<h2>ซูเปอร์สตาร์แห่งพอดแคสต์ Alex Cooper สร้างอาณาจักรสื่อของตัวเองในวงการสตรีมมิ่ง เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาเธอเซ็นสัญญามูลค่า 125 ล้านเหรียญสหรัฐฯ กับ SiriusXM บริษัทผู้ให้บริการวิทยุมายาวนานเพื่อดึงแฟนๆ รุ่นใหม่มาใช้เครือข่ายดาวเทียมอันเก่าแก่นี้ และถึงเวลาแล้วที่เธอต้องสร้างผลงานตามสัญญา</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ขณะนี้เป็นเวลา 3 ทุ่ม นักแสดง 5 คนขึ้นเวทีที่ Peacock Theatre ใน Los Angeles เพลง “Shake That” ของ Eminem ดังกระหึ่มจากลำโพง และนักเต้นชายเริ่มฉีกเสื้อผ้าตัวเองออก ขณะที่พวกเขาถอดจนเหลือชั้นสุดท้ายนั้น Alexandra Cooper ผู้มีพลังงานเหลือล้นก็ปรากฏตัวด้านหลังพวกเขาในชุดวอร์มสีชมพูอันเป็นเอกลักษณ์ของเธอ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ขอต้อนรับทุกคนเข้าสู่ Unwell Tour ค่า!” Cooper วัย 30 ปี ตะโกนบอกกับสาวๆ 5,000 คนที่กำลังกรีดร้องอยู่เต็มพื้นที่&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;หลังจากจบการแสดงเบอร์เลสก์ Cooper ก็เล่าถึงชีวิตวัยเด็กที่เมือง Newtown รัฐ Pennsylvania การเล่นฟุตบอลในดิวิชั่น 1 ที่&nbsp;Boston&nbsp;University และชีวิตทางเพศอันสุดสวิงของเธอ จากนั้นเธอกลับไปเปลี่ยนชุดและเต้นอีกหลายเพลง แล้วก็ให้สัมภาษณ์บนเวทีร่วมกับป๊อปสตาร์ Camila Cabello และนักแสดงตลก Heather McMahan ก่อนที่ Nelly Furtado นักร้องเจ้าของเพลง “Maneater” จะมาปิดท้ายการแสดง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นี่เป็นวันที่ 7 และวันสุดท้ายของละครร้องแนวตลกเสียดสีของ Cooper ซึ่งเอาเนื้อหามาจากพอดแคสต์ยอดนิยมของเธอ ที่ปกติมีผู้ฟังกว่า 13.5 ล้านคนต่อเดือน การแสดงสดนี้ถือเป็นการฉลองปิดท้ายปีที่ยิ่งใหญ่ของ Cooper&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เพราะเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาเธอได้เซ็นสัญญา 3 ปีมูลค่า 125 ล้านเหรียญกับ SiriusXM เพื่อนำ Unwell Network ของเธอซึ่งมีพอดแคสต์ 5 รายการมาอยู่ใต้ชายคาสถานีวิทยุยักษ์ใหญ่ที่มีสมาชิก 34 ล้านคน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Unwell เป็นธุรกิจหนึ่งของ Trending ซึ่งเรียกตัวเองว่าเป็น “บริษัทสื่อสำหรับ Gen Z” ที่ Cooper ก่อตั้งในเดือนเมษายน ปี 2023 ร่วมกับสามีผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์ Matt Kaplan นอกจาก Call Her Daddy แล้ว Unwell ยังดูแลรายการดังอื่นๆ ที่มีอินฟลูเอนเซอร์ดำเนินรายการด้วย เช่น Hot Mess with Alix Earle (มีผู้ฟังประมาณ 1 ล้านคนต่อเดือน) และ Pretty Lonesome ของ Madeline Argy (มีผู้ฟังประมาณ 330,000 คน) ทั้ง Earle และ Argy ต่างก็เคยอยู่ในทำเนียบ Forbes 30 Under 30 เหมือน Cooper&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เป้าหมายที่เธอวางไว้สำหรับ Trending นั้นไร้ขอบเขต ไม่ว่าจะเป็นงานอีเวนต์สด รายการที่มีสคริปต์และไม่มีสคริปต์ พอดแคสต์ ทัวร์ และการขายของ บริษัทนี้ยังใหม่อยู่แต่สัญญาที่ทำกับ SiriusXM ช่วยให้มีเงินสำรองพอสมควร “เรามองหาผู้มีความสามารถด้านเสียงที่น่าสนใจมีพลัง มีมุมมอง และมีผู้ติดตามบนโซเชียลมีเดียที่สามารถขยายขอบเขตงานกระจายเสียงที่พวกเขาทำอยู่ได้” Scott Greenstein กรรมการผู้จัดการของ SiriusXM กล่าว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;พวกเขาเคยใช้กลวิธีนี้มาก่อน ในปี 2006 Sirius จ่ายเงินให้ Howard Stern เป็นเวลา 5 ปีรวม 500 ล้านเหรียญ ถือเป็นการตัดสินใจที่แพงแต่ได้ผลดี เพราะจำนวนสมาชิก Sirius เพิ่มขึ้นจากไม่ถึง 1.5 ล้านในเดือนมีนาคม ปี 2005 เป็น 4 ล้านกว่าในเวลาเพียงปีเดียว อย่างน้อยส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะ Stern ส่วนรายได้ของ Sirius ก็พุ่งขึ้นเช่นกัน โดยเพิ่มขึ้น 193% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้าเป็น 125 ล้านเหรียญในไตรมาสแรกของปี 2006 และภายใต้การดูแลของ Cooper Sirius กำลังเดิมพันครั้งใหญ่ว่าประสบการณ์ที่บริษัทสั่งสมมา 20 ปีจะได้ผลในยุคของสมาร์ทโฟนและสตรีมมิ่งอย่าง Spotify และ YouTube หรือไม่&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ก่อนจะเซ็นสัญญากับ SiriusXM Cooper เคยทำสัญญา 3 ปีกับ Spotify บริษัทสตรีมมิ่งยักษ์ใหญ่ด้วยมูลค่า 60 ล้านเหรียญ แต่ถึงเวลาแล้วที่จะต้องก้าวต่อไป “แบรนด์เติบโตขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่มาอยู่กับ Spotify” Cooper บอก “ฉันรู้ดีว่ามีเงินรออยู่ที่นั่น แต่สัญญาใหม่จะเน้นไปที่สิ่งใหม่ๆ ที่คนสามารถสร้างให้ Call Her Daddy และ Unwell ได้ ซึ่งนั่นจะช่วยให้เราโต”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Cooper โตขึ้นแล้ว ในปี 2018 เธออกหักและตกงานเลยลองอัดพอดแคสต์ที่อะพาร์ตเมนต์ใน New York City กับ Sofia Franklyn เพื่อนร่วมห้องในตอนนั้น ทั้งคู่เปิดใจเกี่ยวกับชีวิตรักของตัวเองในฐานะสาวโสดวัย 20 กว่าๆ และก็เกิดเป็นชุมชนแฟนคลับผู้หญิงอันเหนียวแน่นอย่างรวดเร็วซึ่งเรียกตัวเองว่า “แก๊งแด๊ดดี้” รายการนี้ไปเข้าตา David Portnoy หนุ่มทรงเสน่ห์และชอบจุดประเด็นร้อนผู้ก่อตั้ง Barstool Sports บริษัทสื่อดิจิทัลที่เน้นชายหนุ่มที่คลั่งไคล้กีฬา รายการนี้ดังขึ้นมาทันที โดยมียอดดาวน์โหลด 2 ล้านครั้งใน 2 เดือนแรก จากนั้น Cooper ก็เอารายการนี้ไปลงที่ Spotify ในปี 2021 โดยขยายหัวข้อที่พูดคุยนอกเหนือจากเรื่องเซ็กซ์และการออกเดต&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“เพื่อธุรกิจแล้วทุกอย่างที่ฉันทำคือกลยุทธ์” เธอบอก “แต่ก็ยังมีความจริงใจอยู่นะ ฉันแค่ไม่อยากเล่าเรื่องเดิมๆ ซ้ำไปซ้ำมาน่ะ”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ขณะที่อยู่กับ Spotify Cooper ทำให้ Call Her Daddy กลายเป็นรายการจุดหมายปลายทางอันดับต้นๆ ในแวดวงสื่อที่เหล่าคนดังเข้ามาร่วม โดยถูกนำไปเปรียบเทียบกับ Barbara Walters และ Howard Stern แขกรับเชิญนั้นมีทั้ง Jane Fonda, Simone Biles และในเดือนตุลาคม เธอก็ได้สัมภาษณ์ Kamala Harris ซึ่งผู้คนให้ความสนใจอย่างล้นหลาม บรรดาสปอนเซอร์ก็แห่กันมา เช่น Tinder, Sephora และ Airbnb ทุกวันนี้ Call Her Daddy กำลังขับเคี่ยวกับรายการแบบเดียวกันอย่าง