<h2>กลุ่มดุสิตธานี เดินหน้าขยายธุรกิจในไทยอย่างต่อเนื่อง เปิดตัวโรงแรมดุสิตปริ๊นเซส พัทลุง ซึ่งเป็นโรงแรมภายใต้แบรนด์ดุสิตลำดับที่ 15 ในประเทศไทย และเป็นโรงแรมแรกในเครือฯ ภายใต้แบรนด์ “ดุสิต ปริ๊นเซส” ที่เปิดให้บริการในภาคใต้ </h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;มร. จิลล์ เครตัลเลช ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่กำลังขยายตัวในภาคใต้ของประเทศไทย ประกอบกับการเกิดขึ้นของสถานที่ท่องเที่ยว และศูนย์กลางธุรกิจใหม่ๆ ถือเป็นโอกาสอันเหมาะสมสำหรับ 'กลุ่มดุสิตธานี' ในการขยายการดำเนินงานในภูมิภาคนี้ พร้อมเปิดประตูให้ผู้เข้าพักได้รู้จักกับสิ่งมหัศจรรย์ทางธรรมชาติ อาหาร และวัฒนธรรมของจังหวัดพัทลุง&nbsp; โดยโรงแรม 'ดุสิตปริ๊นเซส พัทลุง' พร้อมต้อนรับผู้มาเยือนอย่างอบอุ่น ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของกลุ่มดุสิตธานี และพร้อมที่จะอำนวยความสะดวกให้กับแขกผู้เข้าพักในระดับพรีเมี่ยม&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“เรามุ่งมั่นที่จะผลักดันให้ความเป็น 'รีสอร์ทใจกลางเมือง' ของโรงแรมดุสิตปริ๊นเซส พัทลุง เป็นตัวเลือกลำดับต้น ๆ สำหรับประชุมสัมมนา และเป็นที่รวมตัวของสมาชิกทุกคนในครอบครัว นอกจากนี้ เรายังมีเป้าหมายในการมีส่วนร่วมกับชุมชนท้องถิ่นเพื่อสร้างการเติบโตของจังหวัดพัทลุงอย่างยั่งยืน เพื่อให้จังหวัดทางใต้แห่งนี้เป็นจุดหมายปลายทางในฝันของนักเดินทาง&nbsp; ที่ออกเดินทางตามหาความสวยงามในแบบที่ไม่เหมือนใคร”&nbsp;ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ&nbsp;บมจ.ดุสิตธานีกล่าว ​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false" style="min-width: 100%; width: 50%;"><figure style="margin: auto; width: 50%;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/01/GMbdvfmPjUHa3BSTX6ut.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-index="0" data-file-name="GMbdvfmPjUHa3BSTX6ut.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="50%," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="50," style="width: 100%;"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ 'ดุสิตปริ๊นเซส พัทลุง' เป็นโรงแรมภายใต้แบรนด์ดุสิตลำดับที่ 15 ในประเทศไทย และเป็นโรงแรมแรกภายใต้แบรนด์ 'ดุสิตปริ๊นเซส' ที่เปิดให้บริการในภาคใต้ ด้วยมาตรฐานโรงแรมระดับ 4 ดาวภายใต้ธีม "รีสอร์ทใจกลางเมือง" (resort-in-the-city) ประกอบด้วย ห้องพักและห้องสวีททั้งหมด 132 ห้อง และมีพื้นที่ให้ใช้สอยในห้องพักมากสุดถึง 79 ตร.ม. ยกระดับการพักผ่อนในจังหวัดพัทลุงให้มีมาตรฐานระดับสากล เนื่องจากพัทลุงกำลังเป็นจุดหมายปลายทางของทั้งนักท่องเที่ยวไทยและต่างประเทศ ที่ต้องการค้นหามรดกทางวัฒนธรรม และธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์ ขณะที่การเดินทางสะดวกสบายเนื่องจากตั้งอยู่ห่างจากท่าอากาศยานตรังเพียงแค่ 1 ชั่วโมงโดยรถยนต์ หรือ 1.5&nbsp; ชั่วโมงจากท่าอากาศยานนานาชาติหาดใหญ่​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/01/68fddo3pcUYFS8xeXA5S.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-index="1" data-file-name="68fddo3pcUYFS8xeXA5S.