<h2 class="p1">กระทรวงยุติธรรมของสหรัฐฯ อยู่ระหว่างการพิจารณาแนวทางในการส่งตัว Meng Wanzhou รองประธาน ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินและทายาทคนโตของ Ren Zhengfei ผู้ก่อตั้ง Huawei บริษัทผู้ให้บริการด้านการสื่อสารและเทคโนโลยีสารสนเทศรายใหญ่ของจีน ให้สามารถเดินทางกลับประเทศจีนจากแคนาดา เพื่อแลกกับการยอมรับผิด</h2>
<figure><img class="wp-image-38594 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/12/meng-wanzhou-huawei-cfo-arrested.jpg" alt="กระทรวงยุติธรรมของสหรัฐฯ" width="720" height="480" /><figcaption> Meng Wanzhou รองประธานและประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน Huawei</figcaption></figure>
ล่าสุด เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2020 สำนักข่าว<a style="color: #333333;" href="https://www.wsj.com/articles/u-s-in-talks-with-huawei-finance-chief-meng-wanzhou-about-resolving-criminal-charges-11607038179"> The Wall Street Journal </a>รายงานว่า เจ้าหน้าที่กระทรวงยุติธรรมของสหรัฐฯ ร่วมหารือกับทีมกฎหมายของ Meng Wanzhou ในข้อตกลงผัดผ่อนการพิจารณาคดีอาญา ที่เธอถูกจับกุมในแคนาดาเมื่อเดือนธันวาคม 2018 ตามคำร้องของทางการสหรัฐฯ ที่ระบุว่า Meng กระทำผิดฐานฉ้อโกงธนาคาร HSBC และละเมิดมาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ เพื่อจัดจำหน่ายสินค้าเทคโนโลยีให้กับอิหร่าน
เป็นระยะเวลาเกือบ 2 ปีที่ศาลแคนาดามีคำพิพาษาในขั้นต้นให้ Meng อาศัยอยู่ที่บ้านพักในเมือง Vancouver ต่อไป เพื่อเข้าสู่กระบวนการพิจารณาคดีทางกฎหมาย ซึ่ง<a style="color: #333333;" href="http://www.xinhuanet.com/english/2018-12/06/c_137654655.htm">เธอก็ได้ปฏิเสธทุกข้อกล่าว</a>หา และยืนยันการสู้คดีกรณีส่งตัวเธอในฐานะผู้ร้ายข้ามแดนไปพิจารณาคดีที่สหรัฐฯ ตลอดมา โดยระหว่างนี้ เธอจะต้องติดเครื่องติดตามตัวบริเวณข้อเท้า และต้องอยู่ภายในที่พักเท่านั้นในช่วงห้าทุ่มจนถึงหกโมงเช้า
ทั้งนี้ ความตึงเครียดของประเด็นข้อพิพาทดังกล่าวไม่ได้จบแต่เพียงเท่านี้ เพราะที่ผ่านมา<a style="color: #008000;" href="https://www.wsj.com/articles/u-s-officials-say-huawei-can-covertly-access-telecom-networks-11581452256"> Huawei</a> โดนข้อกล่าวหาจากทางการสหรัฐฯ ว่าได้รับเงินสนับสนุนจากหน่วยความมั่นคงของจีนให้ส่งเทคโนโลยีเข้ามาล้วงเอาข้อมูลและทรัพย์สินทางปัญญาของคนอเมริกัน ด้วยเหตุนี้จึงมีคำสั่งให้คนในหน่วยงานรัฐบาลสหรัฐฯ เลิกใช้ผลิตภัณฑ์ของแบรนด์ดังกล่าว พร้อมกับส่งคำเตือนไปยังประเทศพันธมิตร เช่น สหราชอาณาจักร แคนาดา อิตาลี ว่าอุปกรณ์และเทคโนโลยี 5G ของ Huawei อาจเป็นอันตรายต่อข้อมูลของคนในประเทศ
แม้ว่า Huawei จะปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา แต่ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ และบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่แห่งนี้กลับไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้น จนกระทั่งในเดือนพฤษภาคม ปี 2019 ประธานาธิบดี Donald Trump ได้ออกคำสั่งแบนบริษัทเทคโนโลยีระดับโลกดังกล่าว ซึ่งส่งผลกระทบต่อรายได้ของบริษัทกว่าพันล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยในรายงานงบประมาณประจำปี 2019 ทางบริษัทระบุว่า มียอดขายสุทธิอยู่ที่ 1.36 แสนล้านเหรียญฯ
อีกทั้ง เมื่อไม่นานมานี้ Huawei ได้ประกาศขาย Honor ซึ่งเป็นธุรกิจลูกออกไป เพื่อเพิ่มโอกาสให้กับ Honor ในการเข้าสู่ตลาดสมาร์ทโฟนในสหรัฐฯ ตลอดจนการเชื่อมโยงกับซัพพลายเออร์รายต่างๆ โดยไม่ต้องกังวลเรื่องปัญหาการคว่ำบาตร และสำหรับมูลค่าการขายกิจการในครั้งนี้ นักวิเคราะห์ต่างประเมินว่า จะมีส่วนช่วยในการเพิ่มกระแสเงินสดของ Huawei ได้เช่นกัน
ในที่นี้ Kiranjeet Kaur นักวิจัยอาวุโส จาก IDC สถาบันวิเคราะห์ตลาดเทคโนโลยีมองว่า ผู้ให้บริการด้านการสื่อสารและเทคโนโลยีสารสนเทศแห่งนี้จะสามารถคาดหวังในมาตรการผ่อนคลายจากทางการสหรัฐฯ ได้ ก็ต่อเมื่อได้ข้อตกลงร่วมกันระหว่างสองฝ่ายที่ครอบคลุมมากกว่าคดีของ Meng
“ผมไม่คิดว่าการส่งตัว Meng Wanzhou กลับมายังจีนจะสามารถเปลี่ยนแปลงผลกระทบต่อธุรกิจได้มากนัก ตราบเท่าที่ทั้งสองฝ่ายยังไม่สามารถบรรลุข้อตกลงในประเด็นข้อกล่าวหาด้านภัยคุกคามต่อความมั่นคง ซึ่งส่งผลกระทบต่อการเข้าถึงซัพพลายเออร์รายต่างๆ อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้” Kaur กล่าว
Meng เริ่มทำงานที่ Huawei ในปี 1993 ปัจจุบันเธอดำรงตำแหน่งรองประธานคณะกรรมการของบริษัทและประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน และจากการรายงานของ IDC ในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปี 2020 ที่ผ่านมา ระบุว่า Huawei ได้ก้าวขึ้นเป็นบริษัทผู้จัดจำหน่ายสมาร์ทโฟนรายใหญ่อันดับ 2 ของโลกและอันดับที่ 1 ในจีน ด้วยยอดขายโทรศัพท์จำนวน 55.8 ล้านเครื่อง
แปลและเรียบเรียงโดย ชญาน์นัทช์ ธนินท์พงศ์ภัค จากบทความ U.S. Justice Officials In Talks For Possible Release Of Huawei’s CFO เผยแพร่บน forbes.com

