<h2>บริษัทผู้สร้าง “The Happiest Place On Earth” อย่าง Walt Disney Company กำลังมองหาการเดิมพันครั้งใหม่ โดยการเดิมพันครั้งนี้ก็มีท่าทีที่จะชนะด้วย</h2>
<figure><img class="wp-image-54060 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/11/Walt-Disney-Studio-e1636951863881.png" alt="Walt Disney Co." width="720" height="404" /><figcaption> Photo Credit: Getty Images</figcaption></figure>

Bob Chapek ผู้นั่งตำแหน่ง CEO ประจำ Walt Disney Company กล่าวว่าจะนำบริษัทก้าวเข้าสู่ธุรกิจการพนันกีฬาผ่าน ESPN  “เราจะมุ่งสร้างตัวตนในโลกการพนันกีฬาออนไลน์อีกด้วย โดยหากดูจากการเข้าถึงและสเกลของเรา เราก็ถือว่ามีศักยภาพที่จะจับมือกับ Third Party ต่างๆ ในพื้นที่ตรงนี้ได้อย่างมีความหมาย” Chapek กล่าวเมื่อวันพุธระหว่างการประชุมรายงานผลประกอบการในไตรมาสที่ 4 ของทางบริษัท

ทางบริษัทเองก็ไม่ได้มีปีที่โอ่อ่าอะไร  มีผลประกอบการต่ำกว่าที่ Wall Street คาดการณ์ แต่จุดที่สว่างไสวของพวกเขาคือ กีฬา บริการสตรีมมิ่งอย่าง ESPN+ ได้มียอดผู้ติดตามเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 66 ในรอบปี และร้อยละ 90 ของการถ่ายทอดบนเครือข่ายโทรทัศน์ที่ Disney เป็นเจ้าของที่มีผู้ชมมากที่สุดก็คือ การแข่งกีฬา 

อีกทั้งบริษัทผู้สร้างดินแดนแห่งความสุขนี้ก็ได้เซ็นสัญญาถ่ายทอด NFL ถึง 10 ปีโดยมีผลใน 2023 อีกด้วย อย่างไรก็ตาม รายได้จากการโฆษณาของ ESPN ก็ไม่มีขึ้นมีลงเลยในไตรมาสที่ 4 ของปีนี้เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว 

Chapek กล่าวว่าการพนันจะสามารถเพิ่มช่องทางรายได้ให้กับทางบริษัท และดึงดูดกลุ่มลูกค้าที่อายุน้อยได้

“เราเชื่อว่าการพนันกีฬานี้เป็นโอกาสครั้งสำคัญของทางบริษัท และก็ถูกขับเคลื่อนโดยผู้บริโภคทั้งหมด” Chapek กล่าว “มันมีลูกค้าเป็นผู้ขับเคลื่อน โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าที่อายุไม่มากที่จะมาคอยเติมเต็มจำนวนประชากรแฟนกีฬาต่อไปเรื่อยๆ ไหนจะความปรารถนาที่จะพนัน โดยนับความปรารถนานี้เป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์การดูกีฬาอีก”

ในการที่จะดึงดูดลูกค้ากลุ่มนี้ Chapek กล่าวว่าทาง Disney เองก็ต้อง “พิจารณาที่จะก้าวเข้าสู่โลกการพนันแบบจริงจังและยิ่งใหญ่มากกว่านี้ และ ESPN ก็เป็นแพลตฟอร์มที่ตอบทุกความต้องการ”

ทางบริษัทเองก็ได้ลองเกมดูบ้างแล้ว โดยปีก่อน ESPN ได้ปิดดีลกับ Caesars Entertainment และ DraftKings ที่ให้ทั้งสองลิ้งค์ Sportsbooks จาก ESPN.com และเมื่อเดือนสิงหาคม <a href="https://www.wsj.com/articles/espn-explores-sports-betting-deal-worth-at-least-3-billion-11630089962?st=2yl0yk1lchq9kcn&amp;reflink=article_imessage_share">Wall Street Journal ก็ได้รายงานว่า</a> ESPN กำลังอยู่ในช่วงเจรจาความเป็นไปได้ในการสร้างข้อตกลงอนุญาตให้ใช้สิทธิกับ Caesars Entertainment หรือไม่ก็กับ DraftKings โดยข้อตกลงดังกล่าว<a href="https://www.forbes.com/sites/dereksaul/2021/08/27/espn-reportedly-in-talks-with-caesars-entertainment-and-draftkings-for-licensing-deal-worth-billions/?sh=5aa64f0190ec">อาจมีมูลค่าสูงถึง 3 พันล้านเหรียญสหรัฐฯเลยทีเดียว</a>