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style=""></figure></div>​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/01/C2u3DYFHNM4BC4d2GD73.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-index="5" data-file-name="C2u3DYFHNM4BC4d2GD73.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style=""></figure></div> &nbsp; &nbsp; ความโดดเด่นของโรงแรมที่เห็นได้ชัดคือการออกแบบภูมิสถาปัตย์ ที่ให้ความร่มรื่น กว้างขวาง อีกทั้งยังมีบึงน้ำที่สร้างบรรยากาศอันเป็นส่วนตัว&nbsp; พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกอีกมากมายที่เหมาะกับการประชุม สัมมนา หรือพักผ่อนแบบครอบครัว อาทิ สระว่ายน้ำขนาดใหญ่ที่มีโซนสำหรับเด็กโดยเฉพาะ รวมถึงลานกิจกรรมที่จะมีการนำเสนอผลงานหัตถกรรมพื้นบ้านจากช่างท้องถิ่นอยู่เสมอ เชื่อมโยงกับงานทอมือจากต้นธูปฤาษีหรือที่รู้จักกันอีกชื่อว่า 'กระจูด' ซึ่งจะประดับตกแต่งอยู่ทั้งในห้องพักและส่วนต่างๆ ของโรงแรมอย่างประณีตบรรจง โรงแรมยังมีห้องบอลรูมที่ทันสมัยสำหรับจัดงานเลี้ยง ซึ่งรองรับแขกได้มากถึง 300 คน&nbsp;​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/01/KWVtGNQtdxQbNvL4gQLD.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-index="4" data-file-name="KWVtGNQtdxQbNvL4gQLD.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style=""></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับบริการด้านอาหารและเครื่องดื่มของ โรงแรมดุสิตปริ๊นเซส พัทลุง ภูมิใจนำเสนอนั้น ก็ยังคงเชื่อมโยงกลับไปที่รากฐานทางวัฒนธรรมอันยาวนาน แสดงถึงความเคารพต่อภูมิภาคนิยม โดย ห้องอาหารฉีเชี้ยว (Chi Chiao) พร้อมเสิร์ฟอาหารท้องถิ่นผ่านการตีความจากอาหารพื้นเมืองของพัทลุงที่ผสมรวมแบบพหุวัฒนธรรมอย่างไทยและจีน ออกมาเป็นความอร่อยที่หลายคนคิดถึง อาทิ ก๋วยเตี๋ยวราดหน้าปลากระพงกรอบ, ข้าวมันไก่สิงคโปร์ และบักกุ๊ดเต๋หม้อดินซี่โครงหมู ขณะที่ห้องอาหารซิกเนเจอร์ในเครือโรงแรมดุสิตอย่าง ดุสิตกูร์เมต์ (Dusit Gourmet) ซึ่งพร้อมให้บริการที่ ดุสิตปริ๊นเซส พัทลุง จะนำเสนอชาและกาแฟระดับพรีเมียม น้ำผลไม้และสมูธตี้สร้างความสดชื่น ขนมอบสดใหม่ทุกวัน และอาหารนานาชาติอีกมากมาย&nbsp; <div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/01/YnhAPHL4TR579juubuC6.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-index="3" data-file-name="YnhAPHL4TR579juubuC6.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style=""></figure></div>​&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ปัจจุบันธุรกิจของกลุ่มดุสิตธานีดำเนินกิจการครอบคลุมถึง 19 ประเทศ ประกอบด้วยโรงแรมทั้งหมด 56 แห่ง ภายใต้ ดุสิต โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท และมีวิลล่าระดับลักซ์ชูรีอีก 240 หลัง ภายใต้แบรนด์ อีลิธ ฮาเวนส์ (Elite Havens) โดยยังมีโรงแรมอีกกว่า 60 แห่งที่กำลังพัฒนาโครงการอยู่ทั่วโลก&nbsp; เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;‘ภูเก็ต’ ทำเลฮอตบ้านพักตากอากาศหรู ดีมานด์ทะลัก ทั้งอยู่เองและลงทุน <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

