“Standard International” แบรนด์ไลฟ์สไตล์บุกไทย เปิดทำเลหัวหิน-มหานครแฟล็กชิพ เอเชีย

"คาร์ลตัน สิงคโปร์" บุกไทยซื้อโรงแรมดังเปิดเชนหรูสไตล์เอเชีย

ซีอีโอ Oyo กับความพยายามตะเกียกตะกายเพื่อสกัดกั้นวิกฤตความเชื่อมั่น

<h2 class="p1">Oyo เชนโรงแรมยักษ์ใหญ่อันดับ 2 ของโลกจากอินเดีย บุกตลาดไทยอย่างเป็นทางการ พร้อมให้บริการห้องพักกว่า 8,000 ห้องใน 13 จังหวัดทั่วประเทศ</h2>
Mandar Vaidya ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และตะวันออกกลาง Oyo Hotels and Homes เปิดเผยว่า บริษัทได้เริ่มให้บริการที่พักในประเทศไทยอย่างเป็นทางการแล้ว หลังประสบความสำเร็จในการเป็นผู้นำตลาดธุรกิจเครือโรงแรมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทั้งในมาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม
โดยในประเทศไทยเริ่มเข้ามาทำตลาดตั้งแต่เดือนเมษายนที่ผ่านมา และปัจจุบันให้บริการห้องพักกว่า 8,000 ห้อง ในโรงแรมกว่า 250 แห่ง 13 จังหวัดทั่วประเทศ ได้แก่ กรุงเทพฯ, หัวหิน, เชียงใหม่, ภูเก็ต, พัทยา, ขอนแก่น, เชียงราย, ตราด, สุราษฎร์ธานี, กระบี่, กาญจนบุรี, นครราชสีมา และอุบลราชธานี
Vaidya กล่าวว่า แม้ประเทศไทยจะเป็นตลาดที่ค่อนข้างใหม่ แต่ด้วยศักยภาพของประเทศจึงมั่นใจว่าไทยจะเป็นตลาดที่สำคัญต่อการเติบโตทางธุรกิจของบริษัทในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยโฟกัสไปที่ผู้เดินทางในประเทศเป็นหลัก ซึ่งเป็นเป้าหมายของบริษัท
“การขยายพอร์ตการให้บริการที่ไทยจะช่วยให้เราบรรลุเป้าหมายการมีห้องพักภายใต้การดูแลบริหารจัดการของเราในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้รวม 2 ล้านห้องภายในปี 2025 และเป็นเชนโรงแรมอันดับ 1 ของโลกได้ในอนาคต”
<img class="alignnone size-full wp-image-23864" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/11/oyo03.png" alt="" width="720" height="480" />
สำหรับเชนโรงแรมรายนี้เป็นสตาร์ทอัพที่ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2013 ในประเทศอินเดีย ในปี 2015 ได้กลายเป็นเชนโรงแรมที่ใหญ่ที่สุดในอินเดียด้วยจำนวนห้องพักกว่า 1.2 หมื่นห้อง ปัจจุบันสามารถขยายธุรกิจไปได้กว่า 800 เมืองใน 80 ประเทศทั่วโลก ซึ่งรวมถึงจีน สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น ยุโรป และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยจำนวนโรงแรมและบ้านพักตากอากาศรวมกว่า 2.3 หมื่นแห่ง 8 แสนห้องพัก ทำให้กลายเป็นเชนโรงแรมอันดับ 2 ของโลก
สตาร์ทอัพรายนี้ได้รับการระดมทุนสำคัญมากมาย อาทิ Softbank, Sequoia Capital และ Airbnb และมีการประเมินว่าน่าจะเป็นบริษัทที่มีมูลค่าแตะ 1 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ ไปแล้ว หลังได้รับการระดมทุนรอบซีรีส์ F ไปเมื่อเดือนก่อน

