<h2>สมาคมผู้จัดพิมพ์และผู้จำหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทย (PUBAT) ประกาศความสำเร็จ งานมหกรรมหนังสือระดับชาติ ครั้งที่ 30 ปิดฉากอย่างสมบูรณ์แบบ นักอ่านทุบสถิติ ร่วมงานทะลุ 1.5 ล้านคน ดันยอดขายกว่า 474 ล้านบาท Gen Z รันวงการ มองการอ่านเป็นส่วนหนึ่งของไลฟ์สไตล์ ด้านนิยายครองแชมป์ประเภทหนังสือยอดนิยม </h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ณัฐกร วุฒิชัยพรกุล นายกสมาคม ผู้จัดพิมพ์และผู้จำหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทย (PUBAT) เผยว่า การจัดงานมหกรรมหนังสือระดับชาติ ครั้งที่ 30 (Book Expo Thailand 2025) ระหว่างวันที่ 9-19 ตุลาคม 2568 ที่ผ่านมา ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ รวมระยะ 11 วัน ประสบความสำเร็จเกินความคาดหมาย สะท้อนให้เห็นถึงกระแสผู้อ่านที่หลั่งไหลเข้าร่วมงานอย่างล้นหลามทุกวัน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ยอดรวมผู้เข้าชมงานในครั้งนี้ได้สร้างสถิติใหม่ (New High) อีกครั้ง มีผู้เข้าร่วมงานมากกว่า 1.5 ล้านคน สูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ (1.4 ล้านคน) หรือเพิ่มขึ้น 7% ส่งผลให้มีเงินสะพัดภายในงานกว่า 474 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 8.2% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ความสำเร็จครั้งนี้ไม่เพียงสะท้อนพลังของนักอ่านทุกเพศทุกวัยเท่านั้น แต่ยังตอกย้ำว่า “พลังอ่าน” ของคนไทยกลับมาร้อนแรงอีกครั้ง โดยเฉพาะกลุ่ม “นิวเจน” ที่กลายเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของวงการหนังสือยุคใหม่ ทำให้ “การอ่าน” กลับมาและกลายเป็นเทรนด์ที่แพร่กระจายไปทั่วโลกออนไลน์ <div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/10/zDRJ2tXb1VWMo5nHU2mF.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="zDRJ2tXb1VWMo5nHU2mF.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="720,480" style="" data-index="0"><figcaption><div>ณัฐกร วุฒิชัยพรกุล</div></figcaption></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;จากสถิติพบว่า กลุ่ม Gen Z อายุระหว่าง 12-28 ปี มีสัดส่วนผู้เข้าร่วมงานสูงถึง 70% เพิ่มขึ้นจากการจัดงานครั้งก่อนถึง 20% สะท้อนอย่างชัดเจนว่าคนรุ่นใหม่หันมาให้ความสำคัญกับหนังสือเล่ม และมองการอ่านเป็นส่วนหนึ่งของไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ขณะเดียวกันพบว่านักอ่านใช้จ่ายเฉลี่ยต่อคนราว 1,000 บาท แสดงให้เห็นว่าหนังสือยังคงมีคุณค่าในใจของคนไทย โดยประเภทหนังสือยอดนิยม 5 อันดับแรก ได้แก่ นิยาย, การ์ตูน/มังงะ, How-to / ให้กำลังใจ, ตำราเรียน, เด็กและเยาวชน ตามลำดับ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สิ่งที่โดดเด่นที่สุดในปีนี้คือกระแสนิยาย ที่กลับมาร้อนแรงอีกครั้ง มียอดขายแซงหน้าการ์ตูน มังงะ ที่เคยครองแชมป์ในอดีต โดยเฉพาะนิยายแนวสยองขวัญ-สืบสวนสอบสวน, นิยายแฟนตาซี, นิยายรัก, นิยายวาย (Boys’ Love) และนิยายยูริ (Yuri) ซึ่งทั้งหมดสะท้อนรสนิยมการอ่านที่เปิดกว้างและมีสีสันของคนรุ่นใหม่&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับปัจจัยความสำเร็จของงานครั้งนี้ มาจากการที่สำนักพิมพ์ต่างๆ ปรับกลยุทธ์อย่างสร้างสรรค์ ทั้งการนำเสนอคอนเทนต์ที่ตรงใจผู้อ่าน การสร้างกระแสผ่านโซเชียลมีเดียด้วยการเปิดตัวหนังสือใหม่ การรีวิวไวรัล ไปจนถึงการผลิตหนังสือในรูปแบบพิเศษ เช่น ปกสกรีนสีสันโดดเด่นบริเวณสันปกและขอบกระดาษ หรือปกวาดมือแบบ Limited Edition ซึ่งกำลังได้รับความนิยมในต่างประเทศและเริ่มเติบโตในไทย โดยเฉพาะในกลุ่มนักสะสมที่มองว่าหนังสือคือ “งานศิลปะที่คู่ควรแก่การสะสม” ตลาดหนังสือโต 2 หมื่นล้าน ปัจจัยหนุนจากสื่อผสม&nbsp; &nbsp; ณัฐกร เผยว่า จำนวนผู้คนที่มาร่วมงานอย่างล้นหลามเกินคาด สะท้อนว่าคนไทยยังคงรักการอ่าน และพร้อมเติมเต็มความสุขในชีวิตผ่านหนังสือเล่มที่ชื่นชอบ การอ่านไม่ใช่เรื่องเชยอีกต่อไป แต่กลายเป็นสัญลักษณ์ของความคิดและรสนิยมของคนยุคใหม่&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับอุตสาหกรรมหนังสือไทยในปีนี้ คาดว่ามีมูลค่ารวมราว 20,000 ล้านบาท โดยความสำเร็จของงานมหกรรมหนังสือระดับชาติ ครั้งที่ 30 ถือเป็นแรงผลักดันสำคัญที่จุดประกายวงการหนังสือให้กลับมาคึกคักอีกครั้ง ทั้งด้านยอดขายและพลังผู้อ่าน โดย PUBAT คาดการณ์ว่าปีหน้าตลาดหนังสือจะยังคงเติบโตต่อเนื่องราว 5-10%&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ปัจจัยหนุนหลักมาจาก “สื่อผสม” (Cross Media) ที่ส่งเสริมการอ่าน เช่น ภาพยนตร์ ซีรีส์ พอดแคสต์ รวมถึงการเติบโตของ E-Book และ Audio Book ที่ทำให้การเข้าถึงหนังสือสะดวกยิ่งขึ้น ส่วนปัจจัยที่ต้องเฝ้าระวังคือ ราคาหนังสือที่สูงขึ้น ส่วนแบ่งรายได้ของแพลตฟอร์มอี-คอมเมิร์ซที่ยังค่อนข้างมาก และพื้นที่จัดเก็บหนังสือของคนรุ่นใหม่ที่จำกัด&nbsp;&nbsp; &nbsp;"สมาคมผู้จัดพิมพ์ฯ เชื่อมั่นว่า ด้วยพลังของผู้อ่านรุ่นใหม่และการสร้างสรรค์ไม่หยุดยั้งของผู้ผลิตเนื้อหา อุตสาหกรรมหนังสือไทยจะยังคงก้าวเดินต่อไปอย่างมั่นคง และการอ่านจะยังคงเป็นเครื่องหมายของ คนเท่ ในยุคใหม่ที่ใช้ความรู้และจินตนาการเป็นพลังขับเคลื่อนชีวิต"&nbsp;ณัฐกร กล่าว <div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/10/S57F8JNaXQgMG7qSMnWD.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="S57F8JNaXQgMG7qSMnWD.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="720,480" style="" data-index="1"></figure></div>​ ภาพ:&nbsp;สมาคมผู้จัดพิมพ์และผู้จำหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทย (PUBAT) เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a target="_blank" href="https://www.forbesthailand.com/forbes-life/thailand-post-sorn-stamps-soft-power" alt="ไปรษณีย์ไทย ออกแสตมป์ ‘ชุดอาหารไทย’ เสิร์ฟ 4 เมนูเด็ดจากร้าน ‘ศรณ์’ ขับเคลื่อน Soft Power ไทยสู่สายตาโลก">ไปรษณีย์ไทย ออกแสตมป์ ‘ชุดอาหารไทย’ เสิร์ฟ 4 เมนูเด็ดจากร้าน ‘ศรณ์’ ขับเคลื่อน Soft Power ไทยสู่สายตาโลก</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

