XM_Banner_NOV_2024

<h2>ไทวัสดุ เดินหน้ากลยุทธ์ป่าล้อมเมือง ทุ่ม 480 ล้านบาท รุกขยายสาขาใหม่ต่อเนื่องเป็นอันดับที่ 83 เพื่อรองรับการขยายตัว EEC โดยสาขาดังกล่าวตั้งอยู่บนทำเลศักยภาพซึ่งเป็นถนนทางหลวงสายหลัก อ.แกลง และยังถือเป็นสาขาแห่งที่ 3 ของจ.ระยอง ต่อจากสาขาที่ตั้งอยู่ในอำเภอบ้านฉางและตัวเมือง </h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ไทวัสดุ ธุรกิจค้าปลีกวัสดุก่อสร้างและสินค้าตกแต่งบ้าน ภายใต้บริษัท ซีอาร์ซี ไทวัสดุ จำกัด ในเครือเซ็นทรัล รีเทล รุกขยายสาขาต่อเนื่องเพื่อตอบโจทย์ลูกค้าที่ครอบคลุมทุกพื้นที่ โดยล่าสุดปักหมุดล้อมเมืองระยอง ด้วยงบลงทุน 480 ล้านบาท&nbsp;กับการเปิดสาขาใหม่อันดับที่ 83 ของประเทศ “ไทวัสดุ สาขาแกลง”&nbsp; และนับเป็นร้านไทวัสดุสาขาที่ 3 ของจังหวัด ต่อจากสาขาบ้านฉาง และสาขาระยอง เพื่อตอบรับทุกดีมานด์ ทั้งการขยายตัวทางเศรษฐกิจ การเติบโตของนิคมอุตสาหกรรม และกำลังซื้อของจังหวัดระยองที่มี GDP และ GPP&nbsp; สูงที่สุดติดต่อกันนับสิบปี&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดยสาขาดังกล่าวยังอยู่ในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งมีมูลค่าอุตสาหกรรรมของจังหวัดระยอง ที่มีสัดส่วนมากถึง 15.8% ของอุตสาหกรรมทั้งประเทศ และเป็นที่ตั้งของนิคมอุตสาหกรรมชั้นนำหลายแห่ง นอกจากนี้ การเปิด “ไทวัสดุ สาขาแกลง” ยังมีจุดเด่นคือทำเลศักยภาพซึ่งตั้งอยู่บนทางหลวงสายหลัก ริมถนนสุขุมวิท ตำบลทุ่งควายกิน อำเภอแกลง จังหวัดระยอง บนพื้นที่ให้บริการมากกว่า 15,500 ตร.ม. พร้อมด้วยทัพสินค้าวัสดุก่อสร้าง เครื่องมือช่าง อุปกรณ์ระบบไฟฟ้า ระบบประปา เครื่องใช้ไฟฟ้า สินค้าตกแต่งบ้าน และไลน์สินค้าอีกมากมายกว่า 40,000 รายการ ทั้งนี้ในพิธีเปิด “ไทวัสดุ สาขาแกลง” ได้รับเกียรติจาก นางสาวสลารีวรรณ ทัพทวี&nbsp; รองผู้ว่าราชการจังหวัดระยอง ร่วมเป็นประธานเปิดงาน พร้อมด้วยผู้บริหารจากหน่วยงานราชการและเอกชนมาร่วมแสดงความยินดี <div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/06/z591cYvuMcKwVv23fax3.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="z591cYvuMcKwVv23fax3.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0"></figure></div>​ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สุทธิสาร จิราธิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซีอาร์ซี ไทวัสดุ จำกัด ในเครือ เซ็นทรัล รีเทล เผยว่า การเปิดไทวัสดุ สาขาแกลง จะเป็นการขยายฐานลูกค้าที่มีจำนวนประชากรมากกว่า 129,000 คนในพื้นที่อำเภอแกลง จังหวัดระยอง ซึ่งสอดคล้องกับการเติบโตในภาคเศรษฐกิจ อุตสาหกรรม และอสังหาริมทรัพย์ในจังหวัดโดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากโครงการ EEC ที่มีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เส้นทางคมนาคมขนส่ง