ด้วยวัยเพียง 25 ปี James Proud ก็มีเงินในกระเป๋าหลักร้อยล้านเหรียญจากการคิดนอกกรอบสร้างธุรกิจเกี่ยวกับการนอนในฐานะผู้ได้รับทุนรุ่นแรกของโครงการ Thiel Fellowship เขามุ่งมั่นที่จะเดินหรือล้มเหลวในแบบของตัวเองอย่างไม่แคร์ใคร
James Proud คือสมาชิกรุ่นแรกของบรรดาผู้ที่ได้รับเงินทุนจากโครงการ Thiel Fellowship ซึ่งมีทั้งหมด กว่า 122 คนและยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยตลอด 7 ปีที่ผ่านมาผู้ประกอบการวัยรุ่นจะได้รับเงินสนับสนุน คนละ 100,000 เหรียญสหรัฐฯ จาก Peter Thiel มหาเศรษฐีผู้มีแนวคิดแหวกแนวภายใต้เงื่อนไขว่าพวกเขาต้องหยุดเรียน นอกจากนี้เขายังเป็นคนที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดอีกด้วย ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมาเขาสามารถระดมทุนกว่า 40 ล้านเหรียญสำหรับ Hello ธุรกิจเกิดใหม่ของ เขาซึ่งได้รับการประเมินมูลค่าอยู่ที่ราว 250 ล้านเหรียญ เมื่อไม่นานมานี้เขายังได้ระดมทุนเงินกู้ระยะสั้นโดยที่ ตัวเลขการประเมินมูลค่าบริษัทสูงกว่าเดิม ตัวเลขเงินสนับสนุนรวมถึงเงิน 2 ล้านเหรียญจากกระเป๋าของ Thiel ที่เป็นผู้ให้การสนับสนุนเขามาอย่างต่อเนื่อง นับเป็นครั้ง แรกที่ Thiel ควักกระเป๋าส่วนตัวลงทุนในบริษัทที่อยู่ภาย ใต้โครงการของเขา “James มีความโดดเด่นตั้งแต่แรก เห็นด้วยความเป็นคนมุ่งมั่นและไม่ย่อท้อ” Thiel กล่าว เป้าหมายธุรกิจที่ Proud เลือกคือกิจกรรมหนึ่งของชีวิตที่ทุกคน หนีไม่พ้นเช่นเดียวกับความตายและภาษี นั่นก็คือการนอนหลับ Proud มุ่งความสนใจไปที่ตัวผลิตภัณฑ์ หรือพูดให้ชัดก็คือเจ้า อุปกรณ์ทรงกลมขนาดเท่าลูกเทนนิสซึ่งใช้งานโดยเพียงวางไว้ข้าง ที่นอน จากนั้นเซ็นเซอร์ที่ถูกฝังอยู่จะคอยติดตามพฤติกรรม การนอนหลับและการเคลื่อนไหวรวมถึงสภาพแวดล้อมภายในห้อง อุปกรณ์ราคา 149 เหรียญที่มีชื่อเรียกว่า Sense จะให้คะแนนการนอนหลับของคุณในช่วง 0 ถึง 100 คะแนนและจะช่วยพัฒนาการนอนและคะแนนของคุณให้ดีขึ้น แหล่งข่าวที่มีความใกล้ชิดกับบริษัทกล่าวว่าตัวเลขคาดการณ์ยอดขาย Sense สำหรับปี 2017 อยู่ ที่ 250,000 เครื่อง ซึ่งหมายความว่ารายได้ของบริษัทจะอยู่ที่ราว 20 ล้านเหรียญ นับเป็นตัวเลขที่น้อยนิดแม้จะเทียบกับบริษัท คู่แข่งที่กำลังถดถอยอย่าง Fitbit ซึ่งน่าจะปิดงบปี 2016 ด้วยตัวเลขรายได้มากกว่า 2.3 พันล้านเหรียญ แต่ยังแทบไม่มีผลกำไร Proud เติบโตขึ้นที่เมืองซึ่งอยู่ห่างจากบ้านเกิดของ Branson ทางตอนใต้ของ London ไปเพียงไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง พ่อของเขาเป็นข้าราชการพลเรือนอังกฤษ ส่วนแม่เป็นเลขาและทำงานเสริมเป็นพนักงานจัดเรียงสินค้าที่ร้านขายของชำในช่วงกลางคืน เมื่ออายุ 17 ปี Proud ริเริ่ม GigLocator เว็บไซต์ที่รวบรวม ข้อมูลเกี่ยวกับตั๋วคอนเสิร์ต Proud เป็นสมาชิกคนแรกในครอบครัวที่เกือบจะได้เรียนต่อระดับปริญญา แต่เมื่อถึงวันที่ต้องลงทะเบียนเขากลับไม่ยอมไป แม้ว่าพ่อแม่ของเขาจะพยายามร้องขอ หลังจากนั้นในวันหนึ่งของเดือนกันยายน 2010 Proud ได้พบกับผู้ที่จะมาเปลี่ยนชีวิต เขาตอนบ่ายโมงตรงขณะกำาลังนั่งดูการถ่ายทอดสดงานสัมมนา TechCrunch Disrupt ผ่านทางออนไลน์ ในงานดังกล่าว Thiel ได้ประกาศแผนโครงการสนับสนุนเงินทุนที่ตั้งตามชื่อของเขาว่า Thiel Fellowship โดยจะมอบเงินทุนละ 100,000 เหรียญให้กับ วัยรุ่น 20 รายที่ต้องการหยุดพักเรื่องการเรียนเพื่อไล่ตามความฝัน