<h2>การทำงานทางไกล (remote working) กลายเป็นสิ่งเย้ายวน เมื่อหลายบริษัทเริ่มมีคำสั่งให้พนักงานกลับมาประจำการที่ออฟฟิศ หลังที่ผ่านมาเกิดเทรนด์ Work From Home มากว่าครึ่งทศวรรษเนื่องด้วยการระบาดของโควิด-19 แต่ปัจจุบันเห็นการปรับเปลี่ยนเป็นแบบไฮบริดมากขึ้น ซึ่งทำให้การทำงานจากที่ใดก็ได้ในโลกยังเป็นเทรนด์ที่เกิดขึ้นต่อเนื่อง</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับชาวอเมริกันที่ท้อแท้กับภาวะเงินเฟ้อ ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ และการแบ่งขั้วอำนาจทางการเมือง พวกเขาพบว่ายังคงมีเมืองหลายแห่งทั่วโลกที่เหมาะสำหรับการทำงาน แต่ได้รับค่าตอบแทนตรงจากสหรัฐอเมริกา&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ผู้เชี่ยวชาญจาก QR Code Generator ได้จัดทำดัชนีชี้วัดพื้นที่ยอดเยี่ยมสำหรับชาว digital nomad จากทั่วโลก โดยพิจารณาปัจจัยสำคัญ ได้แก่ ความเร็วของอินเทอร์เน็ต ค่าครองชีพ และการเข้าถึงวีซ่าสำหรับการทำงานทางไกล ซึ่งคะแนนเต็มอยู่ที่ 100&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;กรุงเทพฯ นครหลวงแห่งประเทศไทยผงาดสู่อันดับ 1 บนทำเนียบนี้ ด้วยคะแนน 69.98 คะแนน ทั้งจากปัจจัยการมีอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงและไลฟ์สไตล์ที่ราคาถูกกว่าที่อื่นอย่างเห็นได้ชัด&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“วัดวาอารามอันงดงาม อาหารรสเลิศ และท้องถนนที่เต็มเปี่ยมด้วยชีวิตชีวา ต่างเป็นองค์ประกอบในอุดมคติ สำหรับผู้ที่มองหาประสบการณ์ท่ามกลางสถานที่ใหม่ๆ” ผู้เชี่ยวชาญกล่าวแล้วเสริมว่า “เมืองหลวงของไทยมอบบรรยากาศแห่งความกระตือรือร้น กลายเป็นจุดหมายดึงดูด digital nomad ผู้กำลังแสวงหาเมืองอันรุ่มรวยด้วยประวัติศาสตร์ที่หลอมรวมความทันสมัยเข้ากับวัฒนธรรมได้อย่างมีเอกลักษณ์”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับอันดับ 2 คือเมืองบูคาเรสต์ ประเทศโรมาเนีย ด้วย 65.52 คะแนน เมืองฝั่งยุโรปตะวันออกแห่งนี้ได้รับคะแนนการเข้าถึงวีซ่าสำหรับการทำงานทางไกลสูงสุด