<h2>หากมีธุรกิจที่ดำเนินผ่านกาลเวลามายาวนานเกือบ 40 ปีในครอบครองคุณจะทำอย่างไร? ในกรณีของบาร์บีคิวพลาซ่า (Bar B Q Plaza) พวกเขาเลือกจะนำเรื่องราวของตนมาถ่ายทอดผ่านหนังสือนิทานธุรกิจ (Business Fable) เล่มแรกในไทยเพื่อส่งต่อแพสชั่นและแรงบันดาลใจ ย้ำจุดยืนของแบรนด์ที่ต้องการเป็น ‘เพื่อนที่ดีที่สุด’ ของทุกคน</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เชื่อว่าทุกคนคงเคยเห็น ‘บาร์บีกอน’ ที่ยืนอยู่หน้าร้านบาร์บีคิวพลาซ่ามาอย่างยาวนาน แม้หลายคนจะแซวว่ามันเหมือนจระเข้มีปีกเล็กๆ แต่แท้จริงบาร์บีกอนเป็นมังกรสีเขียว คอยต้อนรับลูกค้าและมอบความสุขให้คนที่ผ่านไปมา เรียกได้ว่าบาร์บีกอนเต็มเปี่ยมไปด้วยความทรงจำมากมายตลอด 30 กว่าปีที่ผ่านมานับตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งมาสคอตประจำแบรนด์&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;บัดนี้ถึงเวลาแล้วที่มังกรสีเขียวผู้แสนเป็นมิตรตัวนี้จะก้าวไปให้ไกลกว่าการเป็นมาสคอตร้านอาหาร นั่นคือการเป็นแบรนด์แห่งความเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดและเข้าไปอยู่ในชีวิตของผู้คน บาร์บีคิวพลาซ่าจึงได้จับมือกับสำนักพิมพ์ซีเอ็ด ร่วมกันผลิตหนังสือนิทานธุรกิจเล่มแรกของไทยในชื่อ ‘บาร์บีกอนกับภารกิจตามหาไฟศักดิ์สิทธิ์’ โดยได้ทีมงานสร้างสรรค์เป็นผู้เชี่ยวชาญในแวดวงหนังสือและศิลปะ ได้แก่ วิภว์ บูรพาเดชะ บรรณาธิการหนังสือและนิตยสาร รับหน้าที่เป็นบรรณาธิการประจำเล่ม, วิไลรัตน์ เอมเอี่ยม บรรณาธิการ นักเขียน นักแปล นักสัมภาษณ์ ผู้อยู่ในแวดวงหนังสือมากว่า 20 ปี เป็นผู้เขียน และเข็มทิศ วิจิตรวิชิตกุล เจ้าของนามปากกา KHEMTIT เป็นผู้วาดภาพประกอบ&nbsp; &nbsp; หนังสือบาร์บีกอนกับภารกิจตามหาไฟศักดิ์สิทธิ์ มีเนื้อหาที่ช่วยฮีลใจและปลุกไฟการเติบโต ผสานวิธีคิดในการทำธุรกิจของบาร์บีคิวพลาซ่า เข้ากับเรื่องราวการผจญภัยของบาร์บีกอน ออกมาเป็นนิทานที่ให้บทเรียนทั้งในแง่ธุรกิจและชีวิต อีกทั้งยังย่อยง่าย เหมาะสำหรับผู้อ่านทุกเพศทุกวัย <div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/12/waFL664eCLHfxqDQX8cr.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="waFL664eCLHfxqDQX8cr.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="720,480" style="" data-index="0"></figure></div>​​<div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/12/tWc3NVDtNDZiGQEB3oVF.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="tWc3NVDtNDZiGQEB3oVF.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-percentage="auto,auto" origin-size="720,480" data-rotatex="" data-rotatey="" style="" data-index="1"><figcaption><div>วิภว์ บูรพาเดชะ,&nbsp;ชาตยา สุพรรณพงศ์ และวิไลรัตน์ เอมเอี่ยม</div></figcaption></figure></div>​Mascot Marketing สู่ Best Friend Brand&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;หากมองย้อนกลับไปช่วงหลายปีที่ผ่านมา จะพบว่าบาร์บีคิวพลาซ่าพาบาร์บีกอนไปคอลแล็บกับหลากหลายแบรนด์ เช่น ห่านคู่ เลย์ คิวท์เพรส วิตอะเดย์ และอื่นๆ อีกมากมาย ทั้งยังจับกระแสอาร์ตทอยส่ง GON Figure มาให้แฟนๆ ได้สะสม แสดงให้เห็นถึงความตั้วใจปั้นบาร์บีกอนให้เติบโตในฐานะแบรนด์อิสระ ซึ่งล่าสุดก็ได้เปิดเพจ Bar B GON แยกมาจาก Bar B Q Plaza เพื่อลงคอนเทนต์เกี่ยวกับบาร์บีกอนโดยเฉพาะ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;บาร์บีกอนกับภารกิจตามหาไฟศักดิ์สิทธิ์ จึงเป็นหลักไมล์สำคัญของบาร์บีกอนที่ตอกย้ำให้เห็นถึงความเป็นผู้นำที่พัฒนาขึ้นจากการใช้ Mascot Marketing สู่ Best Friend Brand เป็นการขยายฐานแฟนของบาร์บีกอนให้ขยายใหญ่ขึ้น ซึ่งแนวทางการพัฒนาบาร์บีกอนที่จะดำเนินไปต่อจากนี้คือการทำให้บาร์บีกอนเข้าไปอยู่ในชีวิตของผู้บริโภคมากกว่าการเป็นมาสคอตร้านอาหาร&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ชาตยา สุพรรณพงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Chief Engagement Officer (CEO) บริษัท ฟู้ดแพชชั่น จำกัด หรือ แบรนด์บาร์บีคิวพลาซ่า อธิบายว่า “Best Friend Brand หรือแบรนด์แห่งความเป็นเพื่อนที่ดีที่สุด