<h2>แม้เรตติ้งของการประกาศผลรางวัลออสการ์ล่าสุดของปี 2023 จะเพิ่มขึ้น 12% จากปี 2022 แต่ก็ยังอยู่ในระดับที่ต่ำกว่ามาตรฐานจากค่าเฉลี่ยผู้ชม 30 ล้านคนต่อปี ถือเป็นตัวเลขที่ต่ำกว่าเกณฑ์ต่อเนื่อง 3 ปีซ้อน</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;การประกาศผลรางวัลออสการ์ที่ออกอากาศผ่านทางช่อง ABC ตามเวลาท้องถิ่นของสหรัฐฯ ในช่วงคืนวันอาทิตย์ที่ 12 มีนาคมที่ผ่านมา มีผู้ติดตามชมพิธีการประกาศรางวัลเพิ่มมากขึ้นจากปีก่อน 12% โดยอ้างอิงรายงานที่เกิดขึ้นหลายฉบับและจากข้อมูลของ Nielsen&nbsp;&nbsp; &nbsp; ทั้งนี้ จำนวนเรตติ้งของผู้ติดตามชมรายการดังกล่าวที่มีอยู่ราว 18.7 ล้านคน ก็ยังถือเป็นเรื่องที่น่าเศร้าเพราะตัวเลขโดยเฉลี่ยของคนดูในปีนี้ยังต่ำกว่ามาตรฐานเมื่อเทียบกับหลายๆ ปีที่ผ่านมา <div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/03/PCru2GfrP2VmaKoWX1rE.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="PCru2GfrP2VmaKoWX1rE.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0"></figure></div>​ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;การออกอากาศผลการประกาศรางวัลในปี 2023 นี้ มียอดผู้ชมที่เพิ่มขึ้นจาก 16.6 ล้านคน ในปีก่อนกว่า 2 ล้านคน โดยกลุ่มประชากรที่มีอายุระหว่าง 18-49 ปี มีการติดตามดูรายการเพิ่มขึ้น 5% ซึ่งถือเป็นกุญแจสำคัญสำหรับผู้ลงโฆษณาที่จะวางเป้าหมายการตลาดได้ง่ายขึ้นในอนาคต&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;จำนวนของผู้ชมการประกาศผลรางวัลออสการ์ ในปีนี้ ถือเป็นตัวเลขที่มีการปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 นับจากปี 2021 ที่มีผู้ชมเพียง 10.4 ล้านคนซึ่งเป็นผลพวงมาจากสถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจและการบริหารจัดการต่างๆ ไปทั่วทั้งระบบ&nbsp; &nbsp; แต่ทั้งนี้ ตัวเลขของผู้ชมงานออสการ์ปี 2023 ยังคงต่ำสุดเป็นประวัติการณ์อยู่ในอันดับที่ 3 รองจากปี 2021 และ 2022 ตามลำดับ ซึ่งในอดีตที่ผ่านมาการประกาศผลรางวัลออสการ์สามารถดึงดูดผู้ชมให้เฝ้าอยู่หน้าจอได้โดยเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 30 ล้านคนต่อปี&nbsp;ขณะที่ปี 1998 นั้น ถือเป็นปีที่สร้างประวัติศาสตร์จากการมีค่าเฉลี่ยของผู้ชมที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์อยู่ที่ 55.2 ล้านคน <div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/03/hdvtijfYQ4eFR9CQ1tGH.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="hdvtijfYQ4eFR9CQ1tGH.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="1"></figure></div>​&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับเรตติ้งที่เพิ่มขึ้นของการประกาศรางวัลออสการ์ในปีนี้ คาดว่ามีผลมาจากหลายปัจจัย อาทิ กรณีดราม่าจากการที่พระเอกคนดังอย่าง Will Smith ตบหน้า Chris Rock ในงานประกาศรางวัลเมื่อปี 2022 จนทำให้เกิดการพูดถึงผ่านกระแสโซเชียลเป็นอย่างมากรวมถึงเรตติ้งที่เพิ่มขึ้นในช่วงหลังการออกอากาศในปีที่แล้ว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ต่อเนื่องมาถึงการนำเสนอรายชื่อผู้เข้าชิงรางวัลในสาขาต่างๆ ที่มาจากภาพยนตร์ดังสร้างกำไรมหาศาล อย่าง Top Gun: Maverick และ Avatar: The Way Of Water แต่ทว่า Everything Everywhere All At Once ที่ได้รับการเสนอชื่อให้เข้าชิงถึง 11 รางวัล คือ ผู้ชนะรางวัล “ภาพยนตร์ยอดเยี่ยมแห่งปี 2023” และยังกวาดรางวัลอื่นๆ ไปครองด้วยรวมทั้งสิ้น 7 รางวัล&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อย่างไรก็ตาม ยังคงเป็นเรื่องที่น่าจับตาดูว่าเรตติ้งของผู้ชมรายการประกาศรางวัลต่างๆ ที่ซบเซามานานหลายปีจะสามารถพลิกฟื้นกลับมาได้ดังเดิมหรือไม่&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดยการประกาศผลรางวัลแกรมมี่ปี 2023 ในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา สามารถดึงดูดผู้ชมได้ 12.5 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มีจำนวน 9.6 ล้านคน ขณะที่ยอดเรตติ้งของการประกาศผลรางวัล Golden Globes หรือ ลูกโลกทองคำ ในเดือนมกราคมที่ผ่านมาร่วงลงถึง 26% เมื่อเทียบกับปีก่อน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ส่วนงานประกาศผลรางวัล Emmys ครั้งล่าสุดที่จัดขึ้นในเดือนกันยายนปี 2022 มีเรตติ้งต่ำสุดเท่าที่เคยมีมา โดยมีผู้ชมจำนวน 5.9 ล้านคน ลดน้อยลงจากปี 2021 ที่มีจำนวน 7.9 ล้านคน ​แปลจากบทความ&nbsp;Oscars Ratings Rise 12% Over 2022—But Still Among Lowest Ever ซึ่งเผยแพร่บน&nbsp;forbes.com​ อ่านเพิ่มเติม:&nbsp;<a href="https://forbesthailand.com/world/america/xwing-%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%A8%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%9A%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B8%82%E0%B8%B1%E0%B8%9A" alt="Xwing เปิดศักราชการบินไร้คนขับ​"></a><a href="https://www.forbes.com/sites/nicholasreimann/2023/03/13/oscars-ratings-rise-12-over-2022-but-still-among-lowest-ever/?sh=353f87fe70da" alt="Oscars Ratings Rise 12% Over 2022—But Still Among Lowest Ever"></a><a href="https://www.forbesthailand.com/world/asia/%E0%B9%81%E0%B8%87%E0%B9%89%E0%B8%A1%E0%B8%96%E0%B8%B8%E0%B8%87%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%82%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%8D-126-000-%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%8D-%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%94%E0%B8%B2%E0%B8%9C%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B9%80%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%B4%E0%B8%87%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%AA%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%8C" alt="แง้มถุงของขวัญ 126,000 เหรียญ ของบรรดาผู้เข้าชิงออสการ์">แง้มถุงของขวัญ 126,000 เหรียญ ของบรรดาผู้เข้าชิงออสการ์</a><hr class="__se__solid">​<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