The Joe Rogan Experience และ The Daily ของ New York Times เพื่อขึ้นเป็นที่ 1 บนชาร์ตสตรีมพอดแคสต์&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ก่อนมาที่ Spotify ฉันแทบไม่ได้ทำสัมภาษณ์เลย ก็เลยต้องขายฝันไปเรื่อยๆ” Cooper เล่า “ตอนนี้ฝันของฉันเป็นจริงแล้ว และฉันสามารถเดินไปชวนใครก็ได้ว่าอยากร่วมงานกับฉันไหม”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อย่างน้อยที่สุดตอนนี้คนก็ยังเข้าฟัง Call Her Daddy บนแพลตฟอร์มที่ไม่ใช่ SiriusXM ได้ ซึ่งรวมถึง Spotify ด้วย&nbsp;แม้ว่า Cooper จะบอกว่ากำลังพูดคุยเรื่องการสงวนสิทธิ์ให้เพียงแพลตฟอร์มเดียวก็ตาม&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“Sirius พยายามขยายตัวสู่โลกออนไลน์และใช้ระบบดิจิทัลมากขึ้น และกลุ่มลูกค้าของ Cooper เป็นคนรุ่นใหม่” Jessica Reif Ehrlich นักวิเคราะห์สื่อของ Bank of America กล่าว “มีคนดังไม่กี่คนในวงการพอดแคสต์ และเธอก็เป็นหนึ่งในนั้น” ตอนนี้ถึงคราวที่ Cooper จะใช้อิทธิพลสื่อโซเชียลของเธอเพื่อปรับฐานสมาชิกเก่าของ&nbsp;SiriusXM ด้วยกลุ่มผู้ฟังกลุ่มใหม่ที่อายุน้อยลง “เรากำลังคุยกันเรื่องนี้เพราะมันคือสิ่งที่ฉันสร้างและเป็นเจ้าของ” Cooper กล่าว “มีแรงกดดันมากมายทำให้ฉันต้องเดินหน้าต่อไป แต่ฉันชอบความกดดันนะ” ​​เรื่อง: Alexandra York เรียบเรียง: พินน์นรา วงศ์วิริยะ ภาพ: Cody Pickens,&nbsp;ออกแบบภาพปกโดย ธัญวดี นิรุติศาสตร์&nbsp;​ เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a target="_blank" href="https://forbesthailand.com/world/america/aws-and-the-nuclear-power-plant-investment-mission" alt="AWS และภารกิจลงทุน ‘โรงไฟฟ้านิวเคลียร์’ ขุมพลังสะอาดแห่งอนาคต"></a><a href="https://forbesthailand.com/world/america/barbara-corcoran-investing-advice-take-risk-with-knowledge" alt="‘กล้าเสี่ยงและลงทุนในสิ่งที่รู้’ วิธีสร้างความมั่งคั่งฉบับ Barbara Corcoran ฉลามแกร่งแห่ง Shark Tank">‘กล้าเสี่ยงและลงทุนในสิ่งที่รู้’ วิธีสร้างความมั่งคั่งฉบับ Barbara Corcoran ฉลามแกร่งแห่ง Shark Tank</a>​ ​<a href="https://www.mebmarket.com/?action=book_details&amp;book_id=359573" alt="อ่านบทความฉบับเต็มและเรื่องราวธุรกิจอื่นๆ ที่น่าสนใจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนเมษายน 2568 ในรูปแบบ e-magazine">อ่านบทความฉบับเต็มและเรื่องราวธุรกิจอื่นๆ ที่น่าสนใจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนเมษายน 2568 ในรูปแบบ e-magazine</a>&nbsp;<div class="se-component se-image-container __se__float-none" contenteditable="false"><figure style="margin: 0px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/04/DrNGgArnC5hj441hT4H9.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="none" data-file-name="DrNGgArnC5hj441hT4H9.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-percentage="auto,auto" origin-size="312,406" data-rotatex="" data-rotatey="" style="" data-index="0"></figure></div>

