฟต์แวร์การเรียนรู้เชิงปรับตัวอย่าง Declara และ Knewton “ผมคิดว่าข้อเสียอย่างหนึ่งของการเรียนมากเกินไปก็คือคุณจะยิ่งถูกล้างสมอง”

&nbsp;

<img class="alignnone wp-image-15320 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/08/LAURENE-POWELL-JOBS.jpg" alt="มหาเศรษฐีผู้ใจบุญ นักลงทุนระดับเอบวกเพื่อการศึกษา" width="328" height="342" />

LAURENE POWELL JOBS
<em>Emerson Collective</em>

Emerson ให้คำมั่นว่าจะมอบเงิน 130 ล้านเหรียญให้กับโรงเรียนรัฐบาล 19 แห่งทั่วประเทศ “โรงเรียนเป็นสิ่งที่ช่วยทำให้ฉันประสบความสำเร็จได้อย่างแท้จริง...ฉันตระหนักดีจากส่วนลึกในจิตใจว่าถ้าหากไม่มีโรงเรียน ฉันก็จะไม่มีทางได้รับโอกาสดีๆ ในชีวิตอย่างที่เป็นอยู่ในตอนนี้”

&nbsp;

<img class="alignnone wp-image-15322 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/08/MARC-ANDREESSEN.jpg" alt="มหาเศรษฐีผู้ใจบุญ นักลงทุนระดับเอบวกเพื่อการศึกษา" width="328" height="342" />

MARC ANDREESSEN
<em>Andreessen Horowitz</em>

บรรดาบริษัทที่ธุรกิจเงินร่วมลงทุนของ Andreessen ให้การสนับสนุนอยู่ มีทั้งเครือข่ายของศูนย์ดูแลเด็กในครัวเรือนอย่าง Wonderschool และ ผู้ให้บริการ MOOC อย่าง Udacity “ห้องเรียนแห่งอนาคตจะต้องนำเทคโนโลยีมาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้มากกว่าที่เป็นอยู่ทุกวันนี้”

<img class="alignnone wp-image-15319 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/08/PIERRE-OMIDYAR.jpg" alt="มหาเศรษฐีผู้ใจบุญ นักลงทุนระดับเอบวกเพื่อการศึกษา" width="328" height="342" />

PIERRE OMIDYAR
<em>Omidyar Network</em>

บริษัทซึ่งลงทุนในธุรกิจที่มุ่งสร้างผลกระทบเชิงบวกให้กับสังคมของผู้ก่อตั้ง eBay ได้ให้การสนับสนุนธุรกิจเงินร่วมลงทุนด้านการศึกษาเกือบ 100 แห่ง นับตั้งแต่ LearnZillion แพลตฟอร์มรวบรวมเนื้อหาเกี่ยวกับการเรียนการสอนสำหรับครูผู้สอนไปจนถึงผู้ผลิตวิดีโอเพื่อการเรียนรู้ซึ่งดูได้ฟรีอย่าง Khan Academy “คุณต้องพบความล้มเหลวในการลงมือทำบางสิ่งบางอย่าง นั่นถือเป็นประสบการณ์ในการเรียนรู้ซึ่งขาดไม่ได้ เพื่อที่คุณจะสามารถใช้ประสบการณ์ดังกล่าวเป็นสะพานก้าวไปพบประสบการณ์ครั้งใหม่”

<em>เรื่อง: Susan Adams  เรียบเรียง: ริศา</em>

<hr />

<a href="https://bit.ly/2XhaPQ1">คลิกอ่านฉบับเต็ม "AltSchool เงินทุนก้อนโตและเดิมพันครั้งใหญ่เพื่อเด็กตัวน้อย" ได้ที่ นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนกรกฎาคม 2562 ในรูปแบบ e-Magazine</a>

<img class="alignnone wp-image-10127" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/07/cover-750.jpg" alt="" width="300" height="394" />