<figure><img class="wp-image-54061 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/11/ESPN-e1636951927282.png" alt="ESPN" width="720" height="403" /><figcaption> Photo Credit: Getty Images</figcaption></figure>

คำถามหินก็คือ แล้ว Disney จะเข้าสู่วงการการพนัน โดยผ่าน ESPN นี้ อย่างไร

ในการประชุมนักลงทุนเมื่อเดือนกันยายน Chapek ถูกถามว่าทาง ESPN จะทำอะไรอย่างอื่นนอกเหนือจากข้อตกลงอนุญาตให้ใช้สิทธิและเปิดรับพนันโดยตรงหรือไม่  

“หนทางระหว่างการนำสิ่งเหล่านั้นเข้าสู่โมเดลธุรกิจของ ESPN และการอณุญาตให้ใช้สิทธิมันยังคงห่างกันไกลอยู่” <a href="https://www.bloomberg.com/opinion/articles/2021-11-10/mckinsey-partner-s-insider-trading-strategy-was-bad">Chapek กล่าว</a> “เอาเป็นว่า แฟนๆของเราสนใจในการพนันกีฬามาก และพันธมิตรด้านกีฬาของเราก็สนใจในการพนันนี้เช่นกัน เราเองก็เลยสนใจเรื่องพนันกีฬาด้วย”

ตั้งแต่ศาลสูงสุดสหรัฐได้เพิกถอนการห้ามพนันกีฬาเมื่อปี 2018 ก็ได้มีการเปิดตัวการพนันถูกกฎหมายใน 32 รัฐ รวมถึงที่ Washington, D.C. ด้วย โดยอุตสาหกรรมนี้กำลัง<a href="https://www.forbes.com/sites/willyakowicz/2021/10/08/the-30-billion-reason-media-companies-are-pivoting-to-vices/?sh=532dde1b1d7a">มาแรงแถมเต็มไปด้วยเม็ดเงิน</a> ข้อมูลจาก American Gaming Association แสดงให้เห็นว่า ชาวอเมริกันได้วางเดิมพันกับ <a href="https://www.forbes.com/sites/willyakowicz/2021/08/26/las-vegas-breaks-record-in-july-with-794-million-in-gambling-revenue/?sh=344dfd2b7194">Sportsbooks ที่ถูกกฎหมายเป็นมูลค่าถึง 2.4 หมื่นล้านเหรียญฯ</a> ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2021 ซึ่งนั่นก็หมายความว่ามีเม็ดเงินกว่า 2 พันล้านเหรียญที่มาจากร้ายได้ทั้งหมดจากเกมการพนันนี้ 

และ Macquarie Research ก็คาดว่าภายในปี 2030 อุตสาหกรรมนี้จะมีรายได้ถึง 3 หมื่นล้านเหรียญฯ จากเงินเดิมพันที่คาดการณ์ว่าจะมีอยู่ 4 แสนล้านเหรียญฯเลยทีเดียว อีกทั้งบริษัทสื่อต่างๆ ตั้งแต่ Fox ยัน Sports Illustrated ก็ได้ปิดดีลกับบริษัทพนันกีฬาอีกด้วย

Daniel Dienst เจ้าของตำแหน่ง Executive Vice Chairman แห่ง Authentic Brands Group บริษัทแม่ของ Sports Illustrated ได้บอกกับทาง Forbes เมื่อเดือนกันยายนว่า<a href="https://www.forbes.com/sites/willyakowicz/2021/09/01/sports-illustrated-branded-betting-app-to-launch-in-colorado/?sh=67e04de7956d">ทางบริษัทได้ปิดดีลกับบริษัทพนันกีฬาไป</a> เพราะว่าพวกเล็งเห็นช่องทางสร้างรายได้ใหม่ที่ดูไปได้สวย และโอกาสในการที่บริษัทจะไปถือหุ้นในธุรกิจที่กำลังเติบโตในอุตสาหกรรมที่กำลังเบ่งบาน และเมื่อถาม Dienst ว่าการพนันยังมีรอยด่างพร้อยอยู่หรือเปล่า คำตอบของเขาคือ ไม่