งานมหกรรมหนังสือ เม็ดเงินสะพัด 474 ล้านบาท นักอ่านทุบสถิติ 1.5 ล้านคน Gen Z มองการอ่านเป็นส่วนหนึ่งของไลฟ์สไตล์

Big Bad Wolf กาลครั้งหนึ่ง…มีหมาป่าตัวร้าย ที่เปลี่ยนโลกด้วยการอ่านหนังสือ

<h2>ปิดฉากอย่างยิ่งใหญ่ งานสัปดาห์หนังสือฯ ครั้งที่ 52 โกยทุกความสำเร็จนักอ่านทะลักเป้า 1.3 ล้านคน ตลอดการจัดงาน 12 วัน ดันยอดขายทะลุ 400 ล้านบาท สวนทางเศรษฐกิจทรุด นิยายวาย-การ์ตูน แชมป์ขายดีต่อเนื่อง ด้านสมาคมผู้จัดพิมพ์ฯ สุดปลื้มเวที “Bangkok Rights Fair” เจรจาซื้อขายลิขสิทธิ์ครั้งแรกในไทยผลสำเร็จระดับสูง ยอดซื้อ-ขายสะพัดกว่า 351 ล้านบาท พร้อมเปิดผลวิจัยใหม่ คนไทยอ่านหนังสือทะลุ 2 ชม./วัน ขณะที่กลุ่มวัยรุ่นเลิกพฤติกรรมติดจอ หันมาอ่านหนังสือเล่ม ส่วนคนสูงวัย เลือกอ่านอีบุ๊คมากขึ้น</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สุวิช รุ่งวัฒนไพบูลย์ นายกสมาคมผู้จัดพิมพ์และผู้จำหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทย (PUBAT) เปิดเผยว่า สัปดาห์หนังสือแห่งชาติ ครั้งที่ 52 และสัปดาห์หนังสือนานาชาติ ครั้งที่ 22 ประสบความสำเร็จอย่างท่วมท้นตลอดการจัดงานทั้ง 12 วัน โดยได้รับการสนับสนุนจากสำนักพิมพ์ 322 แห่ง จำนวนบูธรวม 914 บูธ หนังสือมากกว่า 1 ล้านเล่ม ซึ่งเป็นหนังสือปกใหม่มากกว่า 3,000 ปก&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ขณะที่มีผู้เข้าชมงานทั้งคนไทยและต่างชาติหลั่งไหลเข้างานทุกวัน ทำให้บรรยากาศการเลือกซื้อหนังสือเป็นไปอย่างคึกคัก ส่งผลให้โดยรวมแล้วมีผู้เข้าร่วมงานทั้งสิ้น 1.3 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา 10%&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ด้านสำนักพิมพ์งัดกลยุทธ์กระตุ้นกำลังซื้อด้วยโปรโมชั่น ลด แลก แจก แถม พร้อมจัดทำของพรีเมียมสุดพิเศษเฉพาะในงาน ส่งผลให้มีเม็ดเงินสะพัดมากกว่า 400 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10% เมื่อเทียบกับงานปีก่อน สวนทางกับเศรษฐกิจที่ชะลอลง สะท้อนให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่า พฤติกรรมการอ่านของคนไทยได้เปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดยหนังสือที่รับความนิยมสูงสุดยังคงเป็น หนังสือนวนิยายและวรรณกรรมสัดส่วน 38% โดยหนังสือวายทุกประเภทเนื้อหา ได้รับความนิยมสูงสุด 21% รองลงมาคือหนังสือการ์ตูนและไลท์โนเวล 21% และหนังสือประเภทเสริมทักษะ (How to) 18% หนังสือเด็กและคู่มือการเรียน 13% และหนังสือเกี่ยวกับสุขภาพ 10%&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“งานสัปดาห์หนังสือฯ เป็นงานที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน ซึ่งเราเองมีแนวโน้มที่จะขยายพื้นที่ขายหนังสือออกไปอีกในอนาคต เพราะมีแนวโน้มการเติบโตที่ดีอย่างต่อเนื่อง โดยดูได้จากความสำเร็จในงานนี้ทั้งในแง่ของผู้ร่วมงานและยอดขาย ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญต่อการผลักดันให้มูลค่าตลาดหนังสือไทยในปีนี้แตะระดับ 17,000 ล้านบาท และพิสูจน์ได้ว่าคนไทยอ่านหนังสือมากกว่า 8 บรรทัดต่อปี” สุวิช กล่าว​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/04/zMqkxzomvBsoti53guJB.