เวลามีความสุขที่สุดก็อยากมาเล่าให้เพื่อนคนนี้ฟัง เวลาเศร้าก็อยากให้ช่วยปลอบใจ เวลามีปัญหาก็อยากมาปรึกษาหรือมานั่งคุย คอยดูแล รับฟัง และนึกถึงกันอยู่เสมอ อีกทั้ง บาร์บีกอนเองก็เติบโต มีความคิด มีพฤติกรรม มีความเชื่อ โดยเฉพาะเรื่อง ‘Best Me, Best You, Best Now’ หรือการทำทุกช่วงเวลาให้ดีที่สุด”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ดังนั้นถึงเวลาแล้วที่จะทำให้คนที่รักบาร์บีกอนได้เห็นเรื่องราวของเขาชัดเจนขึ้น ได้รู้จักในมุมที่ลึกขึ้น ทั้งวิธีคิด มุมมองในการใช้ชีวิต และมุมมองในการทำธุรกิจ ไปพร้อมๆ กับการส่งต่อทัศนคติเชิงบวก สร้างความสนใจให้กับคนในวงกว้างทั้งที่เป็นแฟนคลับอยู่แล้ว รวมถึงคนที่ยังไม่รู้จัก ทำให้บาร์บีกอนเป็นมากกว่ามาสคอต กลายเป็นเพื่อนที่คนจดจำได้​ <div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/12/PFaivZrWbGngSmgEF2f6.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-index="3" data-file-name="PFaivZrWbGngSmgEF2f6.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style=""></figure></div>​ <div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/12/fFt5X7UG3iGxaBiytJXs.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="fFt5X7UG3iGxaBiytJXs.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="720,480" style="" data-index="2"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;หนังสือก็นับเป็นเพื่อนที่สำคัญของหลายๆ คนที่หยิบออกมาอ่านยามเหงา ถือเป็นสื่อที่เข้าถึงผู้คนได้มากมายและอยู่เหนือกาลเวลา จึงเป็นอีกเหตุผลหนึ่งในการออกหนังสือบาร์บีกอนกับภารกิจตามหาไฟศักดิ์สิทธิ์นั่นเอง ทั้งนี้ ชาตยาเผยว่าจะนำบาร์บีกอนไปต่อยอดบนสื่อรูปแบบอื่นในอนาคต ยกตัวอย่างในงานเปิดตัวหนังสือบาร์บีกอนกับภารกิจตามหาไฟศักดิ์สิทธิ์เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2024 ที่ผ่านมา ได้มีการดัดแปลงเนื้อหาบางส่วนเป็นละครหุ่นมือให้ได้รับชม ธุรกิจร้านอาหารปีหน้ายังท้าทาย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในส่วนของธุรกิจร้านอาหารในไทย ชาตยามองว่า ตลาดร้านอาหารในไทยจัดเป็นตลาดที่มีการแข่งขันอย่างดุเดือดเสมอมา อย่างไรก็ตาม ในปีหน้าตลาดยังคงมีแนวโน้มเติบโตไปพร้อมๆ กับการแข่งขันที่จะเพิ่มสูงขึ้น ความท้าทายสำคัญมาจากสภาพเศรษฐกิจและกำลังซื้อโดยรวม ทำให้ผู้เล่นในตลาดจำเป็นต้องปรับตัวเพื่อรับมือ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ ยังมีผู้เล่นใหม่ศักยภาพสูงเข้ามาในตลาดมากขึ้น จึงจะมีการหารส่วนแบ่งการตลาดกันมากกว่าเดิม และผู้เล่นที่แข็งแกร่งจะสามารถยืนหยัดต่อไปได้ ผู้บริโภคอาจได้เห็นความคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆ จากแบรนด์ต่างๆ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับร้านอาหารประเภทปิ้งย่างและหมูกะทะ ซึ่งเป็นตลาดหลักของบาร์บีคิวพลาซ่า ชาตยาเผยว่า “ปิ้งย่างและหมูกะทะ ปัจจุบันกลายเป็นเหมือน comfort food ของคนไทยไปแล้ว เป็นหนึ่งในอาหารประจำชาติ เป็นอาหารที่คุ้นเคย เยียวยาเราได้” โดยอิงนิยามอาหารประเภทปิ้งย่างจากบิดาของเธอซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งแบรนด์บาร์บีคิวพลาซ่าว่า “มันมีความ unique ตรงที่กินเอง ปรุงเอง อร่อยเอง แล้วก็สนุกด้วย รวมทุกอย่างที่เป็นคนไทยเอาไว้”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ดังนั้นสำหรับอาหารประเภทปิ้งย่างและหมูกะทะที่มีความเข้าใจคนไทยน่าจะยังคงได้รับความนิยมต่อเนื่อง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในส่วนของบาร์บีคิวพลาซ่าและบาร์บีกอน ชาตยากล่าวทิ้งท้ายว่า “จะได้เห็นบาร์บีกอนทำอะไรสนุกๆ มีสาระประโยชน์ และแปลกใหม่แน่นอน” ภาพ: Bar B Q Plaza เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/news/marketing/3-years-yakiniku-like-in-thailand-expands-to-15-stores" alt="ปิ้งย่างคนโสดกระแสดี! 3 ปี Yakiniku Like ครบ 15 สาขา ปีนี้คาดยอดขายแตะ 390 ล้านบาท">ปิ้งย่างคนโสดกระแสดี! 3 ปี Yakiniku Like ครบ 15 สาขา ปีนี้คาดยอดขายแตะ 390 ล้านบาท</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