“การพนัน โดยเฉพาะการเดิมพันกีฬา ได้ก้าวออกมาจากโลก [ของความชั่ว] แล้ว” Dienst กล่าวกับ Forbes “ผมคิดว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมของคนเราในการมีส่วนร่วมกับกีฬาไปแล้ว”

ระหว่างการประชุมรายงานผลประกอบการเมื่อวันพุธ Chapek เก็บไพ่ไว้ใกล้ตัว ไม่อธิบายเพิ่มเติมเลยว่า Disney จะก้าวเข้าสู่โลกการพนันกีฬาอย่างไร แต่เขาได้กล่าวว่าเขาไม่กังวลเรื่องมลทินที่อาจติดอยู่กับชื่อของทั้งสองบริษัทเลยในการเข้าสู่ตลาดการพนันนี้

“การพนันไม่ได้มีเกียรติศัพท์แบบ 10 หรือ 20 ปีที่แล้ว เราเองก็มีความกังวลในฐานะบริษัทว่าเราจะสามารถก้าวเข้าสู่ตรงนี้ได้โดยที่แบรนด์จะไม่ถอนตัวได้หรือไม่” Chapek กล่าว “แต่ผมบอกคุณได้นะว่า จากที่เราได้วิจัยเร็วๆนี้ นั่นมันไม่ใช่ประเด็น มันช่วยเสริมสร้างแบรนด์ ESPN เมื่อคุณมีองค์ประกอบของการพนันต่างๆ และมันก็ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อชื่อดิสนีย์ด้วย ดังนั้นเราจึงให้ความสนใจค่อนข้างมากกับการดึงดูดคนกลุ่มนั้น แน่นอน บวกกับรายได้ด้วย ซึ่งเราเองก็กำลังมุ่งเน้นทั้งสองเรื่องนี้อย่างไม่ถอย” Chapek ทิ้งท้าย

แปลและเรียบเรียงโดย ทัตชญา บุษยากิตติกร จากบทความ Disney Is ‘Aggressively’ Pursuing Opportunities In Sports Betting เผยแพร่บน Forbes.com

อ่านเพิ่มเติม: <a href="https://forbesthailand.com/world/female-invest-%e0%b8%a3%e0%b8%b1%e0%b8%9a%e0%b9%80%e0%b8%87%e0%b8%b4%e0%b8%99%e0%b8%ab%e0%b8%99%e0%b8%b8%e0%b8%99-4-5-%e0%b8%a5%e0%b9%89%e0%b8%b2%e0%b8%99%e0%b9%80%e0%b8%ab%e0%b8%a3%e0%b8%b5%e0%b8%a2.html">Female Invest รับเงินหนุน 4.5 ล้านเหรียญฯ มุ่งผลักผู้หญิงเป็นนักลงทุน</a>

<hr />

<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

Disney ‘มุ่ง’ หาช่องทางก้าวเข้าสู่โลกพนันกีฬา

การเข้าซื้อกิจการ Disney ของ Capital Cities/ABC ในปี 1995 เป็นดีลมูลค่ามหาศาลถึง 1.9 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยเป็นการจับคู่เจ้าหนูผู้โด่งดังและผองเพื่อนกับ SportsCenter ซึ่งถือเป็นการรวมกิจการครั้งใหญ่ในวงการสื่อที่เกิดขึ้นไม่บ่อยนัก อีกทั้งยังประสบความสำเร็จอย่างงดงาม เรามาดูเบื้องลึกเบื้องหลังในห้วงเวลานั้น ก่อนที่ดีลการควบรวมของ Disney จะเกิดขึ้น และใครกันที่ได้ประโยชน์อย่างแท้จริง

&nbsp;
<h2>เดิมพันของ Warren Buffett</h2>
จุดเริ่มต้นมาจากปี 1984 เมื่อช่องโทรทัศน์เคเบิล ABC ซื้อกิจการช่องเคเบิลกีฬา ESPN มาครองในราคาเพียง 188 ล้านเหรียญ ในปีต่อมา Warren Buffett ได้ลงทุนในบริษัท Capital Cities ซึ่งเป็นผู้แพร่ภาพและกระจายเสียงโทรทัศน์และวิทยุในปี และมีส่วนสนับสนุนเงินทุนแก่ Capital Cities ในการซื้อกิจการที่มีขนาดใหญ่กว่าอย่าง ABC (ที่ควบรวม ESPN มาเรียบร้อยแล้ว) ซึ่งมีมูลค่า 3.5 พันล้านเหรียญ