<ul>
 	<li><a href="https://forbesthailand.com/news/global/%e0%b8%aa%e0%b8%95%e0%b8%b2%e0%b8%a3%e0%b9%8c%e0%b8%97%e0%b8%ad%e0%b8%b1%e0%b8%9e%e0%b8%ad%e0%b8%b4%e0%b8%99%e0%b9%80%e0%b8%94%e0%b8%b5%e0%b8%a2-oyo.html">สตาร์ทอัพโรงแรมอินเดีย Oyo มีมูลค่าพุ่งทะยานไปถึง 1 หมื่นล้านเหรียญแล้ว</a></li>
</ul>
Ashutosh Singh ผู้อำนวยการบริหาร ประจำประเทศไทย อธิบายว่า โมเดลธุรกิจของบริษัทคือการเข้าไปร่วมมือกับเจ้าของโรงแรมขนาดเล็กในทำเลที่มีศักยภาพ เพื่อปรับปรุงและพัฒนาห้องพัก ทักษะการบริหารจัดการ และประสิทธิภาพของการบริการให้ได้มาตรฐานแบบตามแบบของบริษัท ทำให้โรงแรมของเรามีมาตรฐานเหมือนกันทั่วโลก
“นอกจากนี้เรายังมีแพลตฟอร์มการจองของตัวเอง มีการทำการตลาดให้ที่พักเป็นที่รู้จักมากขึ้น ขณะเดียวกันที่พักของเรายังสามารถจองผ่านบริการจองที่พักออนไลน์อื่นๆ และเอเจนซี่ทัวร์ ที่สำคัญคือเรายังนำเทคโนโลยีวิเคราะห์ข้อมูลมาใช้เพื่อปรับเปลี่ยนราคาให้เป็นไปตามตลาด เพื่อให้เจ้าของโรงแรมได้รายได้สูงสุด


<figure><img class="size-full wp-image-23863" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/11/oyo02.jpg" alt="" width="720" height="480" /><figcaption> Ashutosh Singh ผู้อำนวยการบริหาร ประจำประเทศไทย</figcaption></figure>
“โมเดลนี้ทำให้โรงแรมที่เข้าร่วมกับเรามีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่มากขึ้น โรงแรมเป็นที่รู้จักมากขึ้น ขณะที่รายได้ของเราจะเป็นค่าคอมมิชชั่นจากเจ้าของโรงแรม อย่างไรก็ตาม หากเจ้าของโรงแรมให้เราลงทุนเพิ่มเติม สัดส่วนค่าคอมมิชชั่นก็จะแปรผันตามไปด้วย โดยทำสัญญากับเจ้าของโรงแรมอยู่ที่ 1-5 ปี นอกจากนี้ บริษัทยังมีการลงทุนทำที่พักของตัวเองด้วย โดยมีสัดส่วนอยู่ที่ 10-15% จากจำนวนห้องพักทั้งหมด”
Singh ระบุว่า สำหรับในประเทศไทย บริษัทมุ่งหาพาร์ทเนอร์คือโรงแรมขนาดเล็ก ประมาณ 80-100 ห้อง เมื่อปรับปรุงแล้วจะให้บริการในราคาไม่เกิน 1,000 บาทต่อคืน ทั้งนี้ ตัวอย่างที่พักที่เข้าร่วมกับเรา ได้แก่ OYO Diamond ในกรุงเทพฯ ที่เข้าร่วมกับเราได้เพียง 4 เดือนก็มีอัตราการเข้าพักเพิ่มขึ้นจาก 25-30% เป็น 70% รายได้ต่อเดือนเพิ่มขึ้นถึง 3 เท่า
“ปัจจุบันห้องพักทั้งหมดในไทยให้บริการอย่างเป็นทางการแล้ว ส่วนอัตราการเข้าพักเฉลี่ยในไทยเราอาจยังไม่สามารถประเมินได้ เนื่องจากอัตราการเข้าพักของไทยขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นฤดูกาลท่องเที่ยว, การเข้ามาใช้แพลตฟอร์มของเรา และพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวในแต่ละเมือง เช่น ภูเก็ตอัตราการเข้าพักจะสูงอยู่เสมอเนื่องจากเป็นการเข้าพักแบบระยะยาว ขณะที่เมืองที่นักท่องเที่ยวเข้าพักแบบวอล์คอินอัตราเข้าพักจะสูงในช่วงสุดสัปดาห์”
ทั้งนี้ Singh เผยว่าปัจจุบันการจองห้องพักบนแพลตฟอร์มของ Oyo ในประเทศไทยยังมีสัดส่วนไม่มากนัก ซึ่งต้องอาศัยการสร้างการรับรู้และต้องอาศัยเวลา อย่างเช่นในอินเดียซึ่งเป็นตลาดที่เราอยู่มานานแล้วนั้น การจองกว่า 80% เกิดขึ้นบนแพลตฟอร์มของเราเอง ซึ่งหวังว่าในอีก 10-12 เดือนข้างหน้าการจองที่พักในประเทศไทยส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นบนแพลตฟอร์มของเราได้
ส่วนแนวทางการขยายการเติบโตในประเทศไทย Singh กล่าวว่า จากช่วงแรกที่เข้ามาทำตลาดในไทย บริษัทได้ทดลองดูว่าโมเดลธุรกิจของเราจะใช้ได้ที่ไทยหรือไม่ จากหลายเดือนที่ผ่านมาพบว่าโรงแรมที่เข้าร่วมกับเรามีมูลค่าเพิ่มขึ้น และตอบโจทย์กับผู้บริโภคเป็นอย่างดี นอกจากนี้เรายังศึกษาจนเข้าใจแนวทางการขยายตัวในแต่ละเมือง ขณะที่โรงแรมขนาดเล็กที่อยู่ในระดับที่เราต้องการมีอยู่กว่า 30,000-50,000 แห่ง จึงมองว่ายังมีโอกาสขยายตัวได้อีกมาก แต่อาจยังไม่สามารถเปิดเผยตัวเลขเป้าหมายที่ชัดเจนได้
&nbsp;