อีกทั้งผู้เชี่ยวชาญยังเผยว่า เมืองแห่งนี้มี “สถาปัตยกรรมอันประณีตและหลากหลาย ทัศนียภาพดุจงานศิลป์มาพร้อมแกเลอรี่ พิพิธภัณฑ์ และโรงละครระดับโลกมากมาย ตลอดจนสวนแสนสงบสำหรับคนรักธรรมชาติ”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ตามด้วยอันดับ 3 คือเมืองริโอ เดอ จาเนโร ประเทศบราซิล ที่โดดเด่นด้วยกำลังซื้อในท้องถิ่น พาคะแนนรวมแตะ 62.35 คะแนน ส่วนอันดับ 4 เป็นเมืองบัวโนสไอเรส ประเทศอาร์เจนตินาเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยอาหาร และของชำราคาประหยัดที่สุด เชิญชวนให้ชาวอเมริกันที่มาพำนัก ช็อปปิ้งกันไม่หยุด&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในขณะที่ปักกิ่ง นครหลวงของประเทศจีนอยู่ที่อันดับ 5 ต้องขอบคุณเครือข่ายอินเทอร์เน็ตอันแข็งแกร่ง เอื้อให้คนทำงานสามารถเชื่อมต่อ และทำงานจากทางไกลได้อย่างราบรื่น แปลและเรียบเรียงจาก&nbsp;<a href="https://nypost.com/2025/05/24/lifestyle/the-best-cities-for-american-working-remotely-is-revealed-cheap-rents-fast-internet-and-stunning-scenery/" alt="The best cities for Americans working remotely revealed: Cheap rents, fast internet and stunning scenery">The best cities for Americans working remotely revealed: Cheap rents, fast internet and stunning scenery</a>​ ภาพปกโดย&nbsp;<a href="https://unsplash.com/photos/white-and-red-boat-on-water-near-city-buildings-during-daytime-g52OIhol73M" alt="Alice">Alice</a>&nbsp;on Unsplash​ เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : ​<a href="https://www.forbesthailand.com/news/hr/coursera-thai-focus-on-ai-skills-2025" alt="คนไทยไม่เคยหยุดพัฒนา! มุ่งเรียนรู้ทักษะใหม่สูงเป็นอันดับ 42 ของโลก อันดับ 11 ของเอเชีย โดยเฉพาะด้านธุรกิจ">คนไทยไม่เคยหยุดพัฒนา! มุ่งเรียนรู้ทักษะใหม่สูงเป็นอันดับ 42 ของโลก อันดับ 11 ของเอเชีย โดยเฉพาะด้านธุรกิจ</a>​<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