มหาเศรษฐีผู้ใจบุญ นักลงทุนระดับเอบวกเพื่อการศึกษา

<h2><strong>โผคะแนน </strong><strong>: ผู้คว้าทุนของ Thiel มีผลงานเป็นอย่างไรกันบ้าง?</strong></h2>
<strong>Peter Thiel</strong> เศรษฐีอเมริกัน ผู้ก่อตั้ง <strong>Founders Fund</strong> เวนเจอร์แคปิตอลแถวหน้าของสหรัฐอเมริกา (และยังติดอันดับที่ 74 ของบุคคลทรงอิทธิพลที่สุดของโลกในปี 2016 จัดอันดับโดย Forbes หลังจากที่เขาสนับสนุน Donald Trump อย่างเปิดเผย) เมื่อปี 2011 Thiel ริเริ่มโครงการสุดแหวกแนว โดยจะมอบทุน 100,000 เหรียญ ให้กับวัยรุ่นที่ต้องการเลิกเรียนเพื่อตามฝันสร้างธุรกิจของตนเอง โครงการนี้ติดกระแสได้รับการพูดถึงอย่างรวดเร็วเมื่อมีผู้หลั่งไหลเข้ามาสมัครเป็นจำนวนมาก

ในท้ายที่สุดผู้ประกอบการวัยรุ่น 24 รายได้รับทุนจากโครงการ <strong>Thiel Fellowship</strong> เป็นรุ่นแรก ในอีก 5 ปีถัดมาผู้ได้รับทุนรุ่นแรกมีเส้นทางเดินที่แตกต่างกันไป บางคนยังคงยึดมั่นอยู่กับแนวคิดธุรกิจเดิมขณะที่คนอื่นเปลี่ยนแนวธุรกิจไปจากเดิมโดยสิ้นเชิง และมีเพียงไม่กี่รายที่สามารถก้าวไปสู่ความสำเร็จแห่งเวทีธุรกิจของ Silicon Valley โดยสามารถระดมทุนเพื่อสร้างธุรกิจของตัวเอง

<em>รายงาน: Matt Drange</em>
<em>ขอบคุณภาพปก</em><em>: Kyle Kirchhoff/Forbes</em>

&nbsp;
<h2>การระดมทุน</h2>
<figure><img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/8b32f1f493a86cbfeffe66564a827ae4.png" alt="" width="680" height="353" /><figcaption> Paul Gu หยุดการเรียนในมหาวิทยาลัย Yale ในขณะที่เขาอายุ 20 ปีเพื่อรับทุน, Andrew Hsu เป็นนักเรียนด้านประสาทวิทยาศาสตร์ที่มหาวิทยาลัย Stanford เขาดรอปเรียนเพื่อรับทุนก่อตั้งกิจการในวัย 19 ปี</figcaption></figure>

มีสมาชิกโครงการ Thiel Fellowship เพียง 4 รายหรือคิดเป็น 16% ที่สามารถระดมทุนมูลค่ามากกว่า 1 ล้านเหรียญนับตั้งแต่ได้รับข้อเสนอจาก Thiel ผู้นำกลุ่มคือ <strong>Paul Gu</strong> ผู้ร่วมก่อตั้ง Upstart ซึ่งเขาระดมทุนไปได้ 53 ล้านเหรียญสำหรับธุรกิจกู้ยืมเงินออนไลน์ ขณะที่ <strong>Andrew Hsu</strong> คือคนแรกที่ระดมทุนสำเร็จ โดยได้รับเงินทุนไป 1.5 ล้านเหรียญเพื่อขยายธุรกิจ Airy Labs ผู้ผลิตเกมเพื่อการศึกษาสำหรับเด็ก

&nbsp;
<h2>
เกาะติดแผนเดิม</h2>
<figure><img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/80fc6b8a87da557657e63554ed3b18d8.png" alt="" width="680" height="353" /><figcaption> Laura Deming ชาวนิวซีแลนด์ เธอฉายแววด้านชีววิทยาตั้งแต่ 8 ขวบ และได้รับอนุมัติเข้าเรียนใน MIT ตั้งแต่อายุ 14 ปี ก่อนจะได้รับทุน Thiel เมื่ออายุ 16 ปี, Dale Stephens เข้าร่วม Thiel Fellowship เมื่ออายุ 19 ปี การศึกษาของเขาเกือบทั้งหมดเป็นการเรียนด้วยตนเองที่บ้าน (Homeschool) </figcaption></figure>