บรรยายภาพปก: Mandar Vaidya ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และตะวันออกกลาง

<hr />

ไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่ <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">เพจเฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

Oyo เชนโรงแรมยักษ์ใหญ่จากอินเดีย บุกเมืองไทยอย่างเป็นทางการ

<h2>จ.ภูเก็ตที่ได้รับการขนานนามว่าไข่มุกแห่งอันดามันยังคงดึงดูดนักท่องเที่ยวทั่วโลกกว่า 10 ล้านคน/ปี ให้เดินทางมาสัมผัสความงามแห่งท้องทะเลได้อยู่เสมอ แม้จะมีโรงแรมหรูเปิดให้บริการนักท่องเที่ยวอยู่แล้วหลายแห่ง แต่ภูเก็ตก็ยังเป็นเกาะแห่งโอกาสสำหรับผู้เล่นรายใหญ่ในธุรกิจโรงแรมได้เข้ามาสร้างสีสันให้ที่พักระดับไฮเอนด์ และเป็นการเติมเต็มพอร์ตการลงทุนของตนให้ครบครันยิ่งขึ้น</h2>
ล่าสุด Rosewood Hotel Group จาก ฮ่องกง ผู้บริหาร Rosewood Hotels &amp; Resorts เครือโรงแรมและรีสอร์ทระดับอัลตรา-ลักชัวรี่กว่า 20 แห่งทั่วโลก ทั้งในสหรัฐอเมริกา แคนาดา สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส ซาอุดิอาระเบีย จีน ฯลฯ ก็รุกตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างเต็มสูบ

บริษัทประกาศเปิดตัวโรงแรมใน 3 ประเทศ คือ Rosewood Phuket ประเทศไทย Rosewood Phnom Penh ประเทศกัมพูชา และ Rosewood Luang Prabang สปป.ลาว ซึ่งทั้งหมดจะเปิดบริการในไตรมาส 4 ของปีนี้ ส่วน Rosewood Bangkok ย่านเพลินจิต ที่มี บริษัท เรนด์ เพลินจิต โฮเต็ล จำกัด เป็นเจ้าของ และให้ Rosewood Hotels &amp; Resorts บริหาร จะเปิดบริการในราวปี 2562