‘บาร์บีกอน’ เติบโตไปอีกขั้น! เปิดตัวหนังสือนิทานธุรกิจเล่มแรกในไทย ตั้งเป้าเป็นแบรนด์ ‘เพื่อนที่ดีที่สุด’ ของทุกคน

<h2>หนังสือบริหารธุรกิจส่วนใหญ่มักพาให้เราเบื่อ ส่วนมากจะเต็มไปด้วยการเขียนพร่ำพรรณนายืดยาว และขาดหนึ่งสิ่งที่ Hemingway ระบุว่าเป็นเหมือนหัวใจสำคัญคือ “สิ่งที่คุณต้องทำคือเพียงเขียนอธิบายตามความจริง เล่าเรียงเรื่องราวในสิ่งที่คุณรู้และพบเจอมา”</h2>
โดยทั่วไปแล้วหนังสือกีฬาทำได้ดีกว่า ผมพบว่าหนังสือที่ช่วยจุดประกายความคิดด้านธุรกิจชั้นเยี่ยมบางเล่มกลับเป็นหนังสือจากแวดวงกีฬา และหนังสือที่ผมคัดเลือกมาทั้งหมด 6 เล่มนี้จะช่วยให้การดำเนินธุรกิจของคุณไหลลื่นขึ้น

<img style="width: 250px; height: 370px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/12a38f03c15d15ec64ca94c416c99953.png" alt="" />