 เรตติ้ง “ออสการ์” ยังต่ำกว่ามาตรฐานแม้เพิ่มขึ้น 12% จากปี 2022

<h2>ประเทศไทยจำเป็นต้องกู้เงินจากต่างประเทศเพื่อใช้จ่ายในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศให้เจริญก้าวหน้าและให้ประชาชนมีรายได้และความเป็นอยู่ที่สูงขึ้น จึงได้กู้เงินจากต่างประเทศโดยการออกพันธบัตรเป็นครั้งแรกเมื่อปี 2447</h2>
ต่อมาในปี 2519 ไทยได้กลับมากู้เงินจากตลาดการเงินต่างประเทศอีกครั้งในรูป Euro Syndication วงเงิน 60 ล้านเหรียญสหรัฐฯ พร้อมทั้งพัฒนารูปแบบการกู้เงินจากตลาดดังกล่าวมาตามลำดับ จากการกู้เงินจากกลุ่มธนาคารในรูป syndication เป็นการกู้เงินในรูป floating rate notes และการออกพันธบัตรชนิด private placement ในตลาดทุนญี่ปุ่น เยอรมนี และสวิตเซอร์แลนด์ จนถึงขั้นการออกพันธบัตรชนิด public offering ในตลาดทุนญี่ปุ่นหรือ Samurai Bond เป็นครั้งแรกเมื่อปี 2522