นิคมอุตสาหกรรม การลงทุนธุรกิจใหม่ในพื้นที่ของบริษัทต่าง ๆ รวมถึงการเพิ่มขึ้นของประชากรทั้งชาวไทย ชาวต่างประเทศที่เข้ามาอยู่อาศัยหนาแน่นขึ้น จึงทำให้ความต้องการด้านบ้านพักอยู่อาศัย อาคารห้องชุด อาคารพาณิชย์ และโรงแรม รีสอร์ทต่างๆ มีแนวโน้มสูงมากขึ้นตามไปด้วย ซึ่ง“ไทวัสดุ สาขาแกลง” จะสามารถรองรับดีมานด์ตลาดสินค้าวัสดุก่อสร้าง และสินค้าตกแต่งซ่อมแซมบ้าน ในกลุ่มลูกค้าทุกขนาด ไม่ว่าจะเป็นผู้ประกอบการขนาดเล็กถึงขนาดใหญ่ ช่างรับเหมา ช่างก่อสร้าง และลูกค้ารายย่อยทั่วไป พร้อมเติมเต็มทุกมิติเรื่องงานก่อสร้างและตกแต่ง ซ่อมแซ่มบ้านให้กับชาวเมืองแกลงและพื้นที่ใกล้เคียงในจังหวัดระยองได้เป็นอย่างดี <div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/06/uUn4PW9Zrcq7WYT58ZU6.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="uUn4PW9Zrcq7WYT58ZU6.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="1"></figure></div>​ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ สุทธิสาร ยังกล่าวเพิ่มเติมว่า ซีอาร์ซี ไทวัสดุ ได้วางกลยุทธ์เพื่อเสริมความโดดเด่นไทวัสดุ สาขาแกลง 4 ด้าน เพื่อก้าวสู่เป้าหมายการเป็นผู้นำโมเดิร์นเทรดธุรกิจค้าปลีกวัสดุก่อสร้างที่มีศักยภาพสูงสุดในภูมิภาคตะวันออกดังนี้1. ตรงทุกความต้องการ ‘ไทวัสดุ สาขาแกลง’ เป็นโมเดิร์นเทรดที่รวมสินค้าวัสดุก่อสร้างและตกแต่งบ้านครบวงจรสาขาที่ 3 ของจังหวัดระยอง ครอบคลุมทั้งวัสดุก่อสร้าง อุปกรณ์ไฟฟ้า อุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ เครื่องมือช่าง กระเบื้อง สีและเคมีภัณฑ์ ปั้มน้ำ อุปกรณ์สุขภัณฑ์ เฟอร์นิเจอร์ รวมถึงไลน์สินค้าอื่นๆ จากแบรนด์ชั้นนำมากถึง 40,000 รายการ พร้อมโปรโมชั่นและส่วนลดพิเศษสุดคุ้มมากมาย เพื่อตอบโจทย์ทุกความต้องการของลูกค้าผู้รับเหมา ผู้ประกอบการ นายช่าง และลูกค้าทั่วไปที่อยากจะตกแต่ง ซ่อมแซมบ้าน ได้อย่างสะดวกสบาย ได้ของครบถูกใจและคุ้มค่ามากที่สุด2. ตรงทุกเป้าการเติบโต พื้นที่อำเภอแกลงเป็นหัวเมืองที่สำคัญของจังหวัดระยอง ด้วยความหลากหลายของสภาพภูมิศาสตร์ จึงทำให้มีความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านเกษตรกรรมที่มีพืชและผลไม้เศรษฐกิจเช่น ยางพารา ทุเรียน เงาะ มังคุด ลองกอง เป็นต้น&nbsp; ด้านการท่องเที่ยวเช่น ชายหาดแหลมแม่พิมพ์ อ่าวไข่ ทุ่งโปรงทอง จุดชมวิวแหลมสน รวมถึงการลงทุนด้านอุตสาหกรรมและอสังหาริมทรัพย์ ซึ่ง “ไทวัสดุ สาขาแกลง” จะมีส่วนช่วยการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและการขยายตัวของเมืองแกลงมากขึ้น อีกทั้งเกิดการจ้างงานคนในพื้นที่ได้มากถึง 200 อัตรา ทำให้เกิดการกระจายรายได้หมุนเวียนในพื้นที่มากขึ้น3. ตรงและเข้าถึงทุกรอยต่อ ไทวัสดุ สาขาแกลง ตั้งอยู่ริมถนนสุขุมวิท