They Call Me Coach - โดย John Wooden ร่วมกับ JackTobin (สำนักพิมพ์ McGraw-Hill Education, ราคา 18 เหรียญ) ยอดโค้ชบาสเก็ตบอลแห่งทีมมหาวิทยาลัย UCLA มีผลงานเขียนมาแล้วหลายเล่ม สูตรลับ
ความสำเร็จของ Woodenไม่ได้ยุ่งยากซับซ้อน เพียงแค่ต้องการส่วนผสมของการเตรียมตัว การทุ่มเทและความยึดมั่นในสิ่งที่ถูกต้อง แต่อะไรคือวิธีที่จะนำสิ่งเหล่านี้ไปปฏิบัติในชีวิตจริง? คุณจะทำอย่างไรเพื่อจูงใจให้ผู้เล่นมีแรงกระตุ้นอยู่เสมอเมื่อต้องพูดคำซ้ำซากเดิมๆ ทุกวัน? คุณจะรับมือดาวเด่นของทีม (เช่น Bill Walton) ที่คอยแต่จะแหกกฎอย่างไร? คำตอบสำหรับปัญหาโหดหินเหล่านี้คือสิ่งที่ทำให้หนังสือของ Wooden ได้รับความนิยมจนติดอันดับ

<img style="width: 250px; height: 384px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/4dbf703ff7642cabfdbb6084ccb75cd2.png" alt="" />

The Score Takes Care of Itself - โดย Bill Walsh (สำนักพิมพ์ Portfolio, ราคา 17 เหรียญ) เมื่อครั้งที่ Steve Forbes จ้างผมในปี 1992 เพื่อปั้นนิตยสารหัวใหม่ชื่อ Forbes ASAP ผมได้ดึงตัว Bill Walsh อดีตโค้ชทีมอเมริกันฟุตบอล 49ers ซึ่งได้วางมือเกษียณไปแล้วมาร่วมทีมเขียนบทความ ผมจะแวะเวียนไปหา Walsh และเขาจะเล่าเรื่องราวต่างๆ ให้ผมฟัง องค์กรที่ประสบความสำเร็จต่างมีสิ่งที่ Walsh เรียกว่า “มาตรฐานแห่งความเป็นเลิศ” และมีวิธีในการสร้างสิ่งนี้ตั้งแต่ช่วงเริ่มต้น เวลาไหนที่ควรต้องใช้มาตรการเด็ดขาดและเวลาไหนที่อาจจะต้องผ่อนปรน หนังสือของ Walsh รวบรวมบทเรียนทั้งหมดเหล่านี้ไว้ภายในเล่ม

<img style="width: 250px; height: 378px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/14ddf43b5f1784020b3dc57fa3867f69.png" alt="" />

The Boys in the Boat - โดย Daniel Brown (สำนักพิมพ์ Penguin Books, ราคา 17 เหรียญ) ถ้าคุณเป็นแฟนตัวยงของภาพยนตร์สารคดีเกี่ยวกับมหกรรมกีฬาโอลิมปิคของ Bud Greenspan ผู้ล่วงลับ คุณคงรู้แล้วว่าทีมจากสหรัฐฯ เป็นผู้คว้าเหรียญทองกีฬาพายเรือประเภท 8 คนในการแข่งขันโอลิมปิค ณ กรุง Berlin เมื่อปี 1936 ในช่วงการปกครองของ Hitler นักกีฬาพายเรือทีมชาติสหรัฐฯ ทีมนี้มาจากUniversity of Washington สมาชิกในทีมไม่ได้จบจากโรงเรียนมัธยมทั่วไป แต่พวกเขาเป็นเด็กที่มีบาดแผลจากพิษเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ หนึ่งในนั้นโดนไล่ออกจากบ้านตอนอายุ 10 ปี เนื่องจากอาหารไม่พอกินแต่ท่ามกลางอุปสรรคทั้งปวง เด็กที่มีปัญหาชีวิตเหล่านี้ได้เติบโตเป็นหนุ่ม และได้เรียนรู้ที่จะรวมพลังรวมใจจ้ำฝีพายเข้าสู่เส้นชัย

<img style="width: 250px; height: 378px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/65353130fb2d1e2f74784bd0fdcbc22e.png" alt="" />