สมาชิกราวครึ่งหนึ่งยังคงยึดมั่นกับแผนธุรกิจดั้งเดิม อย่างเช่น <strong>Dale Stephens</strong> ที่ยังคงมุ่งหน้ากับ UnCollege ธุรกิจที่เขาก่อตั้งขึ้นเพื่อช่วยให้คำแนะนำนักเรียนที่กำลังจะเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัยค้นหาตัวเองในช่วงหยุดเรียน 1 ปี ทางด้าน <strong>Laura Deming</strong> ยังคงมุ่งผลักดันกองทุนร่วมลงทุนที่มุ่งเน้นธุรกิจเทคโนโลยีชีวภาพของเธอที่ชื่อ Longevity Fund

&nbsp;
<h2>
สานต่อความสัมพันธ์กับ Thiel</h2>
มี 4 คนที่ยังมีความสัมพันธ์กับ Thiel ได้แก่ <strong>James Proud</strong> ผู้ก่อตั้งบริษัท Hello ซึ่งพัฒนาอุปกรณ์ติดตามคุณภาพการนอนหลับ <a href="http://forbesthailand.com/people-detail.php?did=1647">(อ่านเพิ่มเติม: James Proud ลูกแกะแตกฝูง)</a>

<figure><img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/48a0d8bb766f99cc19ffc5cefd156c83.png" alt="" width="340" height="356" /><figcaption> Eden Full Goh เริ่มสร้างผลิตภัณฑ์ด้านพลังงานแสงอาทิตย์ SunSaluter ตั้งแต่อายุ 11 ปี และเข้ารับทุน Thiel เมื่ออายุ 19 ปี</figcaption></figure>

ด้าน <strong>Eden Full Goh</strong> ลงมือก่อตั้งบริษัทด้านพลังงานแสงอาทิตย์ก่อนย้ายมาร่วมทีม Palantir บริษัทวิเคราะห์ข้อมูลของ Thiel ขณะที่ Tom Currier ย้ายมานั่งตำแหน่งผู้ประกอบการชั่วคราวใน Founders Fund ของ Thiel หลังจากจัดตั้งบริษัท Black Swan Solar ส่วน Daniel Friedman ได้รับเงินทุนจาก FF Angel หนึ่งในบริษัท VC ของ Thiel เพื่อใช้ขยาย Thinkful ธุรกิจเกิดใหม่ของเขาที่เสนอบริการสอนเขียนโปรแกรมผ่านระบบออนไลน์

&nbsp;
<h2>
ศึกษาต่อ</h2>
<figure><img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/c8d3e9835f75a7619cc6ac671ebe652e.png" alt="" width="340" height="356" /><figcaption> David Luan ศึกษาที่มหาวิทยาลัย Yale มาแล้ว 2 ปีก่อนจะดรอปเรียนมารับทุน และกลับไปเรียนต่ออีกครั้ง แต่ขณะนี้ Luan ได้กลับมาสานต่อบริษัท Dextro ของตนเองแล้ว</figcaption></figure>

กฎของ Thiel ไม่ได้ระบุว่าสุดท้ายแล้วสมาชิกโครงการห้ามเรียนต่อ สมาชิกอย่างน้อย 5 รายตัดสินใจศึกษาต่อ หนึ่งในนั้นรวมถึง <strong>David Luan</strong> ซึ่งคว้าปริญญาจาก Yale และก่อตั้ง Dextro บริษัทใหม่เกี่ยวกับการสอนให้คอมพิวเตอร์เรียนรู้ด้วยตัวเอง (Machine Learning)
<h2></h2>
<h2><strong>เบนเข็ม</strong></h2>
สมาชิกราว 12 คนเปลี่ยนทิศทางจากธุรกิจเดิมของตน หนึ่งในนั้นคือ Sujay Tyle ทำตามสัญญาด้วยการก่อตั้งเว็บไซต์หางาน Hired ก่อนที่จะเปลี่ยนไปร่วมงานกับ Sherpa Ventures หนึ่งในผู้ลงทุนของ Hired