'กลุ่มดุสิตธานี' ขยายธุรกิจในไทยต่อเนื่อง เปิดตัวโรงแรม 'ดุสิตปริ๊นเซส พัทลุง' แห่งแรกในภาคใต้

<h2>ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธอส. เผยสถิติอสังหาฯภาคใต้ปี 2559 ยังดูดซับซัพพลายเดิม โอนกรรมสิทธิ์ลดลง ชะลอเปิดตัวใหม่ ด้านสต๊อกเหลือขายคอนโดฯภูเก็ต-สงขลาลดลงจากปี’58 ธอส.ประเมินผู้ประกอบการรอจังหวะลงทุน แนะพัฒนาสินค้าให้เหมาะกับพื้นที่</h2>
วิชัย วิรัตกพันธ์ รักษาการผู้อำนวยการ ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) หรือ REIC เปิดเผยข้อมูลจาก การสำรวจอสังหาริมทรัพย์ในพื้นที่ภาคใต้ จังหวัดภูเก็ต สงขลา สุราษฎร์ธานี และนครศรีธรรมราช ในช่วงปี 2559 พบว่า โดยภาพรวมภาคใต้มีการโอนกรรมสิทธิ์ลดลงทั้งในแง่จำนวนยูนิตและมูลค่า ยกเว้นจังหวัดนครศรีธรรมราช ดังนี้
<ul>
 	<li>จังหวัดภูเก็ต มีการโอนกรรมสิทธิ์ 6,333 ยูนิต ลดลง 17.8% คิดเป็นมูลค่า 17,858 ล้านบาท ลดลง 12.1%</li>
 	<li>จังหวัดสงขลา มีการโอนกรรมสิทธิ์ 5,958 ยูนิต ลดลง 8.9% คิดเป็นมูลค่า 9,494 ล้านบาท ลดลง 4.2%</li>
 	<li>จังหวัดสุราษฎร์ธานี มีการโอนกรรมสิทธิ์ 3,768 ยูนิต ลดลง 19.5% คิดเป็นมูลค่า 7,355 ล้านบาท ลดลง 16.4%</li>
 	<li>จังหวัดนครศรีธรรมราช มีการโอนกรรมสิทธิ์ 3,011 ยูนิต เพิ่มขึ้น 64.9% คิดเป็นมูลค่า 4,340 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 61.0%</li>
</ul>
<figure><img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/7d9183f12ca2e87e8f57e7120299fd9e.png" alt="" width="680" height="510" /><figcaption> วิชัย วิรัตกพันธ์ รักษาการผู้อำนวยการ ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) หรือ REIC</figcaption></figure>

ทั้งนี้ วิชัยกล่าวว่า จังหวัดนครศรีธรรมราชมีการเติบโตสูงเกิดจากการเติบโตฐานต่ำ ต่างจากจังหวัดอื่นๆ เช่น ภูเก็ตและสงขลาที่เป็นตลาดใหญ่ของภาคใต้ ในภาพรวมแล้วการโอนอสังหาฯภาคใต้หดตัวลง ส่วนหนึ่งเกิดจากความเข้มงวดอนุมัติสินเชื่อบ้านของสถาบันการเงินซึ่งเกิดขึ้นทั่วประเทศในปีที่ผ่านมา ทำให้ความสามารถในการซื้อของผู้บริโภคลดลงแม้จะมีความต้องการบ้านอยู่ก็ตาม

ด้านการเปิดตัวโครงการใหม่ยังไม่สูงมาก พิจารณาจากสถิติการออกใบอนุญาตจัดสรรที่ดินของภาคใต้ทั้งหมดปี 2559 มี 1,110 หน่วย ซึ่งลดลง 74% จากปี’58 ขณะที่การออกใบอนุญาตก่อสร้างโครงการแนวราบปี’59 มี 28,150 หน่วย ลดลง 9% จากปี’58 อย่างไรก็ตาม การออกใบอนุญาตก่อสร้างโครงการแนวสูงปี’59 ปรับขึ้นเป็น 5,343 หน่วย เพิ่มขึ้น 17% แต่ยังต่ำกว่าในช่วงปี’55-56 ที่อสังหาฯภาคใต้เติบโตสูงทำให้มีการขออนุญาตก่อสร้างคอนโดมิเนียมประมาณปีละ 8,000-8,500 หน่วย

&nbsp;
<h2>สต๊อกคอนโดฯภูเก็ต-สงขลาลดลง</h2>
ข้อมูลจาก REIC ยังเสนอสถิติโครงการระหว่างขายและจำนวนหน่วยเหลือขายรวมทั้งที่อยู่ระหว่างสร้างและก่อสร้างเสร็จของภาคใต้ปี 2559 ดังนี้

1.จังหวัดภูเก็ต

- มีโครงการระหว่างขายทั้งหมด 155 โครงการ รวม 30,365 หน่วย แบ่งเป็นบ้านจัดสรร 13,246 หน่วย และคอนโดฯ 16,311 หน่วย
- เหลือขายทั้งหมด 6,094 หน่วย แบ่งเป็นบ้านจัดสรร 2,984 หน่วย คิดเป็น 22.5% ของจำนวนหน่วยระหว่างขาย และคอนโดฯ 3,110 หน่วย คิดเป็น 19% ทั้งนี้ หน่วยคอนโดฯเหลือขายลดลงจากเมื่อเดือนต.ค. 2558 ที่มี 4,300 หน่วย
- อัตราดูดซับเฉลี่ย 6.6% ต่อเดือน

<figure><img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/11ba2d75ad6d99785c49eaeb6dbd67dd.png" alt="" width="680" height="454" /><figcaption> คอนโดมิเนียม บ้านไม้ขาว จ.ภูเก็ต พัฒนาโดย บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน)</figcaption></figure>

2.จังหวัดสงขลา
- มีโครงการระหว่างขายทั้งหมด 161 โครงการ รวม 14,227 หน่วย แบ่งเป็นบ้านจัดสรร 9,367 หน่วย และคอนโดฯ 4,860 หน่วย
- เหลือขายทั้งหมด 4,046 หน่วย แบ่งเป็นบ้านจัดสรร 3,217 หน่วย คิดเป็น 34.3% และคอนโดฯ 829 หน่วย คิดเป็น 17% ทั้งนี้ หน่วยคอนโดฯเหลือขายลดลงจากเมื่อเดือนต.ค. 2558 ที่มี 1,100 หน่วย
- อัตราดูดซับเฉลี่ย 4.5% ต่อเดือน

3.จังหวัดสุราษฎร์ธานี

- มีโครงการระหว่างขายทั้งหมด 95 โครงการ รวม 7,567 หน่วย แบ่งเป็นบ้านจัดสรร 5,845 หน่วย และคอนโดฯ 1,722 หน่วย
- เหลือขายทั้งหมด 2,308 หน่วย แบ่งเป็นบ้านจัดสรร 1,943 หน่วย คิดเป็น 33.2% และคอนโดฯ 365 หน่วย คิดเป็น 21.2%
- อัตราดูดซับเฉลี่ย 4.9% ต่อเดือน

4.จังหวัดนครศรีธรรมราช

- มีโครงการระหว่างขายทั้งหมด 39 โครงการ รวม 4,934 หน่วย แบ่งเป็นบ้านจัดสรร 4,549 หน่วย และคอนโดฯ 385 หน่วย
- เหลือขายทั้งหมด 1,325 หน่วย แบ่งเป็นบ้านจัดสรร 1,085 หน่วย คิดเป็น 23.9% และคอนโดฯ 240 หน่วย คิดเป็น 62.3%
- อัตราดูดซับเฉลี่ย 5.0% ต่อเดือน

<figure><img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/0fb0225ca37b7802b0b0593b713be583.png" alt="" width="680" height="432" /><figcaption> คอนโดมิเนียม ศุภาลัย วิสต้า ภูเก็ต พัฒนาโดย บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน)</figcaption></figure>

ซึ่งวิชัยกล่าวว่า ภาพรวมอสังหาฯภาคใต้ยังขายได้ต่อเนื่อง จากอัตราการดูดซับในระดับเฉลี่ย 5% ต่อเดือน ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ปานกลาง เพราะปกติแล้วหากอยู่ในสภาพการณ์หดตัว อัตราดูดซับจะอยู่ในระดับต่ำกว่า 2% ต่อเดือน ดังนั้นถ้าหากไม่มีซัพพลายใหม่เพิ่มขึ้น อัตราดูดซับในระดับเฉลี่ย 5% ต่อเดือนจะใช้เวลาในการขายซัพพลายเหลือขายประมาณไม่เกิน 20 เดือน

อย่างไรก็ตาม การลงทุนใหม่จะต้องศึกษาจังหวะที่ดี โดยดูจากเมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัว มีการลงทุนใหม่ด้านโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ มีแนวโน้มการเติบโตของภาคท่องเที่ยว และราคาผลผลิตยางพาราและปาล์มน้ำมันมีแนวโน้มเป็นขาขึ้น ซึ่งราคาพืชผลนั้นเป็นปัจจัยสำคัญยิ่งต่อการตัดสินใจซื้ออสังหาฯของชาวใต้ นอกจากนี้ผู้ประกอบการควรลงทุนพัฒนาสินค้าให้เหมาะสมกับความต้องการของพื้นที่ อาทิ จังหวัดสุราษฎร์ธานีและนครศรีธรรมราช การพัฒนาคอนโดฯอาจไม่เหมาะสมกับตลาดนี้ซึ่งผู้บริโภคต้องการโครงการแนวราบมากกว่า

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events