ในการนี้ กระทรวงการคลังได้จัดทำ credit rating สำหรับประเทศไทยเพื่อเป็นการปูทางในการกู้เงินโดยตรงจากนักลงทุนในตลาดทุนต่างประเทศที่อนุญาตเฉพาะผู้ออกตราสารหนี้ที่ได้รับการรับรองโดยบริษัท Standard &amp; Poors (S&amp;P) และบริษัท Moody’s Investor Service (Moody’s) โดยเริ่มจากการทำ Credit Assessment ซึ่งเป็นการดำเนินการตามที่บริษัท S&amp;P เสนอ และได้รับการจัดลำดับเครดิตในระดับ S1 (Satisfactory) เมื่อปี 2531 ซึ่งหมายความว่า ไทยสามารถชำระหนี้ได้ตรงกำหนด

หลังจากนั้น กระทรวงการคลังได้ว่าจ้างบริษัท S&amp;P และ Moody’s จัดทำ credit rating ของประเทศ และได้ออกตราสารหนี้ระยะสั้นในรูป Euro Commercial Paper วงเงิน 1 พันล้านเหรียญ โดยได้รับการรับรองเครดิตระยะสั้นที่ A1P1 เมื่อกุมภาพันธ์ 2532 ตามด้วยการออกพันธบัตรชนิด public offering ในตลาดทุนสหรัฐฯ หรือ Yankee Bond วงเงิน 200 ล้านเหรียญ เมื่อสิงหาคมปีเดียวกันโดยได้เครดิตที่ A-A2 ตามลำดับ ซึ่งหมายความว่า ไทยมีความสามารถชำระหนี้ได้ตามกำหนด แต่ในระยะยาวหากมีปัจจัยเปลี่ยนแปลงไปในทางลบ อาจจะกระทบต่อความสามารถในการชำระหนี้

<figure><img style="width: 680px; height: 453px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/4ba3017d0be74d83a3876b8269dee607.png" alt="" width="680" height="453" /><figcaption> ครั้งหนึ่งในช่วงปี 2532 ประเทศไทยเคยได้รับการจัด credit rating ที่ระดับ A2 ก่อนที่ Moody’s จะปรับลดลงเหลือที่ระดับ Baa3 เมื่อไทยเริ่มเผชิญกับวิกฤตเศรษฐกิจ (ขอบคุณภาพจาก: โพสต์ทูเดย์)</figcaption></figure>

ต่อมา กระทรวงการคลังได้ดำเนินการกู้เงินโดยการออก Yankee Bond รุ่นที่ 2 วงเงิน 300 ล้านเหรียญ พร้อมกับการจัดตั้ง Medium Term Notes Program วงเงิน 1 พันล้านเหรียญ เมื่อปี 2534 อย่างไรก็ดี การออก Yankee Bond รุ่นที่ 3 เมื่อเมษายน 2540 ทั้งที่พันธบัตรรุ่นดังกล่าวได้รับการตอบรับจากนักลงทุนอย่างดียิ่งจนต้องเพิ่มวงเงินพันธบัตรที่จะออกจำหน่ายจาก 500 เป็น 600 ล้านเหรียญที่อัตราดอกเบี้ย 7.75 % ต่อปี สำหรับพันธบัตรระยะ 10 ปี โดยมี Spread Over US Treasury Bond ใกล้เคียงกับเกาหลี ซึ่งมี credit rating สูงกว่าไทย แต่ Moody’s ได้ประกาศ downgrade ไทยจาก credit rating ในระดับ A2 เป็น Baa3 เนื่องจากการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดในระดับที่สูง (5% ของ GDP) และมีความห่วงใยในค่าเงินบาท

การจัดลำดับเครดิตของประเทศเมื่อปี 2532 กระทรวงการคลังมั่นใจว่า ประเทศไทยจะสามารถรักษา credit rating ในระดับ A-A2 ได้ แต่ผลจากการถูก downgrade เมื่อเมษายน 2540 และการเกิดวิกฤตในภาคการเงินเมื่อกรกฎาคม 2540 ทำให้ไทยมีเครดิตที่ BBB Range มาจนถึงปัจจุบัน