&nbsp;

ติดตามผลงานสตาร์ทอัพ ผู้คว้าทุน Thiel Fellowship มูลค่า 1 แสนเหรียญ

<h2>ด้วยวัยเพียง 25 ปี <strong>James Proud</strong> ก็มีเงินในกระเป๋าหลักร้อยล้านเหรียญจากการคิดนอกกรอบสร้างธุรกิจเกี่ยวกับการนอนในฐานะผู้ได้รับทุนรุ่นแรกของโครงการ <strong>Thiel Fellowship </strong>เขามุ่งมั่นที่จะเดินหรือล้มเหลวในแบบของตัวเองอย่างไม่แคร์ใคร</h2>
<strong>James Proud</strong> คือสมาชิกรุ่นแรกของบรรดาผู้ที่ได้รับเงินทุนจากโครงการ <strong>Thiel Fellowship</strong> ซึ่งมีทั้งหมด กว่า 122 คนและยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยตลอด 7 ปีที่ผ่านมาผู้ประกอบการวัยรุ่นจะได้รับเงินสนับสนุน คนละ 100,000 เหรียญสหรัฐฯ จาก <strong>Peter Thiel</strong> มหาเศรษฐีผู้มีแนวคิดแหวกแนวภายใต้เงื่อนไขว่าพวกเขาต้องหยุดเรียน นอกจากนี้เขายังเป็นคนที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดอีกด้วย

ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมาเขาสามารถระดมทุนกว่า 40 ล้านเหรียญสำหรับ Hello ธุรกิจเกิดใหม่ของ เขาซึ่งได้รับการประเมินมูลค่าอยู่ที่ราว 250 ล้านเหรียญ เมื่อไม่นานมานี้เขายังได้ระดมทุนเงินกู้ระยะสั้นโดยที่ ตัวเลขการประเมินมูลค่าบริษัทสูงกว่าเดิม ตัวเลขเงินสนับสนุนรวมถึงเงิน 2 ล้านเหรียญจากกระเป๋าของ Thiel ที่เป็นผู้ให้การสนับสนุนเขามาอย่างต่อเนื่อง นับเป็นครั้ง แรกที่ Thiel ควักกระเป๋าส่วนตัวลงทุนในบริษัทที่อยู่ภาย ใต้โครงการของเขา “James มีความโดดเด่นตั้งแต่แรก เห็นด้วยความเป็นคนมุ่งมั่นและไม่ย่อท้อ” Thiel กล่าว

เป้าหมายธุรกิจที่ Proud เลือกคือกิจกรรมหนึ่งของชีวิตที่ทุกคน หนีไม่พ้นเช่นเดียวกับความตายและภาษี นั่นก็คือการนอนหลับ Proud มุ่งความสนใจไปที่ตัวผลิตภัณฑ์ หรือพูดให้ชัดก็คือเจ้า อุปกรณ์ทรงกลมขนาดเท่าลูกเทนนิสซึ่งใช้งานโดยเพียงวางไว้ข้าง ที่นอน จากนั้นเซ็นเซอร์ที่ถูกฝังอยู่จะคอยติดตามพฤติกรรม การนอนหลับและการเคลื่อนไหวรวมถึงสภาพแวดล้อมภายในห้อง อุปกรณ์ราคา 149 เหรียญที่มีชื่อเรียกว่า Sense จะให้คะแนนการนอนหลับของคุณในช่วง 0 ถึง 100 คะแนนและจะช่วยพัฒนาการนอนและคะแนนของคุณให้ดีขึ้น

<figure><img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/2b4dcb39b708e1143b12ec50c3b40a30.png" alt="" width="680" height="453" /><figcaption> (ภาพจาก Forbes.com) Peter Thiel</figcaption></figure>