Alexandra Cooper เจ้าของเสียงมูลค่ากว่า 125 ล้านเหรียญสหรัฐฯ

<h2 class="p1">สำนักข่าว BBC จะเริ่มทดลองฟังก์ชัน อินเตอร์แอคทีฟ ในการรายงานข่าวผ่านรายการ Click ที่จะออกอากาศเดือนกรกฎาคมนี้ โดยให้ผู้ชมสามารถเลือกชมข่าวเองได้ในแบบเดียวกับที่ Netflix ใช้ในซีรีส์ Black Mirror ตอน Bandersnatch</h2>
แปลและเรียบเรียงจาก<a href="https://www.forbes.com/sites/arielshapiro/2019/04/30/bbc-wants-to-bandersnatch-the-news/?utm_source=newsletter&amp;utm_medium=email&amp;utm_campaign=daily-dozen#27266c425fd0"> BBC Producing Special With ‘Bandersnatch’ Technology, Allowing Viewers To Choose What News To See</a> โดย Ariel Shapiro ตีพิมพ์ครั้งแรกใน forbes.com
ในโอกาสที่รายการ Click จะออกอากาศครบ 1,000 ตอน เวอร์ชันที่จัดฉายบนแพลตฟอร์มออนไลน์ของรายการนี้จึงพัฒนาให้ผู้ชมสามารถเลือกปรับแต่งรายการเองได้ (customize) ผ่านการใช้ เทคโนโลยี OBM (object-based media) ทำให้รายการแตกต่างจากรายการแบบดั้งเดิม ด้วยการใช้ OBM ทำให้องค์ประกอบต่างๆ ถูกแยกย่อยและสามารถจับคู่แบบ mix-and-match เพื่อสร้างผลลัพธ์ที่แตกต่างได้มหาศาล
ตัวอย่างการใช้เทคโนโลยี OBM ที่เด่นชัดที่สุดคือซีรีส์ Black Mirror ตอน Bandersnatch ซึ่งจัดสร้างโดย Netflix และออกฉายไปเมื่อเดือนธันวาคมปีก่อน แม้ตัวภาพยนตร์จะได้รับความเห็นหลากหลาย แต่สิ่งที่ชัดเจนคือความสนใจจากผู้คนเมื่อใช้วิธีการที่เป็นนวัตกรรมใหม่
Simon Hancock บรรณาธิการรายการ Click ซึ่งเป็นรายการข่าวและสารคดี มองว่ารายการนี้เหมาะสมที่จะใช้เทคโนโลยี อินเตอร์แอคทีฟ เพราะไม่เพียงแต่จะทำให้ผู้ชมมีส่วนร่วมกับรายการมากยิ่งขึ้น แต่ยังทำให้โปรดิวเซอร์รายการสามารถสร้างคอนเทนต์ได้มากขึ้นด้วย
“แต่ละสัปดาห์ ผมต้องตัดสินใจอย่างยากลำบากว่าสิ่งใดควรจะเข้าไปอยู่ในรายการ และควรจะใส่ไปมากน้อยแค่ไหนเพื่อรักษาระดับผู้ชมไว้ได้สูงสุด ซึ่งอุปสรรคคือผมสามารถทำรายการนั้นได้แค่ครั้งเดียว แต่เมื่อใช้ OBM เรามองเห็นความเป็นไปได้ที่จะให้ในสิ่งที่ทุกคนต้องการ” Hancock กล่าวในงานนำเสนอเชิงการตลาดของรายการเมื่อวันที่ 29 เมษายน 2019
การปรับแต่งค่าได้ด้วยตนเองจะเป็นไปใน 3 แนวทาง คือ ผู้ชมสามารถเลือกคอนเทนต์ที่จะปรากฏในรายการเองได้, สามารถเลือกระดับความลึกของเนื้อหาเฉพาะทางที่จะปรากฏในรายการได้ตามความสนใจ และสุดท้ายคือ รายการจะถูกปรับเนื้อหาให้เหมาะกับท้องถิ่นแต่ละภูมิภาค (localized) สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องเล็กของ BBC ซึ่งเป็นสำนักข่าวระดับสากลและมีผู้ชมทั่วโลกเกือบ 350 ล้านคน
ในขณะนี้ เทคโนโลยีดังกล่าวจะถูกทดลองใช้ในรายการ 1 ตอนนี้ก่อน ยังไม่ครอบคลุมทุกๆ รายการของ BBC อย่างไรก็ตาม รายการตอนพิเศษนี้จะทำให้สถานี BBC และทั้งอุตสาหกรรมข่าวได้ข้อมูลเชิงลึกว่าผู้บริโภคมีดีมานด์เพียงใดต่อการใช้ OBM เพราะแม้ว่า Bandersnatch จะถูกพูดถึงเป็นอย่างมาก แต่เรตติ้งที่แท้จริงนั้นไม่เป็นที่เปิดเผยตามนโยบายหลักของ Netflix
<ul>
 	<li><a href="http://forbesthailand.com/news/global/%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%A2%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B9%8C-netflix-%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%B6%E0%B8%A1.html">กลยุทธ์ดึงยอดผู้ชม 3 เท่าของ Netflix "อัลกอริธึม" และความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์</a></li>
</ul>
ในแง่ความเป็นส่วนตัว เทคโนโลยี OBM อาจไม่ให้ความเป็นส่วนตัวแก่ผู้ใช้มากนัก เนื่องจากระบบจะต้องมีการเก็บดาต้า และ Netflix เองก็เคยเก็บดาต้าของผู้ชมในระหว่างชมและกดเลือกตัวเลือกต่างๆ ใน Bandersnatch มาแล้ว
ความเคลื่อนไหวของ BBC นั้นเป็นการเสี่ยงทดลองว่าเทคโนโลยีรูปแบบนี้สามารถสนับสนุนการเผยแพร่ข่าวสารได้จริงหรือไม่ “เราคิดว่า สิ่งนี้จะสามารถเปลี่ยนแปลงวิธีการสร้างคอนเทนต์ในอนาคตได้” Hancock กล่าวยืนยัน
รายงานพิเศษรูปแบบ อินเตอร์แอคทีฟ จะรับชมได้ในวันที่ 5 กรกฎาคม 2019 ผ่าน<a href="https://www.bbc.co.uk/programmes/n13xtmd5/episodes/guide">เว็บไซต์รายการ</a><a href="https://www.bbc.co.uk/programmes/n13xtmd5/episodes/guide"> Click ของ</a><a href="https://www.bbc.co.uk/programmes/n13xtmd5/episodes/guide"> BBC</a> ทั้งนี้ เนื้อหารายการ/คลิปต่างๆ ของ Click นั้นจะเกี่ยวข้องกับการรายงานข่าวเทคโนโลยี แก็ดเจ็ท เว็บไซต์ เกม และอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์
Forbes Thailand รายงานเพิ่มเติมว่า Netflix เพิ่งออกฉายซีรีส์ชุด You vs. Wild ที่เป็นสารคดีผจญภัยในแบบอินเตอร์แอคทีฟเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ซึ่งเสียงตอบรับส่วนใหญ่มองว่าภาพยนตร์แนวอินเตอร์แอคทีฟนั้นคล้ายกับการเล่นเกมที่ทำให้ผู้ชมรู้สึกมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ

BBC ทดลองเทคโนโลยี "อินเตอร์แอคทีฟ" ในการรายงานข่าว

เจาะลึกผลวิจัย Google ปรับคาดการณ์ “เศรษฐกิจดิจิทัลไทย” ขึ้นเป็น 4.3 หมื่นล้านเหรียญ

<h2>ในช่วงสิบปีที่ผ่านมาจะเห็นว่าวงการการตลาดนั้นได้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมากมาย จากกระแส Digital Disruption ที่เปลี่ยนแปลงรูปแบบการเสพสื่อและพฤติกรรมของคนในชีวิตประจำวันในตลอดช่วงทศวรรษที่ผ่านมา</h2>
จากเดิมในยุคเดิมที่อาจจะมี สื่อ (Media) อยู่ไม่กี่ประเภทมากนัก จะเห็นว่าในยุคก่อน การใช้สื่อของนักการตลาดนั้นเป็นรูปแบบ Linear เป็นประเภทใหญ่ๆ เช่น ทีวี วิทยุ ป้ายบิลบอร์ด หนังสือพิมพ์ นิตยสาร เป็นต้น แต่จากการเข้ามาของสื่อดิจิทัล (Digital Media) ในช่วงเกือบทศวรรษที่ผ่านมา รูปแบบการวางแผนการใช้สื่อนั้นมีการเปลี่ยนแปลงไป จากแบบเดิม ก็มาเป็น Free Form มากขึ้น จากการใช้สื่อไม่กี่ประเภท เป็นก้อนใหญ่ๆ ก็กลายมาเป็นชิ้นเล็กๆ ย่อยๆ มากมาย ที่เราต้องวางแผนสื่อเหล่านี้ให้ส่งต่อและเสริมส่งกันไปมา ในรูปแบบ Free Form

ในช่วงแรกแห่งการเปลี่ยนแปลงนั้น เชื่อว่าหลายๆ คนที่เริ่มทำ Digital Marketing จะเริ่มต้นจากการใช้ Digital Media ประเภทต่างๆ เป็นหลัก เช่น หากเราทำโฆษณาบนทีวี ก็แค่เอามาโพสต์ลง Facebook หรือ YouTube หรือบางคนก็คิดว่าการเปิด Facebook Page คือการทำ Digital Marketing

แต่จริงๆ แล้ว ในปัจจุบัน ทุกคนเห็นตรงกันว่า ในการทำการตลาดที่ถูกต้องนั้น เราไม่ควรที่จะเริ่มต้นจากการเลือกสื่อที่จะใช้ก่อน หรือยึดติดกับการใช้สื่อในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง เส้นระหว่างสื่อ Online และ สื่อ Offline ได้หายไป วันนี้เราไม่ได้เริ่มต้นที่การเลือกว่าจะทำสื่อ Online หรือ สื่อ Offline หรือ เราจะเริ่มต้นการทำ Marketing ด้วยการเปิด Facebook Page เหมือนเมื่อก่อน

ในการเริ่มต้นทำการตลาดในยุคนี้นั้น เราต้องกลับไปสู่สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ “พฤติกรรมของกลุ่มเป้าหมายของเรา" เราต้องแน่ใจและรู้ให้ถ่องแท้ว่า การใช้ชีวิตและการเสพสื่อในแต่ละวัน และ Insight อะไรจะเป็นสิ่งกระตุ้นให้กลุ่มเป้าหมายของเรา ให้เป็นไปในจุดประสงค์ที่ต้องการในแต่ละแคมเปญการตลาดที่ต้องการ หลังจากนั้นค่อยถึงมาเลือกวางแผนการใช้สื่อที่ตรงตามพฤติกรรมของกลุ่มเป้าหมายของเราให้มากที่สุดภายใต้งบประมาณที่มีอยู่

แต่อย่างไรก็ตาม ในวันที่ภูมิทัศน์ทางการตลาดเปลี่ยนไป วันนี้เป็นวันที่นักการตลาดต้องพบกับการเปลี่ยนแปลงอีกครั้งหนึ่ง เพราะเราจะเข้าใจและแบ่งกลุ่มเป้าหมายของเราได้มากขึ้น และ ละเอียดกว่าเดิม

ในช่วงรอบปีที่ผ่านมา เราคงเคยได้ยินประโยคที่ว่า “Data is a New Oil" หรือ ข้อมูลนั้นเป็นแหล่งน้ำมันแห่งใหม่

ในยุคที่แทบทุกคนมี Smartphone ถืออยู่ในมือ เราใช้ชีวิตในแต่ละวันไปกับ Internet ผ่านอุปกรณ์เหล่านี้ จะเห็นว่าปัจจุบันนั้น ตัวตนของเราไม่ได้อยู่แค่บนโลก Offline แบบเดิมอีกต่อไป แต่เราทิ้งร่องรอยดิจิทัล (Digital Footprint) ของเรา และผลิตข้อมูลอย่างมากมายมหาศาลในทุกๆ วัน