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="zMqkxzomvBsoti53guJB.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ธีรนัย โสตถิปิณฑะ เลขาธิการสมาคมผู้จัดพิมพ์ฯ กล่าวว่า การเติบโตของตลาดหนังสือไทยยังมีแนวโน้มที่ดีเยี่ยมอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสอดคล้องกับผลสำรวจในโครงการวิจัยพฤติกรรมการอ่านและการซื้อหนังสือของคนไทย ในปี 2567 ซึ่งสมาคมผู้จัดพิมพ์ฯ ร่วมกับคณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทำการสำรวจกลุ่มตัวอย่างทุกเพศวัยจำนวน 2,550 คนทั่วประเทศ อายุตั้งแต่ 12-50 ปี ระหว่างเดือนมกราคมถึงกุมภาพันธ์ 2567&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ซึ่งพบว่า คนไทยมีพฤติกรรมการอ่านรวมทุกกลุ่มอายุเฉลี่ย 113 นาทีต่อวัน หรือเกือบ 2 ชั่วโมงต่อวัน โดยสัดส่วน 45% เป็นการอ่านทุกวัน โดยกลุ่มอายุ 12-19 ปี อ่านตำราเรียนและคู่มือเตรียมสอบในสัดส่วนที่สูงถึง 72% ส่วนอายุ 20-29 ปี, อายุ 30-39 ปี และอายุ 40-49 ปี อ่านหนังสือพัฒนาตัวเองสูงที่สุดในสัดส่วน 52%, 57% และ 51% ตามลำดับ ส่วนกลุ่ม 50 ปีขึ้นไป 58% อ่านหนังสือเกี่ยวกับสุขภาพ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อย่างไรก็ตาม พบว่าทุกกลุ่มอายุเลือกอ่านหนังสือรูปเล่มในสัดส่วนที่สูงถึง 50% และอีบุ๊ค 47% แต่เมื่อแยกเป็นรายกลุ่มกลับพบว่า กลุ่มอายุ 50 ปีขึ้นไปเลือกอ่านหนังสือผ่านอีบุ๊คสูงถึง 58% เนื่องจากสามารถขยายตัวหนังสือได้ รวมทั้งมีความสบายตาในขณะอ่าน และ 38% เป็นการอ่านในรูปเล่ม​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/04/C9iYhjAUhVaf2c7KuDXq.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="C9iYhjAUhVaf2c7KuDXq.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="1"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ส่วนกลุ่มอายุ 40-49 ปี อ่านหนังสือและอีบุ๊คในสัดส่วนที่เท่ากันคือ 48% กลุ่มอายุ 30-39 ปี อ่านหนังสือรูปเล่ม 54% และอีบุ๊ค 43% กลุ่มอายุ 20-29 ปี อ่านรูปเล่ม 51% และอีบุ๊ค 47% ในขณะที่อายุ 12-19 ปีเลือกอ่านหนังสือรูปเล่มและอีบุ๊ค ในสัดส่วน ใกล้เคียงกันคือ 47% และ 48%&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“เดิมเราเคยคิดว่ากลุ่มเด็กจะนิยมอ่านอีบุ๊คมากกว่าหนังสือรูปเล่ม แต่จากผลสำรวจกลับพบว่ากลุ่มที่อ่านอีบุ๊คมากกว่า กลับเป็นผู้ใหญ่ เพราะสายตายาว ซึ่งอีบุ๊คสามารถขยายตัวหนังสือทำให้อ่านง่ายขึ้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในขณะที่วัยรุ่น ต้องการลดพฤติกรรมการติดจอ จึงหันมาอ่านหนังสือเป็นรูปเล่มมากขึ้น จากผลงานวิจัยการอ่านจากประชาชนทั่วประเทศ ทำให้พบข้อมูลใหม่ว่าคนไทยไม่ได้อ่านหนังสือแค่ 8 บรรทัดอีกต่อไป” ธีรนัย กล่าว &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ด้าน ดวงพร สุทธิสมบูรณ์ อุปนายกฝ่ายต่างประเทศ สมาคมผู้จัดพิมพ์ฯ กล่าวว่า สมาคมผู้จัดพิมพ์ฯ ประสบความสำเร็จในระดับสูงมากต่อการจัดงาน Bangkok Rights Fair 2024 จับคู่เจรจาซื้อขายแลกเปลี่ยนลิขสิทธิ์หนังสือและคอนเทนต์นานาชาติ ระหว่างสำนักพิมพ์ไทยและตัวแทนจำหน่ายจากต่างประเทศ ในรูปแบบ Business to Business เพื่อนำไปแปลและจัดพิมพ์เป็นหนังสือภาษาต่างๆ ทั่วโลก รวมถึงผลิตในรูปแบบของซีรีส์ ภาพยนตร์ ฯลฯ ซึ่งจัดขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทยภายในงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติฯ ระหว่างวันที่ 28-30 มีนาคม 2567 ภายใต้การสนับสนุนจากสำนักงานส่งเสริมการประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ TCEB&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดยมีสำนักพิมพ์ และเอเจนซี่ลิขสิทธิ์ต่างประเทศเข้าร่วมงาน 13 ประเทศ รวม 33 ราย และสำนักพิมพ์ไทย 50 ราย ส่งผลให้เกิดการเจรจาทางการค้าทั้งสิ้น 500 คู่ โดยประเมินยอดซื้อขายลิขสิทธิ์ในเบื้องต้นประมาณ 1.4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 49 ล้านบาท (คำนวณโดยใช้อัตราแลกเปลี่ยนที่ 35 บาทต่อ 1 เหรียญสหรัฐฯ) แต่มูลค่าการซื้อขายที่เกิดขึ้นจริงจะสูงกว่านี้ โดยตั้งเป้าหมายที่ 10 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือราว 351 ล้านบาท&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ หนังสือเด็กได้รับความสนใจในการซื้อขายลิขสิทธิ์สูงสุด ในขณะที่สำนักพิมพ์ และเอเจนซี่ลิขสิทธิ์จากต่างประเทศ โดยเฉพาะจากประเทศไต้หวันได้ให้ความสนใจเป็นพิเศษต่อหนังสือนิยายวาย ผลงานจากนักเขียนไทย ทุกประเภทเนื้อหา ทั้งรักโรแมนติก สืบสวนสอบสวนและแฟนตาซี เนื่องจากนักเขียนไทยเป็นที่นิยมในตลาดนักอ่านไต้หวันอย่างมาก&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในฝั่งไทยให้ความสนใจต่อการเจรจาลิขสิทธิ์หนังสือเด็ก หนังสือนิยายจาก เกาหลี จีนและญี่ปุ่น รวมทั้งหนังสือการ์ตูนจากญี่ปุ่นและเกาหลี ขณะที่พบว่าผู้เข้าร่วมงานทุกประเทศมีความพึงพอใจในระดับสูง ซึ่งส่วนใหญ่ 79% ยืนยันจะกลับมาร่วมงานอีกในครั้งหน้า&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“กิจกรรมจับคู่เจรจาซื้อขายแลกเปลี่ยนลิขสิทธิ์หนังสือครั้งแรกในไทยถือว่าประสบความสำเร็จในระดับสูงมากทั้งในแง่มูลค่าและความพึงพอใจจากผู้เข้าร่วม แต่ผลประโยชน์ที่ได้มากกว่านั้นคือการสร้างโอกาสที่ดีให้กับผู้ประกอบการและนักเขียนไทยได้ก้าวสู่วงการหนังสือระดับโลก” ดวงพร กล่าว เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a target="_blank" href="https://forbesthailand.com/news/marketing/the-1-insight-reveals-songkran-2023-money-flowing-up-to-200-percent" alt="The 1 Insight เผย ยอดใช้จ่ายสงกรานต์ปี 67 โตต่อเนื่อง หลังปี 66 เงินสะพัดจากนักท่องเที่ยว 200%">The 1 Insight เผย ยอดใช้จ่ายสงกรานต์ปี 67 โตต่อเนื่อง หลังปี 66 เงินสะพัดจากนักท่องเที่ยว 200%</a>​​<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