Seabiscuit – โดย Laura Hillenbrand (สำนักพิมพ์ Ballantine Books, ราคา 17 เหรียญ) จากหนังสือสร้างแรงบันดาลใจที่ติดอันดับขายดี 2 เล่มของ Hillenbrand ซึ่งก็คือ Seabiscuit และ Unbroken ผมพบว่า Seabiscuit สะท้อนถึงแง่มุมทางธุรกิจได้ดีกว่าด้วยเหตุผลสองประการ ประการแรกคือ การแข่งม้ารุ่งเรืองถึงขีดสุดในช่วงทศวรรษที่ 1930 ส่วนข้อที่สอง Seabiscuit เป็นม้านอกสายตาที่ดูห่างไกลจากคำว่ายอดม้าแข่ง Seabiscuit เป็นม้าตัวเล็ก ขาโก่ง และรูปลักษณ์ไม่เข้าตา คล้ายกับคนดูทั่วประเทศที่กำลังเผชิญทุกข์ยากจากสภาพเศรษฐกิจตกต่ำที่คอยเอาใจช่วยมัน เจ้าของม้าซื้อมันมาได้ในราคาต่ำ Seabiscuit ต้องดวลกับ War Admiral ม้าแข่งสายพันธุ์ดีที่มีลักษณะยอดเยี่ยมที่สุดในขณะนั้น เรื่องราวนี้มีประเด็นน่าสนใจที่ไม่ตกยุคและเปรียบได้กับธุรกิจหน้าใหม่ที่ไม่อยู่ในสายตาแต่สามารถต่อกรกับบริษัทยักษ์ใหญ่

<img style="width: 250px; height: 383px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/f181965205cb4c42a9a5dd4e6e4b2186.png" alt="" />

Moneyball – โดย Michael Lewis (สำนักพิมพ์ W.W. Norton &amp; Co., ราคา 15.95 เหรียญ) ไม่มีนักเขียนคนไหนในยุคสมัยเราที่สามารถเชื่อมโยงโลกกีฬาเข้ากับเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับเม็ดเงินมูลค่ามหาศาลได้อย่างไร้ที่ติเฉกเช่น Michael Lewis หนังสือเกี่ยวกับ Billy Beane ผู้จัดการทั่วไปของทีมเบสบอล Oakland A ที่ใช้ค่าสถิติและการคำนวณวิเคราะห์แบบละเอียดในการทำทีมที่มีผลงานยอดเยี่ยมภายใต้งบประมาณจำกัดซึ่งเป็นเรื่องที่รู้จักกันดีและถูกนำไปใช้อย่างแพร่หลาย

<img style="width: 250px; height: 387px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/cd462da05361eb88c7644103d045122b.png" alt="" />

Into Thin Air – โดย Jon Krakauer (สำนักพิมพ์ Anchor, ราคา 16 เหรียญ) ในช่วงต้นปี 2016 ผมได้มีโอกาสพบกับ Beck Weathers นักพยาธิวิทยาชาว Texas ที่ถูกทิ้งให้รอความตายท่ามกลางหิมะน้ำแข็ง ในปี 1996 หลังจากพยายามพิชิตยอดเขา Everest หนังสือ Into Thin Air เล่มนี้ จะช่วยให้คุณได้แรงบันดาลใจจากความกล้าหาญและขณะเดียวกันจะทำให้คุณหวาดกลัวผลที่ตามมาจากการตัดสินใจผิดพลาด การไต่เขาสูงชันก็เหมือนกับการทำธุรกิจ สิ่งจำเป็นก็คือการเตรียมพร้อม การทุ่มเท มีความมุ่งมั่นและตั้งใจ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือการตัดสินใจที่ดี

โดย
RICH KARLGAARD
ผู้พิมพ์ผู้โฆษณาของ Forbes

กับผลงานหนังสือเล่มล่าสุด TEAM GENIUS : THE NEW SCIENCE OF HIGH-PERFORMING ORGANIZATIONS ติดตามบทความที่ผ่านมาของเขาได้ที่ www.forbes.com/karlgaard

<hr />

<a href="https://goo.gl/5Vjh6s">คลิกอ่านบทความทรงคุณค่าทางธุรกิจได้ที่ Forbes Thailand Magazine ฉบับ มีนาคม 2560</a>
<a href="https://goo.gl/5Vjh6s"><img style="width: 250px; height: 330px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/600d1842ba62b7ea65c2ad33b3022a0c.png" alt="" /></a>

