<h2>Aicha Evans ซีอีโอ แห่ง Zoox บริษัทยานยนต์ไร้คนขับใน Silicon Valley ที่ทาง Amazon เข้าซื้อเมื่อปีก่อนกล่าวถึงการยกเครื่ององค์กรก่อนเปิดตัวรถแท็กซี่ไร้คนขับที่ Las Vegas</h2>
Evans กล่าวว่า Zoox กำลังอยู่ในช่วงทบทวนแผนธุรกิจ ปรับเปลี่ยนโครงสร้างองค์กร ไม่ว่าจะเป็นด้านแนวทางปฏิบัติ หรือการลงมือปฏิบัติจริง และวางแผนเตรียมตัวปรับขยายรถแท็กซี่ไร้คนขับนี้ ก่อนจะเปิดให้ใช้งานครั้งแรกที่ Las Vegas 

Zoox ได้เปิดตัว<a href="https://www.forbes.com/sites/bradtempleton/2020/12/14/amazon-owned-self-driving-taxi-zoox-reveals-its-secret-vehicle/?sh=339ac0c4c916">รถแท็กซี่ไฟฟ้าโดยสาร 5 คน</a>ที่ออกแบบเองเมื่อปีที่แล้ว และเมื่อตุลาคมก็ได้ประกาศแพลนที่จะทดสอบระบบอัตโนมัติใน Seattle เพิ่มจากเดิม ที่ทดสอบแค่ใน San Francisco และ Las Vegas อีกทั้งยังไม่มีแพลนที่จะลดจำนวนพนักงานในการทบทวนแผนธุรกิจครั้งนี้ แต่อย่างไรก็ตาม Evans กล่าวกับ Forbes ว่าก็มีพนักงานรุ่นแรกๆ ของที่นี้ที่เก็บของออกจากบริษัทไปบ้าง 

<figure><img class="wp-image-53388 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/11/Zoox_CEO_Aicha_Evans-e1635927869812.png" alt="" width="720" height="479" /><figcaption> Aicha Evans ผู้นั่งตำแหน่ง CEO</figcaption></figure>

เธอไม่ได้แชร์ข้อมูลเฉพาะเจาะจงอะไรเกี่ยวกับการปรับเปลี่ยนโครงสร้าง หรือวันที่จะเริ่มให้บริการใน Las Vegas แต่ทาง Jesse Levinson ผู้ร่วมก่อตั้ง และ CTO ได้บอกว่า ทางบริษัทคาดว่าพวกเขาจะเป็นเจ้าแรกที่นำ “รถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติที่ไม่ต้องใช้คนเลยในสักขั้นตอน” ไปขับเคลื่อนบนท้องถนน 

“โค้งสุดท้ายสำหรับเราคือ แทนที่จะทำให้เดโม่โปรแกรมของเราเป็นเรืองฮือฮา หรืออะไรแบบนั้น เราเน้นทำให้บริษัทเราเติบโตอย่างเต็มที่ ให้ตรงกับเป้าหมายทางธุรกิจและการค้าที่เรามี” Evans กล่าว 

ซึ่งนั่นก็หมายถึง “เต็มที่กับการเตรียมปรับขยาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องแนวทาง หรือหลักการ รวมไปถึงการบริหารองค์กร และคนที่เราเอาเข้ามา หรืออยู่ต่อกับเราด้วย นั้นคือถนนเส้นที่เราเดินอยู่ตอนนี้” 

ตอนนี้ ทางบริษัทกำลังแข่งอยู่กับคู่แข่งที่มีทุนหนามากหน้าหลายตา อย่าง Waymo Cruise บริษัทในเครือของ Alphabet  ที่มีทาง General Motors หนุนหลัง และ Argo AI ที่ Ford และ Volkswagen คอยสนับสนุนอยู่ เพื่อที่จะเป็นหนึ่งในบริษัทยานยนต์ไร้คนขับเจ้าแรกๆ ที่จะพิสูจน์ว่ารถยนต์ขับเคลื่อนด้วยตัวเองแบบออนดีมานด์สามารถประสบความสำเร็จ และมีศักยภาพในการเป็นธุรกิจกำไรมหาศาลได้