งานสัปดาห์หนังสือฯ ปิดฉากยิ่งใหญ่ เม็ดเงินสะพัด 400 ล้านบาท นิยายวาย-การ์ตูน แชมป์ขายดีต่อเนื่อง

<h2>ในยุคแห่ง AI ที่กำลังเปลี่ยนแปลงโลกในขณะนี้ ไม่ว่าคุณคือ นักธุรกิจ หรือคนทำงานในอุตสาหกรรมต่างๆ จำเป็นต้องปรับตัว แน่นอนว่า AI ก็เป็นส่วนสำคัญที่เร่งขับเคลื่อนให้มีการเปลี่ยนแปลงมากขึ้นอย่างรวดเร็ว แม้กระทั่งการอ่านหนังสือในปัจจุบัน AI ก็ได้เข้ามามีส่วนร่วมสร้างประสบการณ์และรูปแบบการเรียนรู้ใหม่ๆ ซึ่งเป็นที่มาของการพัฒนาเทคโนโลยี A.I. Book Bot โดย Sfia A.I</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Sfia A.I. Book Bot ถูกออกแบบมาเพื่อปรับปรุงประสบการณ์การอ่านและการเรียนรู้ ได้รับการฝึกฝน (train) จากหนังสือชุด Digital Transformation ทั้ง 4 เล่ม ที่มีมากกว่า 1,200 หน้า ด้วยความสามารถของ A.I. ทำให้หนังสือเป็นมากกว่าคู่มือ แต่เป็นเสมือนผู้ช่วยส่วนตัวสำหรับผู้บริหารในการพาธุรกิจเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัล&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;หนังสือชุด Digital Transformation คือ A.I. Book Bot ครั้งแรกของไทย ส่วนหนังสือต่างประเทศที่ได้พัฒนาเป็น Book Bot แล้ว เช่น Exponential Oraganization 2.0, The Hard Thing About Hard Things, Zero to One, Steve Jobs เป็นต้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ธนพงศ์พรรณ ธัญญรัตตกุล กรรมการผู้จัดการ Sfia A.I. ผู้ก่อตั้งสถาบัน Digital Transformation Academy และผู้เขียนหนังสือ Best Seller ชุด Digital Transformation กล่าวว่า “บริษัทได้พัฒนาแพลตฟอร์ม Sfia A.I. ให้สามารถให้บริการได้ในรูปแบบ A.I.-As-A-Service ด้วยเล็งเห็นถึงความจำเป็นที่ทุกคนจะต้องปรับตัวและทรานส์ฟอร์มองค์กรเข้าสู่ยุค A.I. ซึ่งทุกธุรกิจจะต้องทำ Digital Transformation ในอัตราเร่งอย่างมาก และมากกว่าในยุค Digital Disruption และ โควิด-19 ที่ผ่านมา”​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false" style="width: 75%; min-width: 100%;"><figure style="margin: auto; width: 75%;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/10/tijP4qswJveZKUCzdTa7.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="tijP4qswJveZKUCzdTa7.