อ่านเพิ่มเติม: <a style="color: #003300;" href="https://forbesthailand.com/world/huawei-ขาย-honor-คว่ำบาตร-สหรัฐ.html">‘Huawei’ ขาย ‘Honor’ หวังลดผลกระทบจากการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ</a>

กระทรวงยุติธรรมของสหรัฐฯ เตรียมเผยแนวทางการพิจารณาคดี CFO ของ Huawei

‘Huawei’ ขาย ‘Honor’ หวังลดผลกระทบจากการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ

<h2>Honor แบรนด์มือถือในเครือ Huawei ได้ฤกษ์ใส่เกียร์บุกตลาดไทย ส่งรุ่นกลาง Honor 8X ลงสนาม หวังเจาะกลุ่มวัยรุ่นคนเมือง วางภาพลักษณ์แบรนด์นวัตกรรมในราคาย่อมเยา ตั้งเป้าขึ้น Top 4 ตลาดสมาร์ทโฟนไทย</h2>
Akin Li ประธาน Honor ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เปิดเผยว่า แบรนด์ Honor (ออเนอร์) เริ่มเข้ามาศึกษาตลาดในไทยเมื่อปลายเดือนมีนาคม 2561 และเริ่มทำการตลาดเมื่อเดือนพฤษภาคม 2561 ช่วง 3 เดือนที่ผ่านมาได้รับผลการตอบรับที่ดี มียอดขายเติบโต 100% ทุกเดือน ทำให้บริษัทตัดสินใจบุกไทยเต็มตัว โดยมีการตั้งออฟฟิเชียล สโตร์ขึ้นที่ชั้น 5 มาบุญครองเซ็นเตอร์ และแต่งตั้ง ลี-ฐานัฐพ์ โล่ห์คุณสมบัติ นักแสดงจาก GMM TV เป็นพรีเซนเตอร์ รวมถึงโหมทำตลาดผ่านช่องทางดิจิทัล มาร์เก็ตติ้ง และสื่อนอกบ้าน (OOH)

Li กล่าวว่า สำหรับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้  ไทยนับเป็นตลาดสำคัญของบริษัทร่วมกับเวียดนาม (ประเทศอื่นๆ ที่มีการวางจำหน่ายในภูมิภาคนี้ เช่น เมียนมา สปป.ลาว กัมพูชา ฯลฯ) โดยประเมินว่าไทยมีมูลค่าตลาดโทรศัพท์มือถือราว 3-3.5 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ

<figure><img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/435b8ccd0b1187b443b93f78b3836d5d.jpg" alt="" width="638" height="427" /><figcaption> (ซ้าย) Akin Li ประธาน Honor ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ขวา) ลี-ฐานัฐพ์ พรีเซนเตอร์ Honor ประเทศไทย</figcaption></figure>