ซึ่งเป็นทางหลวงและเส้นทางคมนาคมสายสำคัญของจังหวัดระยองที่เชื่อมต่อจากกรุงเทพไปยังจังหวัดต่างๆในภาคตะวันออก ได้แก่ ชลบุรี จันทบุรี ตราด และเส้นทางสายใหม่จากโครงการพัฒนาภาคตะวันออกหรืออีอีซี สามารถเชื่อมระยะทางจากกรุงเทพถึงอำเภอแกลงเพียง 170 กิโลเมตร นอกจากนี้ยังเชื่อมต่อกับเส้นทางไปท่าอากาศยานนานาชาติอู่ตะเภา และเส้นทางรถไฟสายตะวันออก กับเส้นทางรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน (ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา) ที่อยู่ในระหว่างการก่อสร้าง จึงทำให้ไทวัสดุ สาขาแกลง เป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญในการรองรับกำลังซื้อของลูกค้าได้ทุกกลุ่มในอำเภอแกลงและพื้นที่ใกล้เคียงจังหวัดระยอง4. ตรงใจทุกประสบการณ์ช้อป ไทวัสดุ สาขาแกลง จะเป็นโมเดิร์นเทรดที่มอบประสบการณ์ในการเลือกซื้อสินค้าวัสดุก่อสร้าง อุปกรณ์ระบบไฟฟ้า ระบบประปา เครื่องกรองน้ำ เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องมือช่าง สุขภัณฑ์ เฟอร์นิเจอร์ สินค้าตกแต่งบ้าน และไลน์สินค้าอีกมากมายกว่า 40,000 รายการ ในพื้นที่สโตร์ที่ทันสมัย กว้างขวาง พร้อมด้วยห้อง Construction Showroom โดยไทวัสดุเป็นเจ้าแรกที่ได้มีการจัดดิสเพลย์ตัวอย่างวัสดุและสินค้าจริงกว่า 5,000 รายการ อาทิ กระเบื้องหลังคาบ้าน เหล็กรูปพรรณ อุปกรณ์นั่งร้าน ฯลฯ พร้อมด้วยการให้บริการจากพนักงานที่เชี่ยวชาญ สามารถให้คำปรึกษาและคำแนะนำแก่ลูกค้า นอกจากนี้ยังเพิ่มช่องทางช้อปปิ้งแบบออนไลน์ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อความสะดวกสบาย ง่ายและรวดเร็วมากขึ้น ด้วยบริการสั่งซื้อสินค้าผ่านเว็บไซต์ www.thaiwatsadu.com ที่เปิดให้บริการอย่างเต็มรูปแบบ รวมถึงบริการ Chat &amp; Shop ผ่าน Line @Thaiwatsadu และสั่งซื้อผ่าน Call Center 1308&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับ ซีอาร์ซี ไทวัสดุ ณ ปัจจุบัน มีสาขาครอบคลุมทั่วทุกภูมิภาค รวมแล้ว 48 จังหวัด โดยในปี 2567 นี้ ได้เปิดตัวสาขาใหม่แล้วทั้งสิ้น 3 สาขา ได้แก่ 1. ไทวัสดุ x บีเอ็นบี โฮม สาขาอุดรธานี กุดสระ 2. ไทวัสดุ สาขาอรัญประเทศ 3. ไทวัสดุ สาขาสระแก้ว โดย ไทวัสดุ สาขาแกลง จะเป็นสาขาที่ 4 ของปีนี้ อีกทั้งนับเป็นสาขาที่ 83 ของประเทศ และยังมีแผนเปิดสาขาอื่น ๆ อย่างต่อเนื่องตลอดปี 2567 เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ&nbsp;:&nbsp;<a href="https://forbesthailand.com/news/marketing/thai-watsadu-invests-500-million-baht-branch-81-aranyaprathet" alt="ไทวัสดุ ทุ่มงบ 500 ล้าน ปักหมุดสาขาที่ 81 ‘อรัญประเทศ’ รุกตลาดการค้าชายแดนและประเทศเพื่อนบ้าน">ไทวัสดุ ทุ่มงบ 500 ล้าน ปักหมุดสาขาที่ 81 ‘อรัญประเทศ’ รุกตลาดการค้าชายแดนและประเทศเพื่อนบ้าน</a>​ <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