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="75%," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="75," style="width: 100%;" data-index="0" origin-size="1085,680"></figure></div>​ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Sfia A.I. จึงได้ร่วมมือกับพันธมิตรระดับโลก ในการพัฒนาบริการนวัตกรรมสำหรับนักอ่าน ผู้บริหาร และผู้ที่เกี่ยวข้องกับการทำ Digital Transformation ทั่วโลก รองรับความต้องการใช้งานของแต่ละคนได้ทุกที่ทุกเวลา ที่สำคัญคือความสามารถในการคุยและถามตอบได้กว่า 95 ภาษา&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในประเทศไทย Sfia A.I. ได้จับมือ บริษัท วิรุฬห์ อินฟินิท โฮลดิ้ง จำกัด ที่ปรึกษาด้าน Digital Transformation การปรับเปลี่ยนองค์กรและทรัพยากรบุคคล ในการฝึกฝนและพัฒนาบริการของ Sfia A.I. ให้รองรับการใช้งานสำหรับองค์กรในไทยให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ดร.ณัฐพร วิรุฬหการุญ กรรมการผู้จัดการ บริษัท วิรุฬห์ อินฟินิท โฮลดิ้ง จำกัด กล่าวว่า “Sfia A.I. Book Bot เป็นการใช้เทคโนโลยี A.I. ในการเปลี่ยนประสบการณ์และรูปแบบการเรียนรู้ให้ตอบสนองความต้องการของแต่ละคนตั้งแต่เริ่มต้นถึงการสร้างความสำเร็จได้ สามารถนำไปประยุกต์ใช้ควบคู่ไปกับทุกสถานการณ์ ตั้งแต่การเรียนการอบรม การอ่าน การเข้าฟังสัมมนา การทำเวิร์กชอป การประชุมหารือเพื่อวางแผนงาน จนไปถึงขั้นตอนการลงมือปฏิบัติ และการสอนผู้อื่นต่อได้ ดังนั้นจึงเหมาะสำหรับทั้งผู้ที่เริ่มต้นในการเรียนรู้ ไปจนถึงผู้ที่กำลังทำและผู้มีประสบการณ์ในการทรานส์ฟอร์มธุรกิจ”&nbsp; &nbsp;&nbsp;Sfia A.I. ยังได้ร่วมกับบริษัท OpenAI เจ้าของ ChatGPT ในการพัฒนา Sfia A.I. Chatbot built with GPT-4 ที่เสริมขีดความสามารถของ Sfia A.I. เพื่อช่วยผู้ใช้งานได้รับประโยชน์และมีประสิทธิภาพในตลอดเส้นทางการทำ Digital Transformation ที่ผ่านมา OpenAI มีพันธมิตรระดับโลกร่วมพัฒนาบริการ A.I. Chatbot เช่น Khan Academy, Morgan Stanley, Stripe, Duolingo, Government of Ireland ฯลฯ อ่านเพิ่มเติม :&nbsp;<a href="https://forbesthailand.com/news/marketing/%E0%B9%81%E0%B8%99%E0%B8%B0%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B8%AD-digital-native-%E0%B8%A1%E0%B8%B8%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%A5%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%9E%E0%B8%A2%E0%B9%8C%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B8%88%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B8%A5" alt="แนะรับมือ Digital Native มุ่งลงทุนสินทรัพย์ดิจิทัล">แนะรับมือ Digital Native มุ่งลงทุนสินทรัพย์ดิจิทัล</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