หากบอกว่าข้อมูลเหล่านี้คือแหล่งน้ำมันแหล่งใหม่ วันนี้ถึงเวลาที่เราจะต้องลงทุนกับมัน เราต้องมีกลยุทธ์ในการจัดเก็บ ขุดเจาะ และน้ำมันมาใช้อย่างถูกวิธี และกระบวนการเหล่านี้ จะก่อให้เกิดประโยชน์อย่างมากมายมหาศาลในอนาคต หรือเราเรียกสิ่งนี้ได้อีกอย่างว่า "Data Activation” ซึ่งปัจจุบันมีบริษัทหนึ่ง ที่เน้นในการให้บริการเรื่องนี้โดยเฉพาะ ชื่อว่า Alchemist ภายใต้กลุ่มบริษัท Rabbit Digital Group

คำว่า Data Activation นั้น ไม่ได้หมายความว่าเราต้องเก็บข้อมูลทุกอย่างให้เยอะที่สุด แต่มันคือการเริ่มต้นในการวางแผนการเก็บข้อมูลที่เกี่ยวข้อง (Relevance) อย่างเป็นระบบ เพื่อให้เราสามารถนำมันมาใช้งานได้ในอนาคต

โดยกระบวนการของ Data Activation นั้น แบ่งออกง่ายๆ เป็น สามขั้นตอนด้วยกัน คือ
<ol>
 	<li>Data In คือการเอาข้อมูลต่างๆ จากหลายๆ ช่องทางด้วยกัน เช่น ข้อมูลจาก CRM ของเดิมของเรา ข้อมูลจากแผนกต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง และ ข้อมูลจากทางออนไลน์ต่างๆ เช่น Facebook, Line, และ Digital Footprint ต่างๆ เป็นต้น</li>
 	<li>Value Unlocked การเอาข้อมูลต่างๆ เหล่านี้ มาแยกแยะ และวิเคราะห์ ผ่านกระบวนการต่างๆ ในหลายๆ มิติ</li>
 	<li>Impact Out คือการนำข้อมูลที่ผ่านการวิเคราะห์มาแล้ว มาทำให้เกิดประโยชน์กับกลุ่มลูกค้าของเราออกทางช่องทางต่างๆ ที่มีในปัจจุบัน เช่น Line Business Connect, Facebook Messenger รวมไปถึง เครื่องมือใหม่ ๆ เช่น Salesforce Marketing Cloud เป็นต้น</li>
</ol>
จากเดิมปัจจุบัน เรารู้จักกลุ่มลูกค้ากว้างๆ เช่น ช่วงอายุเท่าไหร่  แต่จากข้อมูลเหล่านี้ เราสามารถเข้าใจลูกค้าเราได้ดีกว่าเดิม หากเราได้วิเคราะห์ข้อมูลเหล่านี้ที่มากพอเราสามารถแบ่งกลุ่มย่อยที่เรียกว่า Micro Segmentation มากมายหลากหลาย รวมไปถึงเรายังสามารถนำเครื่องมือทางการตลาดใหม่ๆ เช่น Data Management Platform (DMP) , Journey Builder หรือ Chatbot ที่เครื่องมือเหล่านี้นั้นสามารถช่วยในการจัดการ วางแผน และส่งสื่อการตลาดออกที่มีการปรับให้เข้ากับแต่ละกลุ่ม ไปได้อย่างอัตโนมัติ

แต่สิ่งที่เหนือไปกว่านั้น หากเรามีการจัดเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลที่ดีพอ เรายังสามารถนำข้อมูลเหล่านี้ไปทำ Business Intelligence หรือช่วยวิเคราะห์ข้อมูลในการทางตัดสินใจทางธุรกิจที่สำคัญ เช่น การพัฒนาสินค้าใหม่ที่ตรงใจความต้องการของลูกค้าที่มากขึ้น หรือกลุ่มที่ Niche มากขึ้น, โปรโมชั่นทางการตลาดที่ควรจะออกเฉพาะเจาะจงลงไปยังรายบุคคล

รวมไปถึงเป็นโจทย์ตั้งต้นในการทำแคมเปญการตลาดครั้งต่อไป ที่เสริมการทำการวิจัยการตลาดแบบเดิม หรือแม้กระทั่งสามารถประยุกต์ใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ ที่เริ่มมีมากขึ้นมาเรื่อยๆ ในปัจจุบัน เช่น Internet of Things (IoT) ที่จะทำให้มีข้อมูลมากมายมหาศาลมากขึ้นไปอีก หรือแม้กระทั่ง AI ที่จะเข้ามาช่วยให้เราวิเคราะห์ข้อมูลเหล่านั้น ได้ดีขึ้นเรื่อยๆ

จะเห็นว่าแม้ว่าการตลาดในยุคถัดไปจะเห็นได้ว่าน่าตื่นเต้นและพัฒนาไปอย่างมา แต่อย่างไรก็ดี โอกาสเหล่านี้ ก็มาพร้อมกับความท้าทายครั้งใหม่ของผู้คนในแวดวงการตลาดเช่นกัน