สำหรับ Honor เป็นแบรนด์สมาร์ทโฟนระดับกลาง ปัจจุบันพอร์ตโฟลิโอของแบรนด์มีสมาร์ทโฟนราคาเครื่องละตั้งแต่ 120-500 เหรียญสหรัฐฯ ที่วางแนวทางทำตลาดทั่วโลกเจาะกลุ่มวัยรุ่นคนเมือง นำเสนอภาพลักษณ์นวัตกรรมความบันเทิงและงานดีไซน์ในราคาย่อมเยา ด้านกลยุทธ์การขายของ Honor จะเน้นการทำตลาดและช่องทางขายผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัล ทำให้ในประเทศจีนซึ่งเป็นประเทศแม่ของแบรนด์ Honor สามารถตีตลาดเป็นมือถือ E-Brand อันดับ 1 ของจีน

Li กล่าวต่อว่า ในประเทศไทย Honor จะคงกลยุทธ์เจาะกลุ่มลูกค้าเป้าหมายเดียวกัน และเน้นความเป็น E-Brand เช่นเดียวกัน โดยปัจจุบันมีพันธมิตรตัวแทนจำหน่ายคือ Lazada, Shopee, JD.Central และร้านค้าอย่าง TG Fone, C.S.C, AIS และ True

ส่วนรุ่นที่เริ่มเปิดจองแล้ววันนี้และจะวางขายจริงวันที่ 3 พ.ย.61 คือ Honor 8X ในตระกูล X Series ราคาเริ่มต้น 7,990 บาท ชูจุดเด่นสัดส่วนหน้าจอต่อตัวเครื่องสูง 91% ระบบ AI ภายในเครื่องที่ช่วยให้ถ่ายภาพได้สวยงาม และแบตเตอรี่ 3,750 mAh ช่วยให้วัยรุ่นกลุ่มเป้าหมายเล่นเกมหรือชมภาพยนตร์ได้ต่อเนื่อง 7-8 ชั่วโมง

<figure><img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/c1833b0ea2fcdfefa0502d03eee6015c.jpg" alt="" width="638" height="638" /><figcaption> Honor 8X</figcaption></figure>

“ในไทยเรามองว่ามีตลาดสองกลุ่ม คือกลุ่มเมืองกับกลุ่มชนบท ซึ่งเราจะเน้นกลุ่มเมือง ในราคา 7,000-10,000 บาทต่อเครื่อง ถือเป็นกลุ่มที่เล็กกว่าถ้าเทียบกับตลาดใหญ่ของไทยที่เกาะกลุ่มราคาราว 5,000 บาท แต่เชื่อว่ามีช่องว่างตลาด เรามองเห็นลูกค้าที่ต้องการมือถือคุณภาพดีแต่ราคาไม่ต้องสูงมากอยู่”

Li กล่าวว่า Honor พร้อมจะทำตลาดไทยในระยะยาว โดยมีเป้าหมายนำแบรนด์ Honor ขึ้นเป็นแบรนด์ 4 อันดับยอดขายสูงสุดของไทย หรือต้องทำมาร์เก็ตแชร์ให้ได้อย่างน้อย 10% ภายใน 3-4 ปีนี้ เขายอมรับว่าเป็นเป้าหมายที่ท้าทายมาก เมื่อพิจารณาว่าไทยเป็นตลาดเปิดที่มีทุกแบรนด์จากทั่วโลกเข้ามาแข่งขัน แต่บริษัทเชื่อในศักยภาพของ Honor ซึ่งบุกตะวันตกไปแล้วก่อนหน้านี้โดยประสบความสำเร็จเป็นแบรนด์ยอดขายอันดับ 4 ในฝรั่งเศส และอันดับ 2 ในรัสเซีย

ทั้งนี้ ข้อมูล ณ ไตรมาส 3 ปี 2560 จากศูนย์ข้อมูลการตลาด IDC ระบุว่า ส่วนแบ่งการตลาด 5 อันดับแรกของไทย ได้แก่ Samsung (34.4%), Oppo (15.4%), Huawei (11.3%), Vivo (10.3%), True (9.8%) ส่วนแบรนด์อื่นๆ รวม 18.7%

สำหรับแบรนด์ Honor เป็นแบรนด์ลูกของ Huawei ที่ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2556 โดย Huawei วางตำแหน่งทางการตลาดให้แบรนด์แม่พัฒนาโทรศัพท์มือถือระดับกลางถึงไฮเอนด์เป็นหลัก ส่วน Honor เป็นแบรนด์ระดับกลางจนถึงราคาประหยัดเจาะกลุ่มวัยรุ่น ซึ่งจุดเริ่มต้นเป็นการท้าชิงตลาดกับ Xiaomi ในจีนก่อนจะบุกตลาดไปทั่วโลก

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events