Sfia A.I เปิดตัวนวัตกรรม Book Bot พลิกโฉมการอ่านหนังสือยุคดิจิทัล

<h2>คนดังมีส่วนสำคัญกับธุรกิจอุตสาหกรรมหนังสือ บ่อยครั้งที่หนังสือเล่าเรื่องราวชีวิตตัวเองทำเงินให้สำนักพิมพ์ไม่น้อย ตอนนี้คนดังบางคนเริ่มหันมาประกอบอุตสาหกรรมในครอบครัวด้วยการเปิดสำนักพิมพ์หาเลี้ยงชีพบ้าง บางแห่งก็เป็นสำนักพิมพ์ขนาดย่อม อาทิ Perceval Press ของ Viggo Mortensen ซึ่งเน้น หนังสือเกี่ยวกับศิลปะและบทวิจารณ์ บางแห่งพิมพ์หนังสือที่อยู่ในกระแสหลักมากกว่า หนึ่งในนั้นที่คาดว่าจะไปได้สวยคือหนังสือบันทึกความทรงจำของ Oprah Winfrey ซึ่งจะตีพิมพ์กับ Flatiron Books ในปี 2017 (ยังไม่มีการเปิดเผยชื่อหนังสืออย่างเป็นทางการ)</h2>
DEREK JETER
Jeter Publishing

Simon &amp; Schuster จับมือกับอดีตผู้เล่นทีม Yankee ตีพิมพ์หนังสือเกี่ยวกับกีฬาและได้จัดทำหนังสือเด็กซึ่งเป็นหนังสือภาพและนวนิยายไตรภาคอิงจากชีวิตของ Jeter

หนังสือขายดี:
<img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/795385e2a995daad82b5d6039a5e1ed6.png" alt="" />
Jeter Unfiltered
(ยอดขาย105,000 เล่มในปี 2014)

หนังสือออกใหม่:

<img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/f76542eb1b1934d3b030d424291f0f1d.jpg" alt="" />
Muhammad Ali Unfiltered (ตุลาคม 2016)

ANTHONY BOURDAIN
Anthony Bourdain Books

เชฟคนดังที่ตะลุยไปทั่วโลกเพื่อชิมอาหารแปลกๆ ทุกอย่างในโลกนี้ ตีพิมพ์หนังสือเกี่ยวกับอาหารและวัฒนธรรมป๊อบปีละไม่กี่เล่มผ่าน Ecco บริษัทลูกของ HarperCollins

หนังสือขายดี:
<img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/e5316ad9a5b5caafcd0c0ed83a759c62.png" alt="" />
L.A. Son
(ยอดขาย19,000 เล่มในปี 2013)

หนังสือออกใหม่:

<img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/52e860da6881915cde48ae6b2f839cca.jpg" alt="" />
They Call Me Supermensch
(กันยายน 2016)

&nbsp;

GWYNETH PALTROW
Goop Press

นักแสดงสาวที่หันมาเอาดีในการเป็นกูรูด้านไลฟ์สไตล์เพิ่งถ่ายทอดเนื้อหาจาก Goop บล็อกดังของเธอลงมาอยู่ในรูปหนังสือแนะนำอาหารและความสวยความงาม ตีพิมพ์ร่วมกับ Grand Central Publishing

หนังสือเล่มแรก:
<img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/f6824673b426e33378ae4f1982e08505.jpg" alt="" />
It’s All Easy
(ยอดขาย 58,000 เล่ม ณ เมษายน 2016)

หนังสือออกใหม่:
<img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/9e08a2bb5c8720f840eda8c03bf9dbc0.jpg" alt="" />
Goop Clean Beauty
(ธันวาคม 2016)

<hr />

<a href="https://goo.gl/V6NfWh">คลิ๊กอ่านจากจัดอันดับและเรื่องราวที่น่าสนใจจากทั่วโลก ได้ที่ Forbes Thailand Magazine ฉบับ มกราคม 2560</a>
<a href="https://goo.gl/V6NfWh"><img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/1a9acb06eb9ce498d8300db402f5dc25.png" alt="" /></a>

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events