<img style="width: 680px; height: 511px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/45ded55d9c1326022cc2e18d9c1b96a0.png" alt="" />

Andrew Turner, Managing Director ของ Rosewood Phuket เล่าถึงภาพรวมธุรกิจโรงแรมระดับอัลตรา-ลักชัวรี่ในภูมิภาคนี้ว่ายังเติบโตได้อีกมาก เพราะกลุ่มนักท่องเที่ยวระดับบนต้องการที่พักที่สามารถสร้างความอบอุ่น ผ่อนคลาย สะดวกสบาย และมีมาตรฐานการบริการระดับสูงสุด เพื่อสร้างสรรค์ประสบการณ์การท่องเที่ยวอันน่าประทับใจ

สำหรับภูเก็ตซึ่งเป็นจุดหมายลำดับต้นๆ ของนักท่องเที่ยวต่างชาตินั้นมีกระแสความนิยมในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ระดับบนมาราว 13 ปีแล้ว และยังมีศักยภาพในการเติบโตอย่างต่อเนื่อง Rosewood Hotel Group จึงวางแผนการลงทุนสร้างโรงแรมมาตั้งแต่ปี 2555

Turner ไม่ขอเปิดเผยมูลค่าการลงทุน แต่กล่าวว่าบริษัทเป็นเจ้าของและดำเนินการเอง โดย Rosewood Phuket ตั้งอยู่บนพื้นที่ราว 43 เอเคอร์ หรือเกือบ 110 ไร่ ใน ต. ป่าตอง อ. กะทู้ ชูจุดเด่นที่การมีชายหาดเป็นวงโค้งรูปพระจันทร์เสี้ยวยาวราว 600 เมตร ออกแบบตกแต่งที่พักทั้งหมด 71 ห้อง โดยผสานแนวคิดของโรงแรมเข้ากับธรรมชาติให้เกิดความกลมกลืนมากที่สุด

<img style="width: 680px; height: 524px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/2290dec9748b8c8f759b425112f10908.png" alt="" />

เขากล่าวถึงกลุ่มลูกค้าด้วยว่า เนื่องจากนักท่องเที่ยวชาวไทยระดับไฮเอนด์ยังมีจำนวนน้อย ดังนั้นจึงจะเน้นนักท่องเที่ยวต่างชาติเป็นหลัก โดยเฉพาะจากจีน รัสเซีย สหราชอาณาจักร เยอรมนี และออสเตรเลีย ซึ่งเข้ามาท่องเที่ยวในภูเก็ตมากเป็น 5 อันดับแรก เมื่อดูอัตราการเข้าพักในภูเก็ต ภาพรวมจะอยู่ที่ราว 70% ต้นๆ หากเป็นที่พักระดับลักชัวรี่จะอยู่ที่ 65-68% ซึ่ง Turner คาดการณ์ว่าน่าจะเป็นอัตราใกล้เคียงกับที่ Rosewood Phuket วางไว้

ผู้บริหารโรงแรมไม่หวั่นที่จะลงแข่งขันกับที่พักในระดับเดียวกันอย่าง อมันปุรี ตรีสรา ศรีพันวา ฯลฯ “เพราะเราเห็นโอกาสอีกมากในกลุ่มอสังหาฯ ไฮเอนด์” เขาบอก พร้อมเผยถึงแผนธุรกิจต่อไปว่ายังมีส่วน Rosewood Residences จำนวน 32 หลัง ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการออกแบบตกแต่ง หากแล้วเสร็จและเปิดตัวก็น่าจะกระตุ้นอสังหาฯ ระดับบนของภูเก็ตให้คึกคักยิ่งขึ้น

“Rosewood เป็นที่รู้จักมากขึ้นแล้วในเอเชีย และเราก็หวังว่าในไม่ช้านี้คนไทยจะรู้จักเรามากขึ้น” Turner ตั้งความหวังปิดท้าย

ภาพ: Rosewood Hotels &amp; Resorts

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events