&nbsp;
<h2>พลังแห่งเงินตรา</h2>
หนึ่งทศวรรษถัดมา ในวันที่ 31 กรกฎาคม 1995 เกิดดีลครั้งใหญ่เมื่อ Disney และ Capital Cities/ABC ควบรวมกิจการกัน ทำให้เกิดการรวมช่องโทรทัศน์ที่แพร่ภาพไปทั่วประเทศของ ABC โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่อง ESPN เข้ากับสตูดิโอผลิตภาพยนตร์และสวนสนุกของ Disney

&nbsp;
<h2>Oracle และพ่อสื่อแม่ชัก</h2>
ดีลธุรกิจนี้จะไม่เกิดขึ้นหรืออย่างน้อยก็ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้เร็วขนาดนี้ ถ้าหากไม่มี Warren Buffett และผู้ลงทุนรายใหญ่ที่สุดใน Capital Cities/ABC หนุนหลัง

ในระหว่างการพบปะกันโดยบังเอิญครั้งหนึ่งในช่วงกลางเดือนกรกฎาคม 1995 Buffett ได้ช่วยให้ Tom Murphy ซีอีโอของ Capital Cities และ Michael Eisner ผู้บริหารสูงสุดของ Disney ปลดล็อคข้อขัดแย้งระหว่างกัน ที่ว่าการควบรวมกิจการจะชำระเป็นเงินสดทั้งหมด (อย่างที่ Disney ต้องการ) หรือเป็นหุ้น (ตามความประสงค์ของ Capital Cities) Murphy และ Eisner ยอมประนีประนอมกัน และสามารถบรรลุข้อตกลงดังกล่าวได้ในเวลาเพียงสองสัปดาห์เท่านั้น

ผลจากดีลนี้ ทำให้กองทุน Berkshire Hathaway ของ Buffett ได้รับเงินสดจำนวน 1.2 พันล้านเหรียญ และหุ้นของ Disney มูลค่า 1.3 พันล้านเหรียญ คิดเป็นกำไรทั้งสิ้น 2.2 พันล้านเหรียญ

&nbsp;
<h2>ความขัดแย้ง ณ เบื้องบน</h2>
ท่ามกลางการเจรจาและการควบรวมกิจการ Murphy และ Dan Burke ประธาน Capital Cities ต่างก็อยู่ในวัยใกล้เกษียณในช่วงที่ Disney เริ่มปรับกลยุทธ์

ในปี 1994 Michael Eisner ซีอีโอของ Disney สั่งปลด Jeffrey Katzenberg ออกจากตำแหน่งหัวหน้าสตูดิโอ และ Michael Ovitz ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็น “ตัวพ่อในวงการ” ก็ลาออกจากบริษัทในปี 1997 หลังจากที่ดำรงตำแหน่งประธานบริษัทได้เพียงไม่นาน

Robert Iger ซีโอโอของ Capital Cities ก้าวขึ้นมาดำรงตำแหน่งซีอีโอของ Disney แทน Eisner ในปี 2005 และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เขาก็เป็นกำลังสำคัญในการทำให้หุ้นของบริษัทมีมูลค่าเพิ่มขึ้นถึงสี่เท่าตัว

&nbsp;
<h2>บัลลังก์สะเทือน</h2>
ภายในปี 2005 เครือข่ายเคเบิลของทั้งสองบริษัทรวมกัน (รวมตระกูล ABC ด้วย) สร้างยอดขายได้ 23% และมีรายได้จากการดำเนินธุรกิจอีก 53% อย่างไรก็ตาม ปัจจุบัน ESPN กำลังประสบปัญหาสมาชิกบอกยกเลิกบริการเคเบิลทีวี ภายในปี 2016 เพียงปีเดียว จำนวนสมาชิกลดลงอย่างน่าใจหายถึง 2 ล้านคน ซึ่งต้องติดตามกันต่อไป

&nbsp;
<a href="http://forbesthailand.com/news-detail.php?did=1607">อ่านเพิ่มเติม: เคเบิลทีวี ESPN ระส่ำ! ปลดพนักงานรวด 100 คน ประหยัดต้นทุนสู้โลกดิจิทัล</a>

