<h2>คาร์กิลล์ จับมือกับ อีเค ซลอเทอร์เฮาส์ หรือ อีเคเอส ยกระดับโรงเชือดสุกรสู่มาตรฐานความปลอดภัย CQA ในระดับสากล เพื่อรองรับการพัฒนาเนื้อหมูโอเมก้า 3 และนวัตกรรมใหม่ๆ ในการตอบโจทย์เทรนด์คนรักสุขภาพ และตอบรับมาตรการเปิดประเทศในรูปแบบ New Normal ผ่านเมนูสุขภาพ</h2>
<img class="alignnone size-full wp-image-63993" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/06/คาร์กิลล์_0603.jpg" alt="" width="650" height="424" />

อัครฤทธิ์ บุญทวี กรรมการ บริษัท คาร์กิลล์สยาม จํากัด กล่าวว่า ตามที่คาร์กิลล์ เป็นผู้นําการผลิต และจัดจําหน่ายสินค้าและบริการด้านอาหาร เกษตรกรรม การเงิน และอุตสาหกรรมในระดับโลก เราดําเนินธุรกิจภายใต้ปรัชญาที่ว่า คาร์กิลล์มุ่งมั่นที่จะช่วยให้โลกเจริญเติบโตอย่างยั่งยืน นั้น หนึ่งในภารกิจสําคัญของเราคือช่วยเหลือผู้ประกอบการที่เป็นฟาร์มผู้ผลิตเนื้อสัตว์เพื่อการบริโภคในประเทศไทย พร้อมทั้งยกระดับมาตรฐานคู่ค้าของเราสู่มาตรฐานระดับสากล CQA ที่คาร์กิลล์และบริษัทในเครือยอมรับทั่วโลก

อีกทั้งส่งเสริมขีดความสามารถในการสร้างสินค้า นวัตกรรมใหม่ๆ สําหรับสุขภาพที่ดีในการสร้างภูมิคุ้มกันโรคต่างๆ ของทุกคน โดยทางคาร์กิลล์ได้ร่วมกับ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง พัฒนาผลิตภัณฑ์นวัตกรรมเนื้อสัตว์ให้มีโอเมก้า 3 เพื่อเสริมคุณประโยชน์ให้กับผู้บริโภคเนื้อสัตว์ โดยเฉพาะในเนื้อหมู เนื่องจากปริมาณการบริโภคเนื้อหมูภายในประเทศมีมากถึง 19.34 ล้านตัว หรือ 1.45 ล้านตัน และมีอัตราการเติบโตต่อเนื่อง 3.8% ต่อปี อีกทั้งตอบรับกับทิศทางการบริโภคเพื่อสุขภาพมากขึ้น  จึงได้มีส่วนร่วมในการสนับสนุนให้เกิดการพัฒนาเนื้อหมูโอเมก้า 3 เพื่อให้มีคุณค่าทางโภชนาการสูงขึ้น  และตอบโจทย์ของผู้บริโภคในสถานการณ์ปัจจุบันได้เป็นอย่างดี

ด้าน อินทนนท์ จิราวณิชานันท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อีเค ซลอเทอร์เฮาส์ จํากัด กล่าวว่า ทางอีเคเอสพร้อมเป็นส่วนหนึ่งในการยกระดับสินค้าเกษตรในกลุ่มเนื้อสุกรให้มีมาตรฐานสากล CQA พร้อมทั้งส่งมอบสินค้านวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อสุขภาพ มาจัดจําหน่ายผ่านทางร้าน ALFOODS Market ซึ่งเป็นร้านค้าจัดจําหน่ายสินค้าคุณภาพที่ได้มาตรฐานการรับรองในระดับ CQA ที่ทางคาร์กิลล์ไว้วางใจ โดยในไตรมาสนี้เราได้คัดเลือกสินค้าที่มีคุณภาพจากฟาร์มผู้ผลิตที่ได้มาตรฐานมาเข้าร่วมโครงการ

ผลิตเนื้อหมูโอเมก้า 3 ให้ได้ตามมาตรฐานความปลอดภัยทั้ง 3 ด้าน คือ ปลอดภัยจากสารเร่งเนื้อแดง ปลอดภัยจากยาปฏิชีวนะ และปลอดภัยด้วยขบวนการผลิตที่ได้มาตรฐาน  เพื่อส่งตรงมาจําหน่ายภายใน ALFOODS Market พร้อมทั้งส่งถึงมือผู้บริโภคอย่างปลอดภัย เราจึงมีความภูมิใจอย่างยิ่งที่ได้ยกระดับมาตรฐานสินค้าให้มีมาตรฐานสากลสูงขึ้น และพร้อมเติบโตไปพร้อมกับเรา

อ่านเพิ่มเติม: <a href="https://forbesthailand.com/news/other/%e0%b8%a3%e0%b8%b2%e0%b8%a2%e0%b8%87%e0%b8%b2%e0%b8%99%e0%b8%9e%e0%b8%b4%e0%b9%80%e0%b8%a8%e0%b8%a9-%e0%b8%87%e0%b8%b2%e0%b8%99%e0%b9%80%e0%b8%aa%e0%b8%a7%e0%b8%99%e0%b8%b2-forbes-thailand-forum-2022.html">งานเสวนา Forbes Thailand Forum 2022: THINK AHEAD, FUTURE NEXT</a>