ไทวัสดุ เดินหน้ากลยุทธ์ป่าล้อมเมือง เปิดใหม่สาขา 3 อำเภอ 'แกลง' จ.ระยอง รองรับการขยายตัว EEC

<h2>โอกาสของอุตสาหกรรมวัสดุก่อสร้างรับอานิสงส์กำลังซื้อในประเทศฟื้น ช่วยปรับลดอุณหภูมิการแข่งขันในสมรภูมิโมเดิร์นเทรด เล็งติดอาวุธขยายสาขาแบบดาวกระจายทุกพื้นที่ พร้อมเสริมทัพธุรกิจแกร่ง</h2>
ภาพรวมอุตสาหกรรมวัสดุก่อสร้างที่มีแนวโน้มการเติบโตเพิ่มสูงตามเศรษฐกิจและกำลังซื้อของผู้บริโภคในประเทศนับตั้งแต่ช่วงปีที่ผ่านมา ทำให้นักวิเคราะห์ต่างส่งสัญญาณเชิงบวกให้ธุรกิจค้าปลีกวัสดุก่อสร้าง ซึ่งได้รับอานิสงส์การฟื้นตัวจากช่วงโลว์ซีซั่นสู่ผลกำไรต่อเนื่องในช่วง 3-5 ปีข้างหน้า

นักวิเคราะห์ของ บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ให้ความเห็นว่า “จีดีพีของไทยในปี 2561 จะขยายตัว 4.8% หรือสูงกว่าประมาณการเติบโตจีดีพีปี 2560 ที่ 4% และการบริโภคในประเทศคาดว่าจะเติบโต 3.8% จากที่คาดว่าจะเติบโต 3.2% ในปี 2560 ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (CCI) ฟื้นตัวตั้งแต่เดือนกรกฎาคมเป็น 65.2 ในเดือนพฤศจิกายน และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งหมายความว่าการจับจ่ายใช้สอยน่าจะเร่งตัวขึ้นอีก”

สำหรับแนวโน้มการเติบโตของวัสดุก่อสร้างจะได้รับปัจจัยหนุนจากโครงการภาครัฐ ซึ่งช่วยกระตุ้นการลงทุนและการก่อสร้างให้ขยายตัว โดยเฉพาะงานโครงสร้างพื้นฐาน เช่น รถไฟฟ้าสายสีม่วง รถไฟฟ้าสายสีส้ม ทางด่วนพระราม 3 และรถไฟรางคู่เฟส 2 เป็นต้น รวมถึงการขยายตัวของกำลังซื้อที่จะเป็นแรงผลักดันให้กลุ่มครัวเรือนใช้จ่ายเกี่ยวกับการสร้างบ้าน การซ่อมแซมบ้าน และการซ่อมแซมสำนักงานมากขึ้น

<img class="alignnone size-full wp-image-9427" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/06/78.1.png" alt="" width="680" height="456" />

ขณะที่กลุ่มค้าปลีกวัสดุก่อสร้างจะเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่ได้รับผลประโยชน์โดยตรง ท่ามกลางทางเลือกโมเดิร์นเทรดจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็น ไทวัสดุ ดูโฮม เมกาโฮม บุญถาวร

แต่ บริษัท สยามโกลบอลเฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ GLOBAL ยังคงเป็นผู้เล่นที่โดดเด่นและสามารถสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน โดยเฉพาะผู้บริโภคในพื้นที่ต่างจังหวัด จากกลยุทธ์การขยายสาขาในต่างจังหวัดอย่างต่อเนื่อง ด้วยแผนการลงทุนเปิดสาขาเพิ่ม 6-8 สาขาต่อปีจาก 55 สาขา ณ สิ้นปี 2560 รวมถึงลักษณะร้านค้าวัสดุก่อสร้างแบบครบวงจรของ GLOBAL ที่มีความแตกต่างจากร้านค้าในรูปแบบดั้งเดิม ไม่ว่าจะเป็น ด้านการบริหารต้นทุน ความหลากหลายของสินค้า การส่งเสริมการขายอย่างต่อเนื่อง และฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง ทำให้บริษัทสามารถเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคและเพิ่มความสามารถในการแข่งขันได้