Proud ตัดสินใจเขียนใบสมัครทันที เดือนเมษายน 2011 องค์กรของ Thiel ยกหูโทรศัพท์ หาเขาเพื่อแจ้งข่าวดี ทุนจากโครงการนี้สร้างจุดเปลี่ยนในชีวิตให้กับ Proud จากนักโปรแกรมเมอร์ไร้ชื่อเสียงที่ยังอาศัยอยู่กับพ่อแม่กลายเป็นหนึ่งในบรรดาเด็กมีแววที่ได้รับทุนเป็นรุ่นแรกในช่วงที่เขาต้องนอนบนเตียงลมหรือไม่ก็โซฟาเกือบตลอด 1 ปีถัดมา เขาได้ใช้ประโยชน์จากทุกโอกาสที่ชื่อเสียงของ Thiel จะช่วยเบิกทางใน Silicon Valley แนวคิดเริ่มแรกในการก่อตั้ง Hello คือการพัฒนาสายรัดข้อมืออัจฉริยะที่ล้ำหน้ากว่าเดิมแม้จะมี Fitbit และ Jawbone เป็นผู้บุกเบิกตลาด ซึ่งภายหลังการสรรหาทีมงาน Proud มองว่า ศักยภาพของตลาดมีทิศทางที่ไม่สดใสนัก เขาสังเกตว่าไม่มีใครสักคนในทีมใส่อุปกรณ์เหล่านี้นานกว่า 2-3 สัปดาห์ ผลการสำรวจผู้บริโภคส่งสัญญาณในทางเดียวกัน โดยประเมินว่า 1 ใน 3 ของ ผู้ซื้อจะเลิกสวมใส่อุปกรณ์สายรัดข้อมืออัจฉริยะเหล่านี้ภายใน 6 เดือน Proud เข้ามาทีหลัง คู่แข่งในตลาดที่เขาเริ่มไม่มีความเชื่อมั่น “ดังนั้นถ้าเป็นคุณจะตัดสินใจอย่างไร คุณจะยื่นเงินคืนนักลงทุนและบอกเลิกจ้างพนักงานทั้งหมดหรือไม่” ด้วยแรงกดดันจากสถานการณ์วิกฤตเขาพยายามระดมความคิดหาผลิตภัณฑ์ที่ไม่จำเป็นต้องสวมใส่ตลอดเวลา จนในที่สุดจึงมาจบที่เครื่องติดตามการนอน ผู้บริโภคชื่นชอบคุณสมบัติการใช้งานของสายรัดข้อมืออัจฉริยะแต่ไม่ต้องการสวมใส่มันตลอดทั้งคืน เขาเรียกทุกคน ประชุมด่วนทันทีที่กลับไปถึงและบอกว่าพวกเขาต้องทิ้งผลงานที่ทุ่มเททำมาตลอดปีครึ่งและเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่ ฝ่ายบริหารพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ของ Facebook และสมาชิกคณะกรรมการอีกคนของ Hello นอกจาก Proud กล่าวการตัดสินใจเปลี่ยนทิศทางจากการผลิตอุปกรณ์สวมใส่ได้เหมือน เป็นการดึง Hello ออกจากตลาดที่มีผู้เล่นหนาแน่นและกำลังขยายตัวโดยยอดขายนาฬิกาอัจฉริยะคาดว่าจะอยู่ที่ 67 ล้านเครื่องในปีนี้แต่จะกลายเป็นผู้บุกเบิกในตลาดใหม่ Sense ประกอบด้วยสองส่วนหลัก ได้แก่ อุปกรณ์ทรงกลมขนาดเล็กสาหรับวางไว้ข้างเตียง ซึ่งโครงสร้างภายในมีทั้ง ไฟ LEDs แผงวงจรและระบบเซ็นเซอร์ที่จะตรวจจับแสง เสียง อุณหภูมิและ คุณภาพอากาศโดยรอบ ส่วนที่สอง เรียกว่า “Sleep Pill” สำหรับหนีบไว้ที่หมอนเพื่อตรวจจับความเคลื่อนไหวและส่งข้อมูลการนอนหลับผ่านระบบบลูทูธพร้อมแบตเตอรี่ในตัว “ปัญหาท้าทายสำคัญคือคุณจะสามารถครอบครองส่วนแบ่งตลาดได้มากพอก่อนผลิตภัณฑ์ลอกเลียนแบบที่ถูกกว่าและมีคุณสมบัติเกือบทัดเทียมกันออกมาตีตลาดได้หรือไม่” Thiel กล่าว “ซึ่งตัวอุปกรณ์สามารถป้องกันได้ยากกว่าระบบซอฟต์แวร์” ขณะที่ยังมีคำาถามและข้อกังขามากมายเกี่ยวกับ Sense แต่ Proud ยึดทิศทางนี้เป็นหัวใจหลักของธุรกิจ เขาเมินอุปกรณ์ที่ต้องสวมใส่ไว้กับตัว (เช่น Apple Watch) หรือต้องมีปฏิสัมพันธ์โดยตรง (เช่น ระบบบ้านอัจฉริยะจาก Amazon และ Google) และโยนมันทิ้งเป้าหมายของเขาคือนำเสนออุปกรณ์ติดตามตรวจวัดด้านสุขภาพที่ “ไม่ต้องสวมใส่หรือสั่งงานโดยตรง” ที่สามารถครอบคลุมกิจกรรมทั้ง 24 ชั่วโมงของผู้ใช้ และภายหลังการเดินทางไปยังประเทศจีน วิศวกรของเขาแก้ไขจุดบกพร่องของผลิตภัณฑ์เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ได้สำเร็จคลิกอ่านฉบับเต็ม "ลูกแกะ แตกฝูง" ได้ที่ Forbes Thailand ฉบับ เมษายน 2560 ในรูปแบบ e-Magazine