สุดยอดหนังสือกีฬาที่นักบริหารไม่ควรพลาด

ยอดขายหนังสือล้านเล่มไม่ใช่เป้าหมายที่จะบรรลุกันได้ง่ายในสถานการณ์สื่อสิ่งพิมพ์เช่นปัจจุบันนี้ ยิ่งเป็นหนังสือธุรกิจด้วยแล้วยิ่งยากไปกันใหญ่ โดย Nielsen เริ่มจัดเก็บข้อมูลยอดขายหนังสือตั้งแต่ปี 2004 หนังสือที่ครองตำแหน่งยอดขายสูงสุดคือ StrengthsFinder 2.0 ของ Tom Rath ที่ออกเมื่อปี 2007 มากับเนื้อหาที่ช่วยให้คุณค้นพบศักยภาพที่ซ่อนอยู่และนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ ยอดขายหนังสือของ Rath โค่นได้แม้กระทั่งหนังสือดังอย่าง Blink และ Freakonomics ซึ่งเป็นเรื่องของเศรษฐศาสตร์พฤติกรรม เล่มที่เก่าที่สุดอย่าง What Color Is Your Parachute? หนังสือแนะนำอาชีพเล่มคลาสสิกที่ตีพิมพ์ครั้งแรกตั้งแต่ปี 1970 ยังได้รับความนิยมไม่เสื่อมคลายจนบัดนี้ตีพิมพ์เป็นครั้งที่ 47 แล้ว

16 อันดับหนังสือธุรกิจที่ขายที่สุด
<img style="width: 350px; height: 409px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/f1317a29c8424d7088559b138b368b08.png" alt="" />
1. StrengthsFinder 2.0
โดย: Tom Rath
ยอดขาย:  4.5 ล้านเหรียญ
ปีที่วางขาย: 2007

'Weakness fixing prevents failure, strength building drives success' – การมุ่งพัฒนาจุดแข็งจะนำไปสู่ความสำเร็จมากกว่าการพยายามแก้ไขจุดอ่อน หนังสือซึ่งว่าด้วยการพัฒนาจุดแข็งของตัวเอง แต่ก่อนจะพัฒนาจุดแข็งจนประสบความสำเร็จ สิ่งแรกที่ต้องทำคือการค้นหาจุดแข็งของตัวเองให้เจอก่อน

<img style="width: 350px; height: 412px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/54b8e2f7abb0ae46a6ff5200ec6a30a1.png" alt="" />
2. Blink
โดย: Malcolm Gladwell
ยอดขาย: 2.68 ล้านเหรียญ
ปีที่วางขาย: 2005

ผลงานจากอีกหนึ่งยอดนักเขียน ด้วยรูปแบบการเล่าเรื่องของเขาในการยกสมมุติฐานแล้วอธิบายถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พร้อมตั้งคำถามจากผู้อ่านเพื่อหาคำตอบและสรุปผล ภายในเล่มว่าด้วยเรื่องจิตวิทยาและแวบแรกของความคิด ที่มีผลต่อการกระทำและการตัดสินใจของเรามากกว่าที่เรารู้

<img style="width: 350px; height: 412px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/20b20c03612a9fcff915be4c59bf4eef.png" alt="" />
3. Good to Great
โดย: Jim Collins
ยอดขาย: 2.3 ล้านเหรียญ
ปีที่วางขาย: 2001

ว่าด้วยการสร้างองค์กรสู่ความยิ่งใหญ่ และเมื่อใดก็ตามที่องค์กรมองว่าตนเองยิ่งใหญ่แล้วเมื่อนั้นอาจเกิดหายนะตามมา ความจำเป็นของการเปรียบเทียบความก้าวหน้ากับสถานการณ์ปัจจุบันจึงมาความจำเป็น โดยภายในเล่มให้ความสำคัญกับการสรรหาทรัพยากรบุคคล ผู้บริหารที่ต้องสร้างองค์กรให้ยิ่งใหญ่ต้องคิดก่อนว่าจะเอาใครมาทำงานเพื่อนำพาองค์กรแบบก้าวกระโดด

<img style="width: 350px; height: 412px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/53eaaefb7faf925831a6b5b7260c4e14.png" alt="" />
4. Rich Dad, Poor Dad
โดย: Robert T. Kiyosaki
ยอดขาย: 2.2 ล้านเหรียญ
ปีที่วางขาย: 1997

หนังสือขายดี ที่ให้แนวคิดในการสร้างตัว สร้างชีวิต ในเล่มนี้อัดแน่นไปด้วยคำสอนและคำแนะนำเกี่ยวกับความรู้เรื่องการเงิน ที่ไม่เคยมีใครสอน หนังสือเล่มนี้จะแสดงให้เห็นว่า การทำงานเพื่อเงินเดือนสูง ไม่ช่วยให้ร่ำรวยได้
<img style="width: 350px; height: 412px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/0abb6feb46e101f50b07e1aad98135cd.png" alt="" />
5. Freakonomics
โดย: Steven D. Levitt และ Stephen J. Dubner
ยอดขาย: 2 ล้านเหรียญ
ปีที่วางขาย: 2005