จากเดิมโดยส่วนใหญ่แล้ว นักการตลาดอาจจะมีความถนัดในสมองซีกขวาหรือสมองที่ใช้ความคิดสร้างสรรค์เป็นหลัก แต่เมื่อมีเรื่องเกี่ยวกับการวิเคราะห์ข้อมูลจากตัวเลขต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง นักการตลาดในยุคถัดไปก็จำเป็นต้องพัฒนาสมองซีกซ้ายที่เกี่ยวกับการใช้ตรรกะและเหตุผลก็เป็นสิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันเช่นกัน การเชื่อมโยงของทั้งโลกทั้งสองใบนี้ เป็นทักษะเชี่ยวชาญของนักการตลาดในยุคถัดไป

ในส่วนขององค์กรเองก็ต้องเข้าใจว่า การทำ Data Activation เหล่านี้นั้น ไม่ใช่การวิ่งร้อยเมตร เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ไม่สามารถสามารถทำแล้วเห็นผลเลยภายในข้ามคืน แต่ต้องเข้าใจว่านี่คือการวิ่งมาราธอน ที่เราจำเป็นต้องเริ่มทำการฝึกซ้อม วางแผนกลยุทธ์ และเริ่มต้นในการเก็บข้อมูลตั้งแต่เนิ่นๆ ยิ่งเราเริ่มที่จะซ้อมเริ่มเตรียมตัวเร็วเท่าไหร่ คู่แข่งก็ยิ่งตามเรายากมากขึ้นไปอีกเช่นกัน

ยินดีต้อนรับเข้าสู่ยุค "Data Activation” โอกาสและความท้าทายครั้งใหม่ของเหล่านักการตลาด

<h2>จำนวนการดาวน์โหลดเพลงผ่านสื่อดิจิทัล ตลอดจนยอดขายอัลบั้มซีดีกำลังลดลงเรื่อยๆ ทั้งที่จริงแล้วทุกวันนี้เราฟังเพลงกันมากขึ้น นี่จึงเป็นโอกาสสำคัญสำหรับศิลปินที่มีช่องทางสื่อสารกับแฟนๆ อย่ำงเช่น THE WEEKND</h2>
หาก Steve Jobs ยังมีชีวิตอยู่ตอนที่ Apple เปิดตัวบริการสตรีมมิ่ง Apple Music เมื่อ 2 ปีก่อน เขาก็คงเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุดที่จะได้เป็นผู้นำในการเปิดตัวครั้งนั้น แต่ในเวลานั้น Jobs คงง่วนอยู่กับการสร้างผลงานฝากไว้ในโลกอื่นๆ เสียแล้ว

ส่วนที่ปรากฏในงานตัวจริงคือ Drake และ The Weeknd 2 ศิลปินหนุ่มเจ้าของแนวดนตรีผสมผสานระหว่างฮิปฮอป ป็อป และอาร์แอนด์บี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง The Weeknd ซึ่งเปิดการแสดงสดเป็นครั้งแรกกับเพลงใหม่ “Can’t Feel My Face” สร้างความประทับใจให้กับแฟนๆ ไม่น้อยเลยทีเดียว

สำหรับ “Can’t Feel My Face” เปิดตัวเป็นครั้งแรกผ่านช่องทาง Apple Music ก่อนจะเรียกจำนวนการเข้าชมได้กว่า 1.5 พันล้านครั้งในทุกช่องทางสตรีมมิ่งหลายๆ คน รวมทั้ง The Weeknd เองรู้ดีว่าสตรีมมิ่งไม่ใช่ช่องทางดนตรีแห่งอนาคตอีกต่อไปเพราะมันเกิดขึ้นแล้วจริงๆ แม้ยอดดาวน์โหลดสื่อดิจิทัลกับยอดขายอัลบั้มจริงจะทรุดตัวอย่างหนัก แต่สตรีมมิ่งกลับผลักดันให้ปริมาณการฟังดนตรีรวมทุกช่องทางเพิ่มขึ้น หลังจากที่ Drake (ติดอันดับ 4 ด้วยรายได้ 94 ล้านเหรียญ) กับ The Weeknd (อันดับ 6 ที่ 92 ล้านเหรียญ) มีการสตรีมมิ่งรวมกันทั้งสิ้น 1.75 หมื่นล้านครั้ง นำมาสู่โอกาสทำเงินช่องทางใหม่ๆ เช่น รายได้จากการทัวร์คอนเสิร์ต

“เราอยู่ในโลกที่ศิลปินไม่ได้ทำเงินจากผลงานดนตรีในรูปแบบที่เราเคยมีในยุครุ่งเรืองกันแล้ว รายได้จริงๆ จะมาก็ตอนเราขึ้นเวทีแสดงนั่นแหละครับ” The Weeknd วัย 27 ปีกล่าว

“ปัจจัยที่หนุนให้แฟนคลับของ The Weeknd และ Drake ทั่วโลกมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นคือการผสมผสานระหว่างฐานแฟนคลับทั่วโลกที่ได้ฟังดนตรีของพวกเขาแบบฟรีๆ ตั้งแต่อายุยังน้อย ขณะที่พวกเขาเองก็ปล่อยเพลงใหม่ออกมาเรื่อยๆ บวกกับมีการสื่อสารกับแฟนๆ อย่างใกล้ชิดอยู่ตลอด” Michael Rapinหัวหน้า Live Nation กล่าว “มันคือรูปแบบการปล่อยเพลงให้ฟังกันในราคาถูก จากนั้นจึงทำรายได้จากการทัวร์คอนเสิร์ตและผู้สนับสนุน"