<hr />

<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

คาร์กิลล์ เปิดตัวเนื้อหมูสุขภาพดี มีโอเมก้า 3 ลุยตลาดพรีเมี่ยม

<h2>Cargill ประเทศไทย เผยทุ่มงบลงทุน 2.3 พันล้านบาท หรือราว 70 ล้านเหรียญฯ ในประเทศไทย รองรับการเติบโตของความต้องการบริโภคไก่ปรุงสุกและอาหารทะเลในตลาดโลก ด้าน  David MacLennan ประธานกรรมการบริหารและและประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มคาร์กิลล์ เผยงบลงทุนในไทยแล้วกว่า 3.8 หมื่นล้านบาทตลาด 50 ปีในไทย</h2>
David MacLennan ประธานกรรมการบริหารและและประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มคาร์กิลล์ เดินทางมายังประเทศไทยเพื่อร่วมฉลองความสำเร็จตลอด 50 ปีในไทยพร้อมเผยถึงธุรกิจในประเทศไทยที่ว่า “มีคนถามว่าคาร์กิลล์คืออะไร เราอยากสรุปสั้นว่าเราคือบริษัทหล่อเลี้ยงโลกด้วยอาหารบนความปลอดภัย เรานำอาหารไปสู่ทั่วโลกด้วยความปลอดภัยและยั่งยืน”

David MacLennan กล่าวถึงที่มาถึงการลงทุนในประเทศเมื่อ 50 ปีที่ผ่านมาว่าเมื่อนึกถึงประเทศไทยเรานึกถึงประเทศแห่งอาหารเป็นอันดับแรก โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์จากเนื้อไก่ ซื้อช่วงเริ่มต้น Cargill ทำธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับมันสำปะหลัง ตั้งแต่การลงทุนในวันแรกจนถึงปัจจุบันหากคิดมูลค่าอัตราแลกปัจจุบันลงได้ลงทุนไปแล้วราว 1.15 พันล้านเหรียญฯ หรือถ้าคิดเป็นเงินไทยในปัจจุบันราว 3.8 หมื่นล้านบาท ซึ่งในปัจจุบันเรามีการจจ้างงานไปแล้วกว่า 17,000 คนทั่วประเทศไทย มีโรงงานที่เกี่ยวข้องกับการผลิต 14 แห่ง โดยเราจำนวนผลิตภัณฑ์จากเนื้อไก่ ผลิตอาหารเพื่อปศุสัตว์ และสินค้าจากประมงในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำจำหน่ายในประเทศและส่งออก”
สำหรับภาพ 50 ปีจากนี้ต่อไป เดวิด ยังคงให้ความสำคัญกับเอเชีย จีน เอเชียตะวันเฉียงใต้โดยเฉพาะในประเทศไทย โดยจากเป็นทวีปที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยสาเหตุนี้เองจึงเป็นอีกหนึ่งที่มาของการลงทุนจำนวน 70 ล้านเหรียญฯ ในการเดินหน้าสู่ยุคต่อไปในการดำเนินธุรกิจ
“งบลงทุนรวมกว่า 70 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในครั้งนี้นำมาพัฒนาธุรกิจของกลุ่มบริษัทในสองส่วนคือธุรกิจเนื้อไก่ 65 ล้านเหรียญ และ 5 ล้านเหรียญฯ ในธุรกิจอาหารทะเล ซึ่งเป็นไปและสอดคล้องกับกลยุทธ์องค์กรในการพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อตอบสนองความต้องการของคู่ค้าและลูกค้าของบริษัทฯ ซึ่งครอบคลุมการนำเทคโนโลยีมาใช้ในกระบวบการผลิตและจัดจำหน่ายไก่ปรุงสุก รวมถึงการขยายฐานการผลิตเนื้อไก่ปรุงสุกในจังหวัดนครราชสีมา  ด้านงบประมาณบางส่วนนำไปใช้สำหรับเปิดศูนย์วิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีสัตว์น้ำ และทำการปรับปรุงยกระดับมาตรฐานโรงงานผลิตอาหารสัตว์น้ำในจังหวัดเพชรบุรี” David กล่าว

<figure><img class="wp-image-1969 size-full" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2018/11/คาร์กิลล์-ประเทศไทย-03.jpg" alt="" width="638" height="425" /><figcaption> David MacLennan ประธานกรรมการบริหารและและประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มคาร์กิลล์</figcaption></figure>

ด้านการลงทุนด้านเทคโนโลยีบริษัทได้ลงทุนระบบ SAP เข้ามาประยุกต์ใช้ในตลาดเมืองไทยและพร้อมใช้งานราวไตรมาสที่ 2 ของปี 2562 ด้วยระบบดังกล่าวนี้ทำให้เราสามารถเชื่อมโยงเข้ากับผู้ใช้อื่นๆ ที่ใช้งานในระบบเดียวกันได้ นอกจากนี้เรายังเตรียมนำการวิเคราะห์ข้อมูลแบบดิจิทัลมาใช้วิเคราะห์จากข้อมูลด้านดิจิทัลที่เรามี

ทั้งนี้ David เปิดเผยด้วยว่าสำหรับรายได้ปี 2018 (มิถุนายน – พฤษภาคมของทุกปี) ประเทศไทยเรามีรายได้มากกว่า 1 พันล้านเหรียญฯ สำหรับปีหน้าคาดการณ์บริษัทเติบโตราว 3-5 เปอร์เซ็นต์ ทั้งมีสัดส่วนการส่งออกเนื้อไก่ปรุงสุกปยังประเทศญี่ปุ่นเป็นอันดับหนึ่ง และมีการส่งออกไปยังยุโรป และแคนาดา อีกด้วย

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events