ย้อนรอยดีลควบรวม Disney ปี 1995 ชัยชนะของ Warren Buffett

รูปแบบการรับสื่อกีฬาบนโทรทัศน์ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมหาศาลในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ผลลัพธ์คือ ESPN (Entertainment and Sports Programming Network) หนึ่งในสื่อด้านกีฬายักษ์ใหญ่แห่งหนึ่งของโลกจำเป็นต้องเปลี่ยนกลยุทธ์ธุรกิจ โดย ESPN มีการปลดพนักงานไปแล้วหนึ่งครั้งเมื่อเดือนตุลาคมปี 2015 ครั้งนั้นบริษัทเลย์ออฟพนักงานไปกว่า 300 คน แต่การปลดพนักงานในรอบแรกส่วนใหญ่แล้วเป็นการปลดคนทำงานเบื้องหลัง ซึ่งทำให้ไม่ส่งผลมากนักต่อประสบการณ์รับชมของผู้บริโภค

แต่ในช่วงเช้าของวันที่ 26 เมษายน 2017 ช่องเคเบิลทีวี ESPN ซึ่งมีพนักงานทั่วโลกกว่า 8,000 คน มีการปลดพนักงานเป็นครั้งที่สอง จากการรายงานของสำนักข่าว USA Today คาดว่ามีการปลดไปแล้วประมาณ 100 คนและครั้งนี้เป็นการเลย์ออฟคนทำงานเบื้องหน้าซึ่งเป็นที่รู้จักของผู้ชม

ก่อนหน้าที่ ESPN จะแจ้งปลดอย่างเป็นทางการ Forbes รายงานว่า การปลดพนักงานครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องคาดไม่ถึงแต่อย่างใด เพราะเป็นที่ทราบกันดีว่า ESPN กำลังต่อสู้กับต้นทุนลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดการแข่งขันกีฬาที่ทะยานสูงขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการแข่งขันอเมริกันฟุตบอล NFL (National Football League) หรือบาสเก็ตบอล NBA (National Basketball Association) ในขณะที่จำนวนสมาชิกกลับลดลงเรื่อยๆ ปัจจัยทั้งสองเมื่อรวมกันแล้วส่งผลให้รายได้ของ ESPN ดำดิ่งลงในช่วงที่ผ่านมา

<figure><img style="width: 680px; height: 383px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/ebc903ccea7fbcf431524ac5a9be7895.png" alt="" width="680" height="383" /><figcaption> ตัวอย่างรายการ NFL Live OT ในสถานีเคเบิลทีวี ESPN</figcaption></figure>

ESPN มีจำนวนสมาชิกสูงสุดที่ 100.1 ล้านรายเมื่อปี 2011 แต่หลังจากนั้นจำนวนสมาชิกกลับลดลงต่อเนื่องโดยเฉพาะในปีที่ผ่านมา ไตรมาสที่แล้ว ESPN รายงานว่าจำนวนสมาชิกของช่องลดเหลือเพียง 88 ล้านราย และมีรายได้จากค่าสมาชิกเฉลี่ย 7.21 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อคนต่อเดือน

รายได้ที่ลดลงของเคเบิลทีวีแห่งนี้ส่งผลให้รายได้โดยรวมของ Disney บริษัทแม่ ESPN ลดลงอย่างมีนัยยะสำคัญเช่นกัน แม้ว่าช่อง ESPN จะมีการปรับค่าสมาชิกขึ้นมาถึง 120% ตั้งแต่ปี 2007 (เฉลี่ย 12% ต่อปี) ซึ่งในขณะนั้นช่องคิดค่าสมาชิกเพียง 3.26 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อเดือน

ด้านสถานการณ์ภายในบริษัท ก่อนหน้านี้ มีการรายงานจาก Richard Deitsch ผู้สื่อข่าวนิตยสารกีฬา Sports Illustrated ว่าภายในบริษัทมีความปั่นป่วนโกลาหลอย่างมาก เนื่องจากพิธีกรและคนทำงานเบื้องหน้าของช่อง ESPN หลายรายพยายามที่จะเจรจาต่อรองกับสถานี โดยเจรจาขอลดอัตราเงินเดือนเพื่อทำงานในบริษัทต่อไป หรือขอให้ ESPN ชดเชยด้วยหุ้นของบริษัทแลกเปลี่ยนกับการยินยอมลาออกเพื่อแสวงหาโอกาสใหม่

ในขณะที่พนักงานบางรายของ ESPN และนักกีฬา ได้ทวีตข้อความใน Twitter เกี่ยวกับเหตุการณ์นี้ เช่น Paul Kuharsky ผู้สื่อข่าวของ ESPN ประจำทีมอเมริกันฟุตบอล Tennessee Titans ทวีตตั้งแต่วันที่ 24 เมษายนที่ผ่านมา โดยยืนยันข่าวว่าจะมีการเลย์ออฟพนักงาน และการทำงานกับช่องตลอด 9 ปีของเขากำลังจะสิ้นสุดในเดือนกรกฎาคมนี้