<figure><img class="wp-image-9428 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/06/78.2.png" alt="" width="680" height="449" /><figcaption> คาดการณ์รายได้ GLOBAL โดย KGI</figcaption></figure>

“เรามองว่ายอดขายบริษัทปี 2561 จะเติบโตที่ 14% จาก Same Store Sale Growth (SSSG) ที่จะกลับมาเป็นบวก และการขยายสาขาอีก 6 สาขา ซึ่งการขยายสาขาของบริษัทน่าจะอยู่ในช่วง aggressive ไปอีก 2-3 ปี จากการเติบโตของตลาดวัสดุก่อสร้าง และเพิ่มความสามารถในการแข่งขันกับคู่แข่ง”

นอกจากนี้ เคจีไอยังคาดการณ์กำไรปี 2561 ของ GLOBAL อยู่ที่ 1.98 พันล้านบาท เติบโตที่ 23% ซึ่งค่อนข้างโดดเด่นเมื่อเปรียบเทียบกับปี 2560 ที่คาดการณ์กำไรที่ 1.61 พันล้านบาท เติบโตเพียง 7.6% โดยมีอัตรากำไรขั้นต้นทยอยปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็น 21.2% จาก 21.0% ปี 2560 และ 20.6% ปี 2559

<figure><img class="wp-image-9429 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/06/78.3.png" alt="" width="680" height="449" /><figcaption> คาดการณ์กำไร GLOBAL โดย KGI</figcaption></figure>

“เนื่องจากการเพิ่มสัดส่วนยอดขายสินค้า house brand ที่มีอัตรากำไรขึ้นต้นสูงกว่าสินค้า commercial brand ซึ่งบริษัทตั้งเป้าสัดส่วนของ house brand ที่ 15% ในอีก 2-3 ปีข้างหน้า และการบริหารต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นหลังเปิดศูนย์กระจายสินค้า (DC) แห่งใหม่”

เปิดประตูต่างแดน

กลยุทธ์การขยายสาขาของผู้ประกอบการในธุรกิจค้าปลีกวัสดุก่อสร้างไม่จำกัดเฉพาะในประเทศ แต่ยังเล็งโอกาสสร้างอาณาจักรในต่างประเทศ ตามแรงกระตุ้นการขยายการให้บริการรับสร้างบ้าน และโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ ในประเทศ ซึ่งกลุ่มประเทศเพื่อนบ้าน เช่น เมียนมา กัมพูชา และลาว นับเป็นตลาดสินค้าวัสดุก่อสร้างที่สำคัญของไทย โดยเฉพาะร้านค้าปลีกวัสดุก่อสร้างในจังหวัดจุดการค้าชายแดนที่มีลูกค้าจากประเทศบ้านใกล้เรือนเคียงมาสั่งซื้อวัสดุก่อสร้าง เช่น ไม้ สีทาอาคาร กระเบื้องปูพื้นปิดผนัง เป็นต้น

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ยังให้คำแนะนำสำหรับร้านค้าวัสดุก่อสร้างที่ต้องการขยายสาขาข้ามพรมแดนว่า ผู้ประกอบการควรให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการ วางระบบเกี่ยวกับการซื้อมาขายไป การทำบัญชีให้รัดกุม การมัดใจลูกค้าเก่าและเพิ่มลูกค้าใหม่ ด้วยปัจจัยต่างๆ ได้แก่ ทำเลที่ตั้งและขนาดของร้านซึ่งมีความสัมพันธ์กับตลาดและสินค้าในร้าน

โดยแบ่งพื้นที่ส่วนหนึ่งเป็นคลังสินค้าและบริเวณจอดรถขนถ่ายสินค้าในพื้นที่ที่มีร้านค้าวัสดุก่อสร้างไม่มาก รวมถึงการสร้างความพึงพอใจให้ลูกค้า ด้วยการบริการครบวงจรและสามารถให้ข้อมูลหรือคำแนะนำเกี่ยวกับสินค้าได้

<img class="alignnone size-full wp-image-9432" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/06/78.4.png" alt="" width="680" height="434" />