แหล่งข่าวที่มีความใกล้ชิดกับบริษัทกล่าวว่าตัวเลขคาดการณ์ยอดขาย Sense สำหรับปี 2017 อยู่ ที่ 250,000 เครื่อง ซึ่งหมายความว่ารายได้ของบริษัทจะอยู่ที่ราว 20 ล้านเหรียญ นับเป็นตัวเลขที่น้อยนิดแม้จะเทียบกับบริษัท คู่แข่งที่กำลังถดถอยอย่าง Fitbit ซึ่งน่าจะปิดงบปี 2016 ด้วยตัวเลขรายได้มากกว่า 2.3 พันล้านเหรียญ แต่ยังแทบไม่มีผลกำไร

<strong>Proud</strong> เติบโตขึ้นที่เมืองซึ่งอยู่ห่างจากบ้านเกิดของ Branson ทางตอนใต้ของ London ไปเพียงไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง พ่อของเขาเป็นข้าราชการพลเรือนอังกฤษ ส่วนแม่เป็นเลขาและทำงานเสริมเป็นพนักงานจัดเรียงสินค้าที่ร้านขายของชำในช่วงกลางคืน เมื่ออายุ 17 ปี Proud ริเริ่ม GigLocator เว็บไซต์ที่รวบรวม ข้อมูลเกี่ยวกับตั๋วคอนเสิร์ต Proud เป็นสมาชิกคนแรกในครอบครัวที่เกือบจะได้เรียนต่อระดับปริญญา แต่เมื่อถึงวันที่ต้องลงทะเบียนเขากลับไม่ยอมไป แม้ว่าพ่อแม่ของเขาจะพยายามร้องขอ

หลังจากนั้นในวันหนึ่งของเดือนกันยายน 2010 Proud ได้พบกับผู้ที่จะมาเปลี่ยนชีวิต เขาตอนบ่ายโมงตรงขณะกำาลังนั่งดูการถ่ายทอดสดงานสัมมนา TechCrunch Disrupt ผ่านทางออนไลน์ ในงานดังกล่าว Thiel  ได้ประกาศแผนโครงการสนับสนุนเงินทุนที่ตั้งตามชื่อของเขาว่า Thiel Fellowship โดยจะมอบเงินทุนละ 100,000 เหรียญให้กับ วัยรุ่น 20 รายที่ต้องการหยุดพักเรื่องการเรียนเพื่อไล่ตามความฝัน Proud ตัดสินใจเขียนใบสมัครทันที

เดือนเมษายน 2011 องค์กรของ Thiel ยกหูโทรศัพท์ หาเขาเพื่อแจ้งข่าวดี ทุนจากโครงการนี้สร้างจุดเปลี่ยนในชีวิตให้กับ Proud จากนักโปรแกรมเมอร์ไร้ชื่อเสียงที่ยังอาศัยอยู่กับพ่อแม่กลายเป็นหนึ่งในบรรดาเด็กมีแววที่ได้รับทุนเป็นรุ่นแรกในช่วงที่เขาต้องนอนบนเตียงลมหรือไม่ก็โซฟาเกือบตลอด 1 ปีถัดมา เขาได้ใช้ประโยชน์จากทุกโอกาสที่ชื่อเสียงของ Thiel จะช่วยเบิกทางใน Silicon Valley

<img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/3ec28f59d9040f1ede2ddc62595a9089.png" alt="" />

แนวคิดเริ่มแรกในการก่อตั้ง Hello คือการพัฒนาสายรัดข้อมืออัจฉริยะที่ล้ำหน้ากว่าเดิมแม้จะมี Fitbit และ Jawbone เป็นผู้บุกเบิกตลาด ซึ่งภายหลังการสรรหาทีมงาน Proud มองว่า ศักยภาพของตลาดมีทิศทางที่ไม่สดใสนัก เขาสังเกตว่าไม่มีใครสักคนในทีมใส่อุปกรณ์เหล่านี้นานกว่า 2-3 สัปดาห์ ผลการสำรวจผู้บริโภคส่งสัญญาณในทางเดียวกัน โดยประเมินว่า 1 ใน 3 ของ ผู้ซื้อจะเลิกสวมใส่อุปกรณ์สายรัดข้อมืออัจฉริยะเหล่านี้ภายใน 6 เดือน