กรุงเทพฯ อันดับ 1 เมืองในฝันของ digital nomad อเมริกัน ค่าครองชีพถูก-เน็ตแรง-ทิวทัศน์สวยงาม

<h2>ปฏิเสธไม่ได้ว่า TikTok คือแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียมาแรงในปัจจุบันที่นิยมใช้งานทั้งในด้านของความบันเทิงและสื่อสารการตลาด แต่รายงานจาก Pew Research Center ได้เผยข้อมูลที่น่าสนใจว่า TikTok กำลังถูกใช้เป็นช่องทางในการเสพข่าวสารเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Pew Research Center ได้ทำการสำรวจชาวอเมริกันวัยผู้ใหญ่ 10,658 คน กลุ่มตัวอย่างนี้มาจากการสุ่มจากที่อยู่อาศัย โดยแต่ละคนมีเพศ เชื้อชาติ การศึกษา และปัจจัยอื่นๆ ที่แตกต่างกัน การสำรวจเกิดขึ้นระหว่างวันที่ 15 กรกฎาคม - 4 สิงหาคม 2024 ก่อนเผยแพร่ในวันที่ 17 กันยายน 2024 ที่ผ่านมา ซึ่งพบว่าชาวอเมริกันวัยผู้ใหญ่เฉลี่ยราว 17% รับรู้ข่าวสารผ่านทาง TikTok ซึ่งเพิ่มขึ้นจากจำนวนเพียง 3% ในปี 2020 <div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/09/wk5CtikdM2W8PKNwZBhb.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="wk5CtikdM2W8PKNwZBhb.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0" origin-size="420,350"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Pew Research Center มีการถามผู้เข้าร่วมทำแบบสำรวจด้วยคำถามต่างๆ เช่น พวกเขาได้รับข่าวสารจากโทรทัศน์ วิทยุ สื่อสิ่งพิมพ์ สมาร์ทโฟน คอมพิวเตอร์ และแท็บเล็ตบ่อยแค่ไหน รวมไปถึงคำถามที่ว่าพวกเขาได้รับข่าวสารออนไลน์ผ่านช่องทางใดบ้าง ซึ่งโซเชียลมีเดียก็เป็นหนึ่งในตัวเลือกคำตอบ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในส่วนของคำถามว่าผู้เข้าร่วมทำแบบสำรวจมักใช้แอปพลิเคชั่นใดในการติดตามข่าวสารเป็นประจำ และมองหาหัวข้อข่าวที่น่าสนใจมากที่สุด คำตอบคือ X (Twitter) ที่ 59% แต่ TikTok เป็นแอปที่ตัวเลขเติบโตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจาก 22% ในปี 2020 เป็น 52% ในปี 2024&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;รายงานของ Pew Research Center ยังเผยว่า TikTok คือแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียยอดนิยมในกลุ่มวัยรุ่นและผู้ใหญ่ตอนต้น โดย 63% ของผู้ที่ใช้งาน TikTok มากที่สุดเป็นผู้ใหญ่ตอนต้น​ <div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/09/69JFVBH6Etji5Kw8wEjv.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="69JFVBH6Etji5Kw8wEjv.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="1" origin-size="640,435"></figure></div> &nbsp; &nbsp; กลุ่มวัยรุ่นและผู้ใหญ่ตอนต้น (อายุ 18-29 ปี) นี้เองคือกลุ่มที่ใช้ TikTok เพื่อติดตามข่าวสารเป็นประจำมากที่สุด คือเพิ่มขึ้นเป็น 39% ในปีนี้ จากปีก่อนอยู่ที่ 32% ซึ่งจำนวนนี้นับว่าสูงมากเมื่อเทียบกับกลุ่มอายุ 30-49 ปีที่เพิ่มขึ้นเป็น 19% และกลุ่มอายุ 50-64 ปีที่เพิ่มขึ้นเป็น 9% ขณะที่กลุ่มที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไปเสพข่าวจาก TikTok เพียง 3% เท่านั้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในขณะเดียวกัน Pew Research Center เห็นว่าผู้ใช้งาน TikTok เริ่มหันมาใช้งานแอปดังกล่าวเพื่อรับข่าวสารมากจนแซง Facebook ไปแล้ว และไม่แน่ว่าอาจจะสามารถแซง X (Twitter) ได้ด้วยในอนาคต แหล่งที่มา:​<a href="https://www.fastcompany.com/91193281/tiktok-news-consumption-increase-young-american-adults-pew" alt="TikTok has emerged as a dominant platform for news, especially for young Americans">TikTok has emerged as a dominant platform for news, especially for young Americans</a>​ ​<a href="https://www.pewresearch.org/short-reads/2024/09/17/more-americans-regularly-get-news-on-tiktok-especially-young-adults/" alt="More Americans – especially young adults – are regularly getting news on TikTok">More Americans – especially young adults – are regularly getting news on TikTok</a>​ เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/news/travel/airbus-forecast-apac-value-will-grow-2-times-in-20-years" alt="Airbus คาดมูลค่าตลาดบริการเครื่องบินพาณิชย์ในเอเชียแปซิฟิกจะโตกว่า 2 เท่าภายในปี 2586">Airbus คาดมูลค่าตลาดบริการเครื่องบินพาณิชย์ในเอเชียแปซิฟิกจะโตกว่า 2 เท่าภายในปี 2586</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