ตอนนี้ ทาง Waymo เองก็ได้เปิดให้บริการรถขับเคลื่อนเองเชิงพาณิชย์ขนาดเล็ก ที่ชานเมือง Phoenix โดยมีรถมินิแวน Chrysler ที่ดัดแปลงแล้วให้บริการ และขยายการให้บริการไปยังบริเวณ Bay Area ใน San Francisco อีกด้วย แต่ก็ยังคงมีขอบเขตให้บริการจำกัด และต้องอยู่ในแผนที่ปฏิบัติการที่ร่างไว้เท่านั้น

นอกจาก Elon Musk ที่ตั้งและพลาดเป้าที่จะให้บริการรถแท็กซี่ไร้คนขับภายในสิ้นปี 2020 แล้ว ทั้งทาง Zoox และคู่แข่งทั้งหลายก็ไม่ปริปากเลยว่าแท็กซี่ไร้คนขับจะมีใช้งานทั่วไปเร็วสุดเมื่อไรกันแน่

เพื่อผลิตรถยนต์ L5 แห่งอนาคต บริษัท The Foster City ได้สร้างฐานผลิตและจัดการยานยนต์ไซส์เล็ก ที่เมือง Fremont รัฐ California และนอกจากนี้ยังได้เพิ่มกำลังการผลิตเพื่อทดสอบรถ Toyota รุ่น Highlander ที่ดัดแปลงแล้วอีกด้วยซึ่งมีการทดสอบทุกวันทั้งในเมือง San Francisco Las Vegas และ Seattle

ปัจจุบันบริษัทแห่งนี้มีพนักงานอยู่ราวๆ 1,500 คน และไม่มีทีท่าที่จะลดพนักงานเลย แต่ก็มี “คนสำคัญที่เป็นรุ่นแรกๆ” บางคน ที่ออกจากบริษัทไป Evans กล่าวโดยไม่ได้เจาะจงว่ามีใครบ้าง 

“เราชื่นชมพวกเขานะ เราขอบคุณพวกเขาสำหรับก้าวแรกๆ นั้น” เธอกล่าว สำหรับบางคน โค้งแรกๆ บริษัทนี้คงจะสนุกมากกว่าโค้งบริษัทกำลังเข้าอยู่ตอนนี้ 

“โค้งนี้มันก็จะเร้าใจน้อยกว่าหน่อย มันขรุขระซะมากกว่า แต่นี้ก็เป็นเส้นทางที่เราต้องเดินไปเพื่อที่จะสามารถสร้างบริษัทที่ส่งออกผลิตภัณฑ์ และเปลี่ยนแปลงสังคม” Evans ทิ้งท้าย

แปลและเรียบเรียงโดย ทัตชญา บุษยากิตติกร จากบทความ Zoox CEO Overhauling Amazon’s Robotaxi Unit Ahead Of Las Vegas Commercial Launch เผยแพร่บน Forbes.com

อ่านเพิ่มเติม: <a href="https://forbesthailand.com/world/asia/5-%e0%b8%a1%e0%b8%ab%e0%b8%b2%e0%b9%80%e0%b8%a8%e0%b8%a3%e0%b8%a9%e0%b8%90%e0%b8%b5%e0%b8%aa%e0%b8%b4%e0%b8%87%e0%b8%84%e0%b9%82%e0%b8%9b%e0%b8%a3%e0%b9%8c-%e0%b8%98%e0%b8%b8%e0%b8%a3%e0%b8%81.html">5 มหาเศรษฐีสิงคโปร์ ธุรกิจทะยานท่ามกลางสถานการณ์โควิด</a>

<hr />

<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

CEO Zoox ยกเครื่องแท็กซี่ไร้คนขับ ก่อนเปิดตัวที่ Las Vegas

<h2>ยอดขายยานยนต์ในสหรัฐอเมริกาอาจชะลอตัวลงไปบ้างในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา แต่การแข่งขันทั่วโลกเพื่อพัฒนาเทคโนโลยียานยนต์ไร้คนขับนั้นไม่มีสัญญาณที่จะชะลอลงเลย</h2>
ความคืบหน้าล่าสุดในการแข่งขันคือ Bosch หนึ่งในบริษัทผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ประกาศร่วมเป็นพันธมิตรกับ Daimler บริษัทแม่ของรถยนต์ Mercedes-Benz มีเป้าหมายเพื่อพัฒนาแท็กซี่ไร้คนขับ

