<h2>สถาบันคุ้มครองเงินฝาก (สคฝ.) รายงานสถิติเงินฝาก ณ สิ้นเดือน ส.ค. 66 พบว่าจำนวนผู้ฝากที่ได้รับการคุ้มครองมีจำนวน 93.46 ล้านราย คิดเป็นการเติบโต 3.37% ขณะที่จำนวนเงินฝากที่ได้รับความคุ้มครอง 15.96 ล้านล้านบาท ลดลง 1.32% ซึ่งเกิดจากปัจจัยความผันผวนทางเศรษฐกิจ</h2>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ทรงพล ชีวะปัญญาโรจน์” ผู้อำนวยการ สถาบันคุ้มครองเงินฝาก (สคฝ.) กล่าวว่า “จากสถิติเงินฝากตั้งแต่ปี 2562 – ส.ค. 2566 พบว่า ถึงแม้จำนวนผู้ฝากที่มีเงินฝากไม่เกิน 50,000 บาท จะมีจำนวนที่เพิ่มมากขึ้นต่อเนื่องทุกปี โดยในเดือน ส.ค. 2566 มีอัตราการเติบโตอยู่ที่ 4.45% แต่จำนวนเงินฝากกลับเริ่มมีการหดตัวตั้งแต่ปี 2565 -0.63% และในเดือน ส.ค. 2566 -3.61%&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในขณะที่ผู้ที่มีเงินฝากมากกว่า 50,000 บาทแต่ไม่เกิน 1 ล้านบาท มีการปรับตัวลงทั้งจำนวนเงินฝากและจำนวนผู้ฝากตลอดช่วงระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องจากค่าครองชีพที่สูงขึ้น ส่งผลกระทบกับผู้ฝากที่มีเงินฝากไม่มากนักจึงต้องนำเงินออมมาใช้จ่าย จนอาจทำให้สุขภาวะที่ดีทางการเงินอ่อนแอลงได้ <div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/11/zqbG4YSrTbm2uHvgcDWJ.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="zqbG4YSrTbm2uHvgcDWJ.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0"></figure></div>​ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;หรือแม้แต่ในกลุ่มผู้ฝากรายใหญ่ที่เริ่มมีตัวเลขเงินฝากลดลงในปีนี้ ซึ่งเกิดจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก แรงกดดันจากภาวะสงคราม ราคาพลังงานปรับตัวสูง และการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางต่างๆ ของโลก ต่างกำหนดนโยบายการเงินที่เข้มงวดเพื่อรักษาระดับอัตราดอกเบี้ยให้อยู่ในระดับสูง ส่งผลโดยตรงต่อการบริโภคและการลงทุน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดยจากรายงานข้อมูลสถิติเงินฝากที่ได้รับความคุ้มครอง ณ สิ้นเดือนสิงหาคม 2566 พบว่ามีจำนวนเงินฝากที่ได้รับความคุ้มครอง 15.96 ล้านล้านบาท ลดลงจากสิ้นปี 2565 จำนวน 212,688 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 1.32&nbsp;สาเหตุมาจากปัจจัยด้านสภาวะเศรษฐกิจ ค่าครองชีพที่สูงขึ้น ประกอบกับผลิตภัณฑ์การลงทุนที