ไม่ได้มีแค่คอนเทนต์บันเทิง! วิจัยเผยชาวอเมริกันราว 17% เสพข่าวทาง TikTok

<h2>ถึงเวลาออกไปปาร์ตี้ เขย่าหัวใจเต้นเเรงกับเทศกาล Halloween ปีนี้คาดชาวอเมริกันใช้จ่ายสะพัด 9 พันล้านเหรียญ ชุดตัวละครเกม Fortnite - ซูเปอร์ฮีโร่ติดอันดับสุดฮิต </h2>
สมาพันธ์ค้าปลีกแห่งชาติของสหรัฐฯ (The National Retail Federation - NRF) ประเมินว่า ชาวอเมริกันมากกว่า 175  ล้านคน จะออกไปเฉลิมฉลองวัน Halloween พร้อมเเต่งกายด้วยชุดเเฟนซีสีสันต่างๆ เเละเดินไปเคาะประตูบ้านเพื่อขอลูกอมขนมหวานตามประเพณี โดยไม่ใช่เพียงเเค่เด็กเเละวัยรุ่นเท่านั้นที่จะออกไปเฮฮาในวันนี้ เเต่ผู้ใหญ่กว่า 7 ล้านคนก็มีแผนจะแต่งชุดเเฟนซีไปร่วมสนุกกับเทศกาลปล่อยผีครั้งนี้ด้วย

สำหรับยอดการใช้จ่ายช่วงเทศกาล Halloween ของชาวอเมริกันในปีนี้ <a href="https://nrf.com/media/press-releases/halloween-spending-reach-9-billion">NRF</a> คาดว่าจะอยู่ที่ 9 พันล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 2.8 แสนล้านบาท) ลดลงจากปีก่อนที่ 9.1 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ เฉลี่ยจะมีการใช้จ่ายต่อหัวที่ 86.79 เหรียญสหรัฐฯ จากปีก่อนอยู่ที่ 86.13 เหรียญสหรัฐ

โดยชาวอเมริกัน 70% ที่จะเข้าร่วมเทศกาล Halloween ในปีนี้ เลือกใช้จ่ายตามร้านค้าที่ประกาศลดราคาเพื่อช็อปปิ้งชุดแฟนซีเเละขนมหวาน ขณะที่ไม่ถึง 25% เลือกซื้อของเกี่ยวกับเทศกาลนี้ผ่านช่องทางออนไลน์  ซึ่งจากผลสำรวจคาดว่า ชาวอเมริกันจะใช้จ่ายในช่วง Halloween เเบ่งเป็น
<ul>
 	<li>เครื่องแต่งกาย 3,200 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (1.05 เเสนล้านบาท)</li>
 	<li>อุปกรณ์ตกแต่ง 2,700 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (8.9 หมื่นล้านบาท)</li>
 	<li>ขนมและลูกกวาด 2,600 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (8.5 หมื่นล้านบาท)</li>
 	<li>การ์ด 400 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (1.32 หมื่นล้านบาท)</li>
</ul>
ข้อมูลของ Google ระบุว่า ชุดตัวละครจากวิดีโอเกมต่างๆ ถูกค้นหาทางโลกออนไลน์มากถึง 4% ของการค้าชุด Halloween ทั้งหมดในปีนี้ โดย 10 อันดับชุดยอดนิยมจากการค้นหาทางออนไลน์ (รวบรวมโดย <a href="https://frightgeist.withgoogle.com/">Frightgeist</a>) ได้เเก่

1. Fortnite

2. Spider-Man

3. Unicorn

4. Dinosaur

5. Witch

6. Harley Quinn

7. Superhero

8. Pirate

9. Rabbit

10. Princess

นอกจากนี้ผลสำรวจยังพบว่า ผู้ที่จะเข้าร่วมเทศกาล Halloween ในปีนี้เกือบ 20% มีเเผนจะเเต่งตัวให้สัตว์เลี้ยงของพวกเขาด้วย 

&nbsp;

ที่มา 
<ul>
 	<li>https://www.forbes.com/sites/sap/2018/10/30/dont-get-spooked-halloween-and-the-digital-supply-chain/#6fc224265ef8</li>
 	<li>https://nrf.com/media/press-releases/halloween-spending-reach-9-billion</li>
 	<li>https://www.foxbusiness.com/personal-finance/americans-spend-9-billion-halloween-record</li>
</ul>
รายงานโดย ศิริลักษณ์ หาพันธ์นา
ภาพ FREDERIC J. BROWN/AFP

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events