Proud เข้ามาทีหลัง คู่แข่งในตลาดที่เขาเริ่มไม่มีความเชื่อมั่น “ดังนั้นถ้าเป็นคุณจะตัดสินใจอย่างไร คุณจะยื่นเงินคืนนักลงทุนและบอกเลิกจ้างพนักงานทั้งหมดหรือไม่” ด้วยแรงกดดันจากสถานการณ์วิกฤตเขาพยายามระดมความคิดหาผลิตภัณฑ์ที่ไม่จำเป็นต้องสวมใส่ตลอดเวลา จนในที่สุดจึงมาจบที่เครื่องติดตามการนอน ผู้บริโภคชื่นชอบคุณสมบัติการใช้งานของสายรัดข้อมืออัจฉริยะแต่ไม่ต้องการสวมใส่มันตลอดทั้งคืน เขาเรียกทุกคน ประชุมด่วนทันทีที่กลับไปถึงและบอกว่าพวกเขาต้องทิ้งผลงานที่ทุ่มเททำมาตลอดปีครึ่งและเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่

ฝ่ายบริหารพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ของ Facebook และสมาชิกคณะกรรมการอีกคนของ Hello นอกจาก Proud กล่าวการตัดสินใจเปลี่ยนทิศทางจากการผลิตอุปกรณ์สวมใส่ได้เหมือน เป็นการดึง Hello ออกจากตลาดที่มีผู้เล่นหนาแน่นและกำลังขยายตัวโดยยอดขายนาฬิกาอัจฉริยะคาดว่าจะอยู่ที่ 67 ล้านเครื่องในปีนี้แต่จะกลายเป็นผู้บุกเบิกในตลาดใหม่

<img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/8717804eb8fa90b83ba71554fae1fc3a.png" alt="" />

<strong>Sense</strong> ประกอบด้วยสองส่วนหลัก ได้แก่ อุปกรณ์ทรงกลมขนาดเล็กสาหรับวางไว้ข้างเตียง ซึ่งโครงสร้างภายในมีทั้ง ไฟ LEDs แผงวงจรและระบบเซ็นเซอร์ที่จะตรวจจับแสง เสียง อุณหภูมิและ คุณภาพอากาศโดยรอบ ส่วนที่สอง เรียกว่า <strong>“Sleep Pill”</strong> สำหรับหนีบไว้ที่หมอนเพื่อตรวจจับความเคลื่อนไหวและส่งข้อมูลการนอนหลับผ่านระบบบลูทูธพร้อมแบตเตอรี่ในตัว

“ปัญหาท้าทายสำคัญคือคุณจะสามารถครอบครองส่วนแบ่งตลาดได้มากพอก่อนผลิตภัณฑ์ลอกเลียนแบบที่ถูกกว่าและมีคุณสมบัติเกือบทัดเทียมกันออกมาตีตลาดได้หรือไม่” Thiel กล่าว “ซึ่งตัวอุปกรณ์สามารถป้องกันได้ยากกว่าระบบซอฟต์แวร์”

ขณะที่ยังมีคำาถามและข้อกังขามากมายเกี่ยวกับ Sense แต่ Proud ยึดทิศทางนี้เป็นหัวใจหลักของธุรกิจ เขาเมินอุปกรณ์ที่ต้องสวมใส่ไว้กับตัว (เช่น Apple Watch) หรือต้องมีปฏิสัมพันธ์โดยตรง (เช่น ระบบบ้านอัจฉริยะจาก Amazon และ Google) และโยนมันทิ้งเป้าหมายของเขาคือนำเสนออุปกรณ์ติดตามตรวจวัดด้านสุขภาพที่ “ไม่ต้องสวมใส่หรือสั่งงานโดยตรง” ที่สามารถครอบคลุมกิจกรรมทั้ง 24 ชั่วโมงของผู้ใช้ และภายหลังการเดินทางไปยังประเทศจีน วิศวกรของเขาแก้ไขจุดบกพร่องของผลิตภัณฑ์เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ได้สำเร็จ