สำหรับประโยชน์ที่พึงได้รับจากการทำ credit rating ของประเทศไทย นอกจากจะเป็นการกระจายฐานการกู้เงินให้กว้างขวางขึ้น เพื่อเพิ่มอำนาจในการเจรจาต่อรองแล้ว ยังเป็นการสร้างอัตราดอกเบี้ยอ้างอิง ซึ่งจะช่วยให้สถาบันในภาคการเงินและภาคธุรกิจต่าง ๆ ทั้งจากภาครัฐและเอกชนสามารถกู้เงินในตลาดการเงินได้ง่ายและสะดวกขึ้น

<figure><img style="width: 680px; height: 456px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/78b3b7b1f1ca3f337419371375297bef.png" alt="" width="680" height="456" /><figcaption> TRIS Rating บริษัทวิเคราะห์เครดิตไทย (ขอบคุณภาพจาก: โพสต์ทูเดย์)</figcaption></figure>

ในการนี้ กระทรวงการคลังได้สนับสนุนการจัดตั้งบริษัทวิเคราะห์เครดิตไทย (TRIS Rating) เมื่อปี 2536 เพื่อรับรองเครดิตของตราสารหนี้ที่ออกจำหน่ายในตลาดตราสารหนี้ไทย อีกทั้งในช่วงหลังจากประสบวิกฤตเมื่อปี 2540 กระทรวงการคลังยังปรับเพิ่มบทบาท โดยการพัฒนาตลาดตราสารหนี้ในประเทศให้เป็นแหล่งระดมทุนในระดับภูมิภาคเมื่อปี 2542 จนถึงขั้นที่ทำให้ต้นทุนการกู้เงินในประเทศต่ำกว่าการกู้เงินจากต่างประเทศ พร้อมกับเปิดโอกาสให้นิติบุคคลจากต่างประเทศสามารถกู้เงินโดยการออกพันธบัตรสกุลเงินบาทในตลาดการเงินไทย ซึ่งธนาคารพัฒนาเอเชียหรือ ADB เป็นนิติบุคคลต่างประเทศแห่งแรกที่ออกตราสารหนี้สกุลเงินบาทในประเทศไทยเมื่อปี 2547

ปัจจุบัน มีวิสาหกิจจากต่างประเทศ จำนวน 88 ราย ได้ยื่นคำขอออกพันธบัตรสกุลเงินบาทเป็นเงินกว่า 1.9 ล้านล้านบาท นับว่าไทยสามารถแปลงวิกฤตให้เป็นโอกาสและประสบความสำเร็จในการพัฒนาตลาดตราสารหนี้ไทย จนสามารถระดมเงินเพื่อใช้จ่ายในการพัฒนาประเทศทดแทนการกู้เงินจากต่างประเทศ ซึ่งท่านสามารถติดตามผลการระดมทุนจากตลาดทุนในประเทศ ทั้งของภาครัฐและเอกชนในและต่างประเทศ ได้จาก Thailand Bond Market Association

&nbsp;

<img style="width: 250px; height: 252px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/919cc299a4d3565dd1890e36856ff7e6.png" alt="" />
พรรณี สถาวโรดม
อดีตผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะและผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง

<hr />

<a href="https://goo.gl/kcoQQx">อ่านบทความทางด้านธุรกิจและการลงทุนอื่นๆ ได้ที่ Forbes Thailand Magazine ฉบับ ตุลาคม 2560 ในรูปแบบ e-Magazine</a>
<a href="https://goo.gl/kcoQQx"><img style="width: 250px; height: 330px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/1ee8f0c49c6f94ca8ba580d9f0bdf60d.png" alt="" /></a>