จากการแถลงร่วมกัน บริษัททั้งสองเปิดเผยว่าการเป็นพันธมิตรระหว่างกันของยักษ์ใหญ่อุตสาหกรรมเยอรมันครั้งนี้ มีเป้าหมายในการพัฒนายานยนต์ระบบอัตโนมัติให้พร้อมสำหรับขับเคลื่อนในเมืองภายในช่วงต้นทศวรรษ 2020s

ในเชิงประสิทธิภาพของระบบอัตโนมัติ ทั้งสองบริษัทตั้งเป้าการพัฒนาอย่างน้อยในระดับ 4 จากมาตรวัดระดับยานยนต์ไร้คนขับที่จัดตั้งขึ้นโดย สมาคมวิศวกรรมยานยนต์ (SAE) ซึ่งระบุให้ยานยนต์ไร้คนขับระดับสูงที่สามารถขับเคลื่อนด้วยตนเองได้ภายใต้เงื่อนไขเกือบทุกประการ สามารถขับเคลื่อนได้อย่างปลอดภัยและเป็นยานยนต์ไร้คนขับโดยแท้จริง จะได้รับการรับรองในระดับ 5 เป็นระดับสูงสุด

ทั้งนี้ 2 บริษัทพันธมิตรเปิดเผยเพิ่มเติมว่า ในการประยุกต์เทคโนโลยีเพื่อพัฒนาเมือง ยานยนต์ไร้คนขับสมบูรณ์แบบจะช่วยลดการจราจรที่ติดขัดและยกระดับความปลอดภัยบนท้องถนนและยังอาจช่วยขยายตลาด car-sharing หรือธุรกิจร่วมโดยสารรถยนต์ในเมืองได้อีกด้วย

โดยในเดือนมกราคมที่ผ่านมา Daimler แถลงว่า บริษัทจะสร้างความร่วมมือกับ Uber ผู้ให้บริการธุรกิจร่วมโดยสาร ด้วยการเป็นซัพพลายเออร์ผลิตรถยนต์ไร้คนขับให้กับเครือข่ายการบริการของ Uber และก่อนหน้านี้บริษัท Bosch ได้เป็นพันธมิตรกับ Nvidia บริษัทผู้ผลิตแผ่นไมโครชิพ เพื่อผลิตคอมพิวเตอร์ที่มีปัญญาประดิษฐ์อยู่ภายใน (Artificial Intelligence หรือ AI) เป็นสมองกลให้กับยานยนต์ไร้คนขับ พัฒนาซอฟต์แวร์และระบบอัลกอริธี่มที่จำเป็นเพื่อควบคุมรถ

<figure><img style="width: 680px; height: 453px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/f29e0cbfe9e77abd5fb67ef99c277f59.png" alt="" width="680" height="453" /><figcaption> การทดลองรถยนต์ไร้คนขับด้วยเทคโนโลยีของ Bosch (Photo Credit: Bosch)</figcaption></figure>

แผนการดังกล่าวที่มีเป้าหมายพัฒนายานยนต์อัตโนมัติไปสู่ระบบแท็กซี่นั้นตรงกันกับเป้าหมายของ Ford ซึ่งกำลังพัฒนายานยนต์ไร้คนขับให้สำเร็จภายในปี 2021 และอีกหลายบริษัทยักษ์ใหญ่ที่ต่างต้องการพัฒนาเทคโนโลยีนี้ เช่น Intel ที่ทุ่มซื้อกิจการ Mobileye บริษัทผู้สร้างระบบเซ็นเซอร์สัมผัสและกล้องสำหรับยานยนต์จากประเทศอิสราเอล ด้วยมูลค่าสูงที่สุดในวงการรถยนต์อัตโนมัติคือ 15,300 ล้านเหรียญสหรัฐฯ รวมถึงบรรดาสตาร์ทอัพที่มุ่งพัฒนาในทิศทางเดียวกัน