หรือนักกีฬาศิลปะการต่อสู้แบบผสม Jim Miller กล่าวถึงเหตุการณ์นี้ว่า ESPN เป็นสถานที่แห่งความภาคภูมิใจ ความสำเร็จ และแหล่งรายได้มหาศาลสำหรับหลายต่อหลายคน แต่สัปดาห์แห่งการเลย์ออฟนี้จะกลายเป็นสัปดาห์ที่ยากลำบากที่สุดสำหรับทุกคน

<figure><img style="width: 680px; height: 408px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/4d7d0f54cfddabdef772e6c99468e653.png" alt="" width="680" height="408" /><figcaption> Jim Miller ​นักกีฬาศิลปะการต่อสู้แบบผสม (MMA) เขาเป็นผู้แต่งหนังสือ These Guys Have All The Fun ซึ่งรวบรวมเรื่องราวของช่อง ESPN ไว้อย่างครอบคลุม วางจำหน่ายเมื่อปี 2011 (Photo Credit: mmajunkie.com)</figcaption></figure>

เมื่อ ESPN มาถึงจุดที่ต้องเลย์ออฟพนักงานจำนวนมากเช่นนี้ ต้นเหตุสำคัญที่ถูกกล่าวถึงย่อมหนีไม่พ้นการเปลี่ยนผ่านไปสู่ยุครับชมสื่อกีฬาผ่านช่องทางดิจิทัล ซึ่งตอบสนองความต้องการของผู้ชมที่ต้องการเลือกรายการแบบเฉพาะบุคคลมากขึ้น เมื่อพวกเขาสามารถเลือกรายการที่จะรับชมด้วยตนเองได้ ต่างจากช่องโทรทัศน์สมัครสมาชิกที่มีรายการจำนวนมากซึ่งอาจมีรายการที่ไม่ได้ตรงกับความชื่นชอบ ทำให้ผู้บริโภคเปลี่ยนช่องทาง

ซ้ำร้าย การเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันของพฤติกรรมผู้บริโภคนั้นเกิดขึ้นทันทีหลังจากงานประมูลลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดกีฬามูลค่าสูงเพิ่งจบลงไป ซึ่ง ESPN เป็นหนึ่งในผู้เข้าร่วมการประมูลได้รับสิทธิถ่ายทอดสด NBA คู่กับช่องกีฬา TNT โดยมูลค่าการประมูลครั้งนี้รวมกันของทั้งสองช่องสูงถึง 2,660 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ต่อปี ในช่วงฤดูกาลปี 2024-25

แม้ ESPN จะถือเป็นธุรกิจเกี่ยวกับกีฬาที่มีมูลค่าแบรนด์สูงเป็นอันดับ 2 (รองจาก Nike) จากการจัดอันดับของ Forbes ในปี 2016 แต่เมื่อ ESPN คว้าสัญญาระยะยาวมูลค่าสูงดังกล่าว รวมกับการสูญเสียรายได้อย่างกะทันหัน ESPN จึงต้องขยับตัวเปลี่ยนกลยุทธ์และมองหาหนทางประหยัดต้นทุน

และการประกาศเลย์ออฟพนักงานครั้งนี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้น เพราะบริษัทดิจิทัลอย่าง Twitter และ Amazon ได้รับลิขสิทธิ์ในการถ่ายทอดสดรายการแข่งขันอเมริกันฟุตบอล NFL ไปเรียบร้อยแล้ว รวมถึงกิจกรรมอีเวนท์ต่างๆ มีการถ่ายทอดสดผ่าน Facebook Live มากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ช่องทางที่ผู้บริโภคใช้รับชมการถ่ายทอดสดกีฬาจึงเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว และ ESPN ที่เป็นเหมือนผู้เฝ้าประตูสูงวัยจึงต้องปรับตัวอย่างฉับพลันเท่านั้นจึงจะรับมือได้ทันการณ์

&nbsp;
เรียบเรียงจาก ESPN’s Layoffs Reportedly Will Begin This Week And Could Be Larger Than Expected โดย Simon Ogus และขอบคุณข้อมูลบางส่วนจาก USA Today

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events