การจัดทำ Credit Rating ของประเทศไทย

<h2>ประเทศไทยจำเป็นต้องกู้เงินจากต่างประเทศเพื่อใช้จ่ายในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศให้เจริญก้าวหน้าและให้ประชาชนมีรายได้และความเป็นอยู่ที่สูงขึ้น จึงได้กู้เงินจากต่างประเทศโดยการออกพันธบัตรเป็นครั้งแรกเมื่อปี 2447</h2>
ต่อมาในปี 2519 ไทยได้กลับมากู้เงินจากตลาดการเงินต่างประเทศอีกครั้งในรูป Euro Syndication วงเงิน 60 ล้านเหรียญสหรัฐฯ พร้อมทั้งพัฒนารูปแบบการกู้เงินจากตลาดดังกล่าวมาตามลำดับ จากการกู้เงินจากกลุ่มธนาคารในรูป syndication เป็นการกู้เงินในรูป floating rate notes และการออกพันธบัตรชนิด private placement ในตลาดทุนญี่ปุ่น เยอรมนี และสวิตเซอร์แลนด์ จนถึงขั้นการออกพันธบัตรชนิด public offering ในตลาดทุนญี่ปุ่นหรือ Samurai Bond เป็นครั้งแรกเมื่อปี 2522

ในการนี้ กระทรวงการคลังได้จัดทำ credit rating สำหรับประเทศไทยเพื่อเป็นการปูทางในการกู้เงินโดยตรงจากนักลงทุนในตลาดทุนต่างประเทศที่อนุญาตเฉพาะผู้ออกตราสารหนี้ที่ได้รับการรับรองโดยบริษัท Standard &amp; Poors (S&amp;P) และบริษัท Moody’s Investor Service (Moody’s) โดยเริ่มจากการทำ Credit Assessment ซึ่งเป็นการดำเนินการตามที่บริษัท S&amp;P เสนอ และได้รับการจัดลำดับเครดิตในระดับ S1 (Satisfactory) เมื่อปี 2531 ซึ่งหมายความว่า ไทยสามารถชำระหนี้ได้ตรงกำหนด

หลังจากนั้น กระทรวงการคลังได้ว่าจ้างบริษัท S&amp;P และ Moody’s จัดทำ credit rating ของประเทศ และได้ออกตราสารหนี้ระยะสั้นในรูป Euro Commercial Paper วงเงิน 1 พันล้านเหรียญ โดยได้รับการรับรองเครดิตระยะสั้นที่ A1P1 เมื่อกุมภาพันธ์ 2532 ตามด้วยการออกพันธบัตรชนิด public offering ในตลาดทุนสหรัฐฯ หรือ Yankee Bond วงเงิน 200 ล้านเหรียญ เมื่อสิงหาคมปีเดียวกันโดยได้เครดิตที่ A-A2 ตามลำดับ ซึ่งหมายความว่า ไทยมีความสามารถชำระหนี้ได้ตามกำหนด แต่ในระยะยาวหากมีปัจจัยเปลี่ยนแปลงไปในทางลบ อาจจะกระทบต่อความสามารถในการชำระหนี้

<figure><img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/4ba3017d0be74d83a3876b8269dee607.png" alt="" width="680" height="453" /><figcaption> ครั้งหนึ่งในช่วงปี 2532 ประเทศไทยเคยได้รับการจัด credit rating ที่ระดับ A2 ก่อนที่ Moody’s จะปรับลดลงเหลือที่ระดับ Baa3 เมื่อไทยเริ่มเผชิญกับวิกฤตเศรษฐกิจ (ขอบคุณภาพจาก: โพสต์ทูเดย์)</figcaption></figure>

ต่อมา กระทรวงการคลังได้ดำเนินการกู้เงินโดยการออก Yankee Bond รุ่นที่ 2 วงเงิน 300 ล้านเหรียญ พร้อมกับการจัดตั้ง Medium Term Notes Program วงเงิน 1 พันล้านเหรียญ เมื่อปี 2534 อย่างไรก็ดี การออก Yankee Bond รุ่นที่ 3 เมื่อเมษายน 2540 ทั้งที่พันธบัตรรุ่นดังกล่าวได้รับการตอบรับจากนักลงทุนอย่างดียิ่งจนต้องเพิ่มวงเงินพันธบัตรที่จะออกจำหน่ายจาก 500 เป็น 600 ล้านเหรียญที่อัตราดอกเบี้ย 7.75 % ต่อปี สำหรับพันธบัตรระยะ 10 ปี โดยมี Spread Over US Treasury Bond ใกล้เคียงกับเกาหลี ซึ่งมี credit rating สูงกว่าไทย แต่ Moody’s ได้ประกาศ downgrade ไทยจาก credit rating ในระดับ A2 เป็น Baa3 เนื่องจากการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดในระดับที่สูง (5% ของ GDP) และมีความห่วงใยในค่าเงินบาท