หนังสือหลักเศรษฐศาสตร์ที่นำหลักการและเครื่องมือทางเศรษฐศาสตร์มไขคำตอบจากเหตุการณ์ต่างๆ ในชีวิตประจำวัน ซึ่งหนังสือเล่มนี้อาจทำให้ผู้อ่านมองปัญหาและเหตุการณ์ด้วยแนวทางใหม่ๆ ที่ต่างออกไปจากเดิม

<img style="width: 350px; height: 412px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/a6ef2488d276ee6bbd70fd7a3058e0e3.png" alt="" />
6. Who Moved My Cheese?
โดย: Spencer Johnson
ยอดขาย: 1.77 ล้านเหรียญ
ปีที่วางขาย: 1998

ใครเอาเนยแข็งของฉันไป หนังสืออีกเล่มที่แม้พิมพ์จัดหน่ายก่อนปี 2000 แต่ยังทรงคุณค่าในการนำมาปรับใช้ หนังสือเล่มนี้กล่าวถึงการจัดการกับความเปลี่ยนแปลงผ่านตัวละคร 4 ตัวที่ถูกแทนด้วยด้านต่างๆ ของตัวเรา เพื่อการเปลี่ยนแปลงสู่สิ่งที่ดีกว่า

<img style="width: 350px; height: 412px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/d2d5b5b929e07e1ce70dbf104020abf6.png" alt="" />

7. The Five Dysfunctions of a Team
โดย: Patrick Lencioni
ยอดขาย: 1.76 ล้านเหรียญ
ปีที่วางขาย: 2002

หนังสือเล่าเรื่องผ่านปิรามิดที่ประกอบไปด้วยพฤติกรรมที่ไม่นำพาทีมไปสู่เป้าหมายที่ต้องการ ประกอบไปด้วย ความไม่เชื่อเชื่อใจ, กลัวความขัดแย้ง, การขาดความทุ่มเทกับงาน, การหลีกเลี่ยงการขอความร่วมมือและตำหนิสมาชิกในทีม และ การไม่สนใจผลลัพธ์ของทีม พฤติกรรมเหล่านี้ล้วนเป็นต้นเหตุของปัญหาสู่การล้มเหลวของการร่วมงานทั้งสิ้น

<img style="width: 350px; height: 412px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/eeaadffdb9e72ddb0b36042aeed0ed5f.png" alt="" />
8. The Total Money Makeover
โดย: Dave Ramsey
ยอดขาย: 1.74 ล้านเหรียญ
ปีที่วางขาย: 2003

หนังสือซึ่งบรรยายถึงแผนลับการล้างหนี้ และกล่าวถึงความเชื่อผิดๆ ทางการเงิน 10 ประการ ที่สร้างความเสี่ยงด้านความมั่นคงและความมั่งคั่ง

<img style="width: 350px; height: 412px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/4f9456f55506982bc27013c3f1495c82.png" alt="" />
9. Now, Discover Your Strengths
โดย: Marcus Buckingham และ Donald O. Clifton
ยอดขาย: 1.3 ล้านเหรียญ
ปีที่วางขาย: 2001
หนังสือนำเสนอแนวคิด คล้ายๆ กับ StrengthsFinder 2.0 ที่ว่าด้วยแนวคิดของคนเราที่ควรมุ่งเน้นพัฒนาจุดแข็งของตัวเองมากกว่าที่จะมัวไปแก้ไขจุดอ่อน ทั้งนี้ในหนังสือยังกล่าวและรวบรวมพรสรรค์ของมนุษย์ไว้ถึง 36 ประการ

<img style="width: 350px; height: 412px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/daef7eab948bce5e198edf3e6c640deb.png" alt="" />
10. Getting Things Done
โดย: David Allen
ยอดขาย: 1.1 ล้านเหรียญ
ปีที่วางขาย: 2001

หนังสือว่าด้วยแนวคิดเพื่อการบริหารงานที่ให้ได้ผลลัพธ์สำเร็จและเป็นระบบจากในหัวของเรา อ่านจบเราพบแนวคิดการทำงานจัดการใน 3 ประเด็นหลัก Task, Project และ Note ได้อย่างเป็นระบบ

<img style="width: 350px; height: 409px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/8df23273769fdd74fe98708517644321.png" alt="" />
11. What Color Is Your Parachute?
โดย: Richard N. Bolles และ John E. Nelson
ยอดขาย: 1 ล้านเหรียญ
ปีที่วางขาย: 1970