นอกจากนั้น ธุรกิจค้าปลีกวัสดุก่อสร้างยังเป็นธุรกิจที่ใช้เงินหมุนเวียนมาก เพราะต้องมีสินค้าคงคลังพร้อมขาย ซึ่งค่าใช้จ่ายถือเป็นหนึ่งในความเสี่ยงสำคัญที่ผู้ประกอบการต้องมีการบริหารจัดการสินค้าคงคลังอย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งการคัดเลือกประเมินผลคู่ค้า (Vendor’s Service Level) ประกอบด้วย ความสามารถทางการผลิต คุณภาพสินค้า การให้บริการ และความสามารถในการจัดส่ง

ขณะเดียวกันความสำเร็จหรือความล้มเหลวของธุรกิจที่สยายปีกไปยังต่างประเทศยังอยู่ที่การสร้างเครือข่าย หรือการเป็นพันธมิตรกับผู้ผลิตวัสดุก่อสร้าง ร้านค้าวัสดุก่อสร้างอื่นและช่างรับเหมาก่อสร้าง เช่น การขยายสาขาไปยังเมียนมาตามการเติบโตของอุตสาหกรรม ซึ่ง Business Monitor International Research ประมาณการมูลค่าอุตสาหกรรมก่อสร้างเมียนมาว่า จะเพิ่มสูงขึ้นจาก 2.7 พันล้านเหรียญในปี 2554 เป็น 9.5 พันล้านเหรียญในปี 2563

ดังนั้น ผู้รับเหมาก่อสร้างไทยจึงเริ่มขยับการลงทุนไปยังเมียนมาเพื่อเลี่ยงการแข่งขันและอุปสงค์ในประเทศที่ชะลอตัวลง โดยการลงทุนในเมียนมาจะช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้บริษัทในภูมิภาคและลดความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจจากการกระจายการลงทุน ซึ่งธุรกิจเกี่ยวเนื่องกับการก่อสร้างอย่างการค้าส่งและค้าปลีกวัสดุก่อสร้างที่รัฐบาลเมียนมาประกาศเปิดเสรีให้กับบริษัท joint venture ในเดือนกรกฎาคม 2559 ถือเป็นธุรกิจที่ได้รับประโยชน์ จากการขยายสาขาในเมียนมา

<figure><img class="wp-image-9433 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/06/78.5.png" alt="" width="680" height="520" /><figcaption> เมียนมาเป็นประเทศที่น่าจับตามองของกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการก่อสร้าง (Photo Credit: Bangkok Post)</figcaption></figure>

อย่างไรก็ตาม การลงทุนในเมียนมามีหลายปัจจัยที่ควรระมัดระวัง ได้แก่ แรงงาน การประสานงานกับภาครัฐ ต้นทุนวัสดุก่อสร้าง และโครงสร้างพื้นฐานที่ต้องได้รับการพัฒนา ซึ่งการลงทุนในอุตสาหกรรมก่อสร้างของเมียนมาเป็นทั้งโอกาสและความท้าทายต่อผู้รับเหมาก่อสร้างของไทยรวมถึงธุรกิจค้าปลีกวัสดุก่อสร้างที่ต้องการเปิดประตูการลงทุนข้ามพรมแดนไปยังเมียนมา

ทั้งนี้ GLOBAL เป็นบริษัทที่ให้ความสำคัญกับการขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง ด้วยการกำหนดเป็นเป้าหมายการขยาย 100 สาขาในประเทศภายในปี 2565 พร้อมบุกต่อเนื่องในต่างประเทศ

โดยในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา บริษัทได้เริ่มลงทุนขยายสาขาโมเดิร์นเทรดไปยังเมียนมา ผ่านการร่วมทุนกับบริษัทท้องถิ่นจัดตั้ง บริษัท โปรวัน โกลบอล จำกัด รวม 5 สาขาในปัจจุบัน ด้วยความมั่นใจในโอกาสการเติบโตในอนาคต รวมถึงสาขาใน สปป.ลาว 5 สาขา ผ่านการถือหุ้นใน บริษัท สุวันนี โฮมเซ็นเตอร์ จำกัด และเตรียมใช้โมเดลธุรกิจใหม่ในแนวทาง joint venture กับประเทศกัมพูชาภายในเดือนเมษายนนี้ ซึ่งน่าจะเปิดได้ถึง 20 สาขา พร้อมพิจารณาความร่วมมือกับบริษัทท้องถิ่นขยายธุรกิจในเวียดนาม

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events