สำหรับ Nvidia ถือเป็นผู้เล่นสำคัญในการพัฒนายานยนต์ไร้คนขับ สินค้าหลักของ Nvidia คือการผลิตโปรเซสเซอร์สำหรับเล่นเกมคอมพิวเตอร์ที่มีความซับซ้อน ซึ่งกลายเป็นไมโครชิพที่ทรงประสิทธิภาพสำหรับเทคโนโลยี AI อันเป็นส่วนสำคัญในยานยนต์ไร้คนขับ AI ที่ Nvidia พัฒนาเน้น ระบบการเรียนรู้เชิงลึก (deep learning) ซึ่งทำให้รถยนต์จำรูปแบบและเงื่อนไขบนท้องถนนได้ นำไปสู่การประมวลผลที่ชาญฉลาดยิ่งขึ้น

ก่อนหน้าการเซ็นสัญญากับ Bosch บริษัท Nvidia ได้เป็นพันธมิตรกับผู้ผลิตรถยนต์และซัพพลายเออร์สำคัญมาแล้วทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็น Volvo, Tesla, Audi, Mercedes-Benz, BMW, Honda, Baidu และ ZF Group ผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ในเยอรมนี

ทั้งนี้ ทุกบริษัทต่างแข่งขันกันอย่างหนักเพื่อบรรลุเป้าหมายการเป็นบริษัทแรกที่ผลิตยานยนต์ไร้คนขับสมบูรณ์แบบได้สำเร็จในอนาคตอันใกล้

&nbsp;

เรียบเรียงจาก Bosch And Daimler Partner To Get Driverless Taxis To Market By Early 2020s และบางส่วนจาก Nvidia And Bosch Teaming Up To Make Computer Brains For Automated Cars โดย Alan Ohnsman

Bosch จับมือ Daimler พัฒนา ‘แท็กซี่ไร้คนขับ’ ตั้งเป้าวางขายภายในต้นทศวรรษ 2020s

<h2>ทุกวันนี้นวัตกรรมกรรมยานยนต์ไร้คนขับมีผู้เล่นสำคัญที่กำลังค้นคว้าวิจัยและพัฒนาอย่าง Google และ Uber ทำการทดสอบอย่างต่อเนื่องจากห้องทดลองสู่ท้องถนน เช่นเดียวกับบริษัทอื่นๆ ก็ต่างมุ่งหวังพัฒนาการเขียนโปรแกรมเพื่อสร้างเทคโนโลยีการขับเคลื่อนยานยนต์ไร้คนขับเช่นกัน</h2>
วันจันทร์ที่ 13 มีนาคม ที่ผ่านมา Intel ได้ประกาศดีลการซื้อครั้งสำคัญเป็นจำนวน 15.3 พันล้านเหรียญ ยกระดับตนเองเป็นหนึ่งในผู้เล่นสำคัญในอุตสาหกรรมนี้ ด้วยการเข้าซื้อกิจการ Mobileye บริษัท ผู้สร้างระบบเซ็นเซอร์สัมผัสและกล้องสำหรับยานยนต์จากประเทศ อิสราเอล

<img style="width: 680px; height: 323px;" src="http://forbesthailand.com/uploads/library/e5c6ea046c668144907c13d0ce84f35b.jpg" alt="" />

Mobileye ถือเป็นหนึ่งในยักษ์ใหญ่ของภาคอุตสาหกรรมนี้ที่เติบโตอย่างรวดเร็วและเป็นบริษัทสำคัญในการแข่งขันกลุ่มบริษัทที่มาจาก Silicon Valley และคาบเกี่ยวถึงบรรดาเหล่าผู้ผลิตรถยนต์ค่ายต่างๆ ที่กำหนดทิศทางของยานยนต์บนโลกนี้

เหมือนๆ กับที่ Google และ Uber ได้ทุ่มเงินลงทุนหลายพันล้านเหรียญในการค้นคว้าพัฒนาเทคโนโลยีของพวกเขาและการลงนามในสัญญาเพื่อเกิดความร่วมมือกับบริษัทผู้ผลิตรถยนต์อย่าง Chrysler และ Volvo สหรับการทดลองนวัตกรรมยานยนต์ไร้คนขับสู่ท้องถนน ถือได้ว่าเป็นจุดเปลี่ยนของอุตสาหกรรม ทั้งนี้บริษัทที่ปรึกษาอย่าง Bain &amp; Co. ได้คาดการณ์มูลค่าของกลุ่มอุตสาหกรรมนี้จะพุ่งสูงถึง 25 พันล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2025