หนังสือเกี่ยวกับการให้คำปรึกษาด้านเลือกงาน การเปลี่ยนอาชีพที่ติดอันดับ Best-selling พิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี 1970 และอัพเดทเนื้อหาทุกปี ในฉบับพบคำถามการสัมภาษณ์งานซึ่งผู้อ่านอาจมาปรับใช้กับสังคมการทำงานของคนไทย

<img style="width: 350px; height: 409px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/ac89b24501e297570ce54de55cf832f7.png" alt="" />
12. The Big Short
โดย: Michael Lewis
ยอดขาย: 916,000 เหรียญ
ปีที่วางขาย: 2010

Lewis ชำแหละวิกฤตการเงินสหรัฐช่วงปี 2007-2008 และโยนบาปให้กับ “Doomsday Machine” ซึ่งก็คือตลาดอนุพันธ์ที่มักจะถูกเข้าใจอย่างคลาดเคลื่อน เขาเชื่อว่าตลาดพวกนี้เป็นต้นเหตุแห่งความล่มสลายของเศรษฐกิจสหรัฐ

<img style="width: 350px; height: 409px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/626be53c9dee1d06c15604da9bbbf1be.png" alt="" />
13. Lean In
โดย: Sheryl Sandberg
ยอดขาย: 911,000 เหรียญ
ปีที่วางขาย: 2013

หนังสือที่เป็นแรงบันดาลใจของผู้หญิงทั่วโลก สู่การเป็นผู้นำในการทำงาน และการสร้างสมดุลในชีวิต ภายในเล่ม เจาะลึกถึงประเด็นต่างๆ จากประสบการณ์ชีวิต เพื่อลดขั้นตอนที่สลับซับซ้อนและอคติความลำเอียงต่างๆ ที่มีอยู่รอบตัวของผู้หญิงที่ทำงานอยู่

<img style="width: 350px; height: 409px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/171f53eead9b24b8fe8e4c95e7f5b33f.png" alt="" />
14. Getting to Yes
โดย: Roger Fisher และ William Ury
ยอดขาย: 741,000 เหรียญ
ปีที่วางขาย: 1981

หนังสือเล่มนี้ช่วยให้เรียนรู้ถึงวิธีการต่อรองอย่างที่มีประสิทธิภาพและรวมถึงไปถึงความสามารถจัดการกับข้อขัดแย้งต่างๆ ซึ่งหนังสือเล่มนี้อธิบายวิธีการต่อรองได้เป็นอย่างดี

<img style="width: 350px; height: 409px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/c16c606a88d6c60c3fbbad5a75f9e3a3.png" alt="" />
15. The 21 Irrefutable Laws of Leadership
โดย: John C. Maxwell
ยอดขาย: 723,000 เหรียญ
ปีที่วางขาย: 1998

เรื่องราวแห่ง กฎ 21 ข้อ ของการเป็นผู้นำ ภาวะผู้นำเป็นตัวกำหนดศักยภาพของบุคคล ดังนั้นความสำเร็จขององค์กรจึงขึ้นอยู่กับทัศนคติของผู้นำองค์กร หนังสือให้ความสำคัญกับการการพัฒนาตนเอง และนำการพัฒนานั้นพัฒนาทีมงานด้วยการมองหาที่จุดแข็งเพื่อการสร้างทีมงาน

<img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/859b774e1091a43e192b1458ac9643f3.png" alt="" />
16. The Automatic Millionaire
โดย: David Bach
ยอดขาย: 722,000 เหรียญ
ปีที่วางขาย: 2003

หนังสือเล่าถึงวิธีการขับเคลื่อนเงินของคุณอย่างอัตโนมัติ ด้วยแผนการและเส้นทางเศรษฐีภายในเล่ม
เรื่อง: natalie robehmed เรียบเรียง: เอมวลี อัศวเปรม
ภาพ: Jason Merritt/Getty Images; Slaven Vlasic/Getty Images; Sonia Moskowitz/WireImage; Patrick James Millet

<hr />

<a href="http://goo.gl/V6NfWh">ติดตามเรื่องราวการสร้างธุรกิจและบทความส่งคุณค่าได้ที่ Forbes Thailand Magazine ฉบับ มกราคม 2560</a>
<a href="https://goo.gl/V6NfWh"><img style="width: 250px; height: 326px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/1a9acb06eb9ce498d8300db402f5dc25.png" alt="" /></a>

&nbsp;

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events