การจัดลำดับเครดิตของประเทศเมื่อปี 2532 กระทรวงการคลังมั่นใจว่า ประเทศไทยจะสามารถรักษา credit rating ในระดับ A-A2 ได้ แต่ผลจากการถูก downgrade เมื่อเมษายน 2540 และการเกิดวิกฤตในภาคการเงินเมื่อกรกฎาคม 2540 ทำให้ไทยมีเครดิตที่ BBB Range มาจนถึงปัจจุบัน

สำหรับประโยชน์ที่พึงได้รับจากการทำ credit rating ของประเทศไทย นอกจากจะเป็นการกระจายฐานการกู้เงินให้กว้างขวางขึ้น เพื่อเพิ่มอำนาจในการเจรจาต่อรองแล้ว ยังเป็นการสร้างอัตราดอกเบี้ยอ้างอิง ซึ่งจะช่วยให้สถาบันในภาคการเงินและภาคธุรกิจต่าง ๆ ทั้งจากภาครัฐและเอกชนสามารถกู้เงินในตลาดการเงินได้ง่ายและสะดวกขึ้น

<figure><img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/78b3b7b1f1ca3f337419371375297bef.png" alt="" width="680" height="456" /><figcaption> TRIS Rating บริษัทวิเคราะห์เครดิตไทย (ขอบคุณภาพจาก: โพสต์ทูเดย์)</figcaption></figure>

ในการนี้ กระทรวงการคลังได้สนับสนุนการจัดตั้งบริษัทวิเคราะห์เครดิตไทย (TRIS Rating) เมื่อปี 2536 เพื่อรับรองเครดิตของตราสารหนี้ที่ออกจำหน่ายในตลาดตราสารหนี้ไทย อีกทั้งในช่วงหลังจากประสบวิกฤตเมื่อปี 2540 กระทรวงการคลังยังปรับเพิ่มบทบาท โดยการพัฒนาตลาดตราสารหนี้ในประเทศให้เป็นแหล่งระดมทุนในระดับภูมิภาคเมื่อปี 2542 จนถึงขั้นที่ทำให้ต้นทุนการกู้เงินในประเทศต่ำกว่าการกู้เงินจากต่างประเทศ พร้อมกับเปิดโอกาสให้นิติบุคคลจากต่างประเทศสามารถกู้เงินโดยการออกพันธบัตรสกุลเงินบาทในตลาดการเงินไทย ซึ่งธนาคารพัฒนาเอเชียหรือ ADB เป็นนิติบุคคลต่างประเทศแห่งแรกที่ออกตราสารหนี้สกุลเงินบาทในประเทศไทยเมื่อปี 2547

ปัจจุบัน มีวิสาหกิจจากต่างประเทศ จำนวน 88 ราย ได้ยื่นคำขอออกพันธบัตรสกุลเงินบาทเป็นเงินกว่า 1.9 ล้านล้านบาท นับว่าไทยสามารถแปลงวิกฤตให้เป็นโอกาสและประสบความสำเร็จในการพัฒนาตลาดตราสารหนี้ไทย จนสามารถระดมเงินเพื่อใช้จ่ายในการพัฒนาประเทศทดแทนการกู้เงินจากต่างประเทศ ซึ่งท่านสามารถติดตามผลการระดมทุนจากตลาดทุนในประเทศ ทั้งของภาครัฐและเอกชนในและต่างประเทศ ได้จาก Thailand Bond Market Association

<figure><img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/919cc299a4d3565dd1890e36856ff7e6.png" alt="" width="250" height="252" /><figcaption> พรรณี สถาวโรดมอดีตผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะและผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง</figcaption></figure>

&nbsp;

<hr />

<a href="https://goo.gl/kcoQQx">อ่านบทความทางด้านธุรกิจและการลงทุนอื่นๆ ได้ที่ Forbes Thailand Magazine ฉบับ ตุลาคม 2560 ในรูปแบบ e-Magazine</a>
<a href="https://goo.gl/kcoQQx"><img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/1ee8f0c49c6f94ca8ba580d9f0bdf60d.png" alt="" /></a>

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events