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ Chance the Rapper (อันดับ 95 ที่ 33 ล้านเหรียญ) ศิลปินหนุ่มวัย 24 ปีไม่เคยขายอัลบั้มเพลงหรือเซ็นสัญญากับค่ายเพลงอะไรเลย แต่ใช้วิธีปล่อยผลงานผ่านบริการสตรีมมิ่งไปเรื่อย วิธีการนี้ทำให้เขามียอดการเข้าฟังมากพอที่จะสร้างรายได้มหาศาล

นอกจากนี้ยังทำเงินได้อีกมากมายจากการแสดงคอนเสิร์ตสุดอู้ฟู่ทั้งตามงานเทศกาลและเวทีการแสดงของตนเอง ตลอดจนสัญญากับแบรนด์ดังอย่าง Apple และ Kit Kat ซึ่งเป็นรูปแบบที่คล้ายกับการทำธุรกิจแบบ “ฟรีเมียม” ที่แอพพลิเคชั่นต่างๆ นำไปใช้จนประสบความสำเร็จมาแล้วไม่ว่าจะเป็น Tinder หรือ Candy Crush นั่นคือแจกของฟรีให้คนส่วนมาก ก่อนจะเก็บค่าบริการจากแฟนพันธุ์แท้กลุ่มเล็ก The Weeknd เลือกใช้รูปแบบดังกล่าวมาตั้งแต่เริ่มต้นอาชีพศิลปิน

เขาเป็นบุตรชายของผู้อพยพชาวเอธิโอเปียที่หนีจากภาวะอดอยากที่ระบาดทางภาคตะวันออกของทวีปแอฟริกาในยุค 1980 The Weeknd เกิดที่ Toronto โดยมีคุณแม่และคุณยายเป็นผู้เลี้ยงดู พออายุได้ 17 ปี เขาก็หนีออกจากบ้านและเลิกเรียนหนังสือ

เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อ 10 ปีก่อน ซึ่งเกือบจะเป็นจุดจบของทุกสิ่งทุกอย่างเสียแล้ว อย่างไรก็ตาม ในปี 2010 เขาก็เริ่มบันทึกผลงานดนตรี ซึ่งเป็นการผสมผสานแนวดนตรีที่เหมาะสำหรับเปิดในงานปาร์ตี้ พร้อมจัดทำเป็นอัลบั้มเผยแพร่ให้ชมกันฟรีๆ ทาง YouTube โดยเลือกชื่อ The Weeknd มาใช้เป็นนามปากกาลับ “ผมไม่อยากเปิดเผยตัวจริง เพราะอยากจะให้แฟนๆ ชอบผมจากผลงานศิลปะทางดนตรีของผมจริงๆ”

ถ้าหากเป็นธุรกิจบันเทิงสมัยก่อน The Weeknd อาจจะต้องรอให้ค่ายเพลงเห็นแวว แต่ในกรณีนี้กลับเป็นฐานแฟนคลับต่างหากที่มองเห็นแววของเขาขณะที่บริการสตรีมมิ่งนั่นเองที่ผลักดันให้ค่ายเพลงต่างๆ หันมาควักเงินลงทุน

สำหรับในอนาคตนั้น The Weeknd ก็ฉลาดไม่น้อย โดยเขากำลังจับตามองธุรกิจบันเทิงด้านอื่นๆ ที่เคยได้รับอิทธิพลจากนวัตกรรมสตรีมมิ่ง “ตอนที่ผมเขียนเพลง ผมมองว่ามันเป็นหนังคือเป็นการบอกเล่าเรื่องราวสำคัญๆ สักเรื่อง” The Weeknd กล่าว ก่อนจะเปิดเผยก้าวต่อไปของตัวเองว่า “ผมจะทำเพลงออกมาอีกเรื่อยๆ และหวังว่าสักวันจะได้มีโอกาสได้ทำงานศิลปะที่ถือเป็นรักแรกของผม คืองานภาพยนตร์นั่นเอง” Netflix ได้ยินแว่วๆ ไหม?

เรื่อง: Zack O,Malley Greenburg เรียบเรียง: ปาริชาติ ชื่นชม

<a href="http://forbesthailand.com/world-detail.php?did=1964">ติดตาม 10 อันดับแรกของการจัดอันดับ CELEB100 คนดังที่ทำรายได้สูงสุดในโลกประจำปี 2017 ที่นี่</a>

<hr />

<a href="http://goo.gl/4PSEG2">คลิกอ่านบทความทางด้านธุรกิจจากทั่วโลกได้ที่ Forbes Thailand ฉบับ สิงหาคม 2560 ในรูปแบบ e-Magazine</a>

<a href="http://goo.gl/4PSEG2"><img src="http://forbesthailand.com/uploads/library/b94d33238d01a8ccb0bd6d9a085deb57.png" alt="" /></a>

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events