<iframe src="https://www.youtube.com/embed/eJ1dxdkKAYs" width="100%" height="315" frameborder="0" allowfullscreen="allowfullscreen" data-mce-fragment="1"></iframe>

<hr />

<a href="https://goo.gl/kkiaJt">คลิกอ่านฉบับเต็ม "ลูกแกะ แตกฝูง" ได้ที่ Forbes Thailand ฉบับ เมษายน 2560 ในรูปแบบ e-Magazine</a>
<a href="https://goo.gl/kkiaJt"><img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/8b0b2b9aeabc084e54cf4ef4888dc65e.png" alt="" /></a>

ลูกแกะ แตกฝูง

RICH KARLGAARD // INNOVATION RULES <em>เรียบเรียง: นวตา สันติวัฒนา</em><br />
<br />
<span style="color:#008080;"><strong>Steve Jobs</strong></span> เป็นพวกเห็นแก่ได้สุดโต่ง ไม่มีใครโต้แย้งความจริงข้อนี้ เขาอมเงินส่วนแบ่งจาก Atari ในส่วน <strong><span style="color:#008080;">Steve Wozniak</span></strong> เพื่อนและผู้ร่วมก่อตั้ง <span style="color:#daa520;"><strong>Apple</strong></span> แล้วไม่ยอมรับว่าเป็นพ่อของ Lisa ลูกสาวคนแรกอยู่หลายปีโดยกล่าวหาว่าแม่ของเธอมีความสัมพันธ์กับชายอื่น เขามักจอดรถ Mercedes ตรงที่จอดรถคนพิการในสำนักงานของ Apple และเคยพยายาม &ldquo;ตรึง&rdquo; อัตราค่าจ้างพนักงานในธุรกิจเทคโนโลยีแบบไม่ถูกหลักนัก<br />
<br />
แต่ นวัตกรรมที่เขาสร้างกลับกลบข้อด้วยไปหมด ผลิตภัณฑ์ที่เขาพัฒนคือผลงานยิ่งใหญ่ ดังเช่น Apple แม้ว่าเขาจะจากโลกนี้ไปสามปีแล้ว ในฐานะผู้นำองค์กรและมนุษย์คนหนึ่งนับว่า Jobs เดินมาถูกทางและประสบความสำเร็จอย่างสูง<br />
<br />
ข้อสงสัยต่อ <span style="color:#008080;"><strong>Steve Jobs</strong></span> ว่าเป็นพวกเห็นแก่ได้อย่างประหลาด คือคุณลักษณะสู่ความสำเร็จของผู้ประกอบการ CEO และผู้นำองค์กร หรือเป็นแค่ข้อเสียหนึ่งเท่านั้น? <span style="color:#008080;"><strong>Travis Kalanick</strong></span> ผู้ก่อตั้งและ CEO ของ Uber ตกเป็นข่าวเรื่องความเขลามากกว่าด้านความสามารถบริหารงานในตำแหน่ง CEO ทั้งนี้ <span style="color:#008080;"><strong>Peter Thiel</strong></span> กล่าวว่า Uber <span style="color:#ff0000;">&ldquo;มีปัญหาทางจริยธรรม&rdquo;</span> ทว่า <span style="color:#daa520;"><strong>Uber</strong></span> ช่วยให้ลูกค้าของพวกเขาใน New York หาแท็กซี่ไปส่งในเวลาฝนตกได้ และผู้ลงทุนใน Uber ก็ตื่นเต้นด้วยจนมูลค่าประเมินอยู่ที่ 4 หมื่นล้านเหรียญในช่วงสิ้นปีก่อน ทิ้งห่างคู่แข่งอย่าง Lyft ที่มูลค่า 7 ร้อยล้านเหรียญ

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events