การปรากฎชื่อ บริษัทผู้ผลิตหน่วยประมวลผลที่มีตำนานยาวนานอย่าง Intel เช่นเดียวกับคู่แข่งสำคัญอย่าง Qualcomm ที่มองเห็นโอกาสสำคัญในตลาดรถขับเคลื่อนอัตโนมัติในการสร้างรายได้มหาศาล เหล่านักเชี่ยวชาญกล่าวเป็นเสียงเดียวกันถึงความต้องการขุมพลังในการประมวลผลที่สามารถควบคุมเสี้ยวแห่งการประมวลผลเพื่อความปลอดภัยสูงสุดในการเดินทาง

การซื้อกิจการ Mobileye จึงเป็นการต่อยอดและครอบคลุมการนำเสนอผลิตภัณฑ์ของ Intel ต่อความต้องการในการสร้างนวัตกรรมยานยนต์ไร้คนขับนี้ออกไปและหวังตอบโจทย์ทำให้ค่ายผู้ผลิตรถยนต์เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ของบริษัทมากขึ้นและอุดช่องโหว่ในด้านการพัฒนาและไม่ต้องการความพึ่งพาบริษัทต่างๆ อย่าง Google

“การเติมเต็มนี้จะนำชัยให้เราตลาดนี้” Brian Krzanich chief executive แห่ง Intel กลาวกับนักลงทุนเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา “ผมไม่เชื่อว่าค่ายผู้ผลิตรถยนต์ทั้งหลายจะมีอิสระในการลงทุนพัฒนาด้านรถยนต์อัตโนมัติ”

Intel ถือเป็นบริษัทหนึ่งในประวัติศาสตร์ ในแง่การกำหนดยุทธศาสตร์ของบริษัทที่กว่า 3 ทศวรรษได้ครองเจ้าตลาดคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล ซึ่งกว่าร้อยล้านเครื่องนั้นใช้หน่วยประมวลผลของ Intel แต่ในหลายปีที่ผ่านมา Intel กลับประสบปัญหาอย่างมากกับพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนถ่ายการใช้งานสู่โทรศัพท์มือถือ ยกตัวอย่างเมื่อปลายปีที่ผ่านมา Intel ได้ประกาศยกเลิกการว่าจ้างงาน 12,000 อัตรา เป็นจำนวนถึง 11 % ของพนักงานจากทั่วโลก ซึ่งเกิดจากความลดลงของความต้องการเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล

ทั้งนี้ในรายงานประจำของ Intel รายงานถึงรายได้มากกว่าครึ่งยังคงมาจากการขายหน่วยประมวลผลสำหรับประมวลผลคอมพิวเตอร์ ซึ่งเป็นยอดขายที่เกิดมาจากแผนกซึ่งเกี่ยวข้องกับ “Internet of things” ที่กำลังเติบโตและสร้างยอดขายกว่า 15 % ในปี 2559 เป็นจำนวน 2.6 พันล้านเหรียญสหรัฐ

<figure><img style="width: 680px; height: 454px;" src="http://forbesthailand.com/uploads/library/5db21bd79101a53f530526f8a2e0a21d.jpg" alt="" width="960" height="641" /><figcaption> (CREDIT PICTURE: forbes.com)</figcaption></figure>

ทั้งนี้ในช่วง 18 เดือนที่ผ่านมา Intel ได้ตกเซ็นสัญญาความร่วมกับ BMW และ Delphi Automotive ผู้จำหน่ายชิ้นส่วนยานยนต์ เพื่อขยายความร่วมมือเรากัน โดยมีสัดส่วนความร่วมมือที่ 15 เปอร์เซ็นต์ โดยค่ายผู้ผลิตจากเยอรมันเป็นผู้กำหนดแผนร่างธุรกิจดิจิทัลด้วยตนเองและเมื่อปลายปีที่ผ่านมาได้ลงทุนเงินจำนวน 250 ล้านเหรียญสหรัฐ ในกลุ่มสตาร์ทอัพเพื่อค้นคว้าพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีไร้ขับคนขับอีกทางหนึ่ง

สำหรับ Mobileye นั้นก่อตั้งที่ Jerusalem เมื่อปี 2542 บริษัทเคยร่วมการพัฒนากับค่ายผู้ผลิตรถยนต์ 2-3 แห่ง หนึ่งในนั้นคือ Audi ร่วมพัฒนาเทคโนโลยีด้านมุมมองภาพและกล้อง เพื่อช่วยการทำงานของเครื่องยนต์และเอื้อต่อการตอบสนองของผู้ขับขี่สะดวกสบายยิ่งขึ้น

จากการร่วมมือ 3 ฝ่ายที่เกิดขึ้นจาก Intel, Mobileye และ BMW พวกเขาพยายามอย่างยิ่งที่ผลักดัน รถยนต์ที่ขับเคลื่อนได้เองอย่างอิสระสู่ท้องถนนในปี 2021 และเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่าน Intel ประกาศเพิ่มเติมถึงการผลิตรถยนต์ดังกล่าวมีมากกว่า 40 คัน เพื่อทำการทดสอบบนท้องถนนในอเมริกาและยุโรป ทั้งนี้ปลายที่ 2017 เราเริ่มได้เห็นเทคโนโลยีเหล่านี้เปิดตัวมากขึ้น

ทั้งนี้ความร่วมกันระหว่าง Intel และ Mobileye เริ่มต้นเจรจาตั้งแต่ปลายเดือนธันวาคมปีที่ผ่านมา ที่นิวยอร์ค และเมื่อบรรลุข้อตกลง กลุ่มผู้บริหารของ Mobileye ยังคงทำหน้าบริหารบริษัทต่อไป

“การซื้อกิจการครั้งนี้ส่งให้อินเทลเทียบชั้นสู่อันดับต้นในอุตสาหกรรมยานยนต์เลยทีเดียว” Martin Birkner นักวิเคราะห์ด้านยานยนต์จาก Gartner บริษัทค้นคว้าวิจัยทางเทคโนโลยีจากเมือง Munich กล่าวและเสริมว่า “ตอนนี้อุตสาหกรรมยานยนต์กำลังก้าวไปสู่การอิสระในการโดยสารจากการขับขี่ และปัจจัยจากอินเทลจะยิ่งส่งในการเกิดพัฒนาถีบตัวเพิ่มสูงขึ้น”

ทั้งนี้จากการซื้อกิจการที่เกิดขึ้น Intel ได้ซื้อหุ้นที่ราคา 63.54 เหรียญฯต่อหน่วยและถือเป็นสัดส่วน 34 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งการเจรจาจะแล้วเสร็จในวันศุกร์ที่จะถึงนี้ และในสัดส่วนการถือครองหุ้นของผู้ถือหุ้นน่าจะจบและสิ้นกระบวนการในปลายปีนี้

<figure><img style="width: 680px; height: 453px;" src="http://forbesthailand.com/uploads/library/a9f7836d720cc7e9961536f585ad5abd.jpg" alt="" width="930" height="620" /><figcaption> (Amnon Shashua (ซ้าย) credit Picture:Mobileye)</figcaption></figure>

ส่วนสำคัญจากความสำเร็จของ Mobileye เกิดขึ้นโดย Amnon Shashua ผู้ร่วมก่อตั้ง Mobileye และหัวหน้าทีมเทคโนโลยีของบริษัท ทั้งยังจบปริญญาเอกด้าน brain and cognitive sciences จาก Massachusetts Institute of Technology หรือ MIT

Shashua นั้นได้วางภาพให้ Mobileye เป็นระบบการช่วยเหลือผู้ขับขี่จากการสะสมข้อมูลด้านเส้นทางและภาพสถานที่เขาเรียกว่า RoadBook ที่บรรจุไปด้วยเส้นทางการเดินทางแบบดิจิทัลและถนนหนทางภายใน สหรัฐและยุโรป เพื่อสร้างผลิตภัณฑ์ที่ให้บริการแห่งโลกดิจิทัลด้วยตัวมันเอง

“การร่วมมือจะเกิดขึ้นไม่ได้ถ้าเรายังเป็นสองบริษัท” Shashua กล่าวและทิ้งท้ายว่า “และความร่วมมือนั้นได้เกิดขึ้นได้ลงลึกในรายละเอียดเรียบร้อยแล้ว”

&nbsp;

เรียบเรียงจาก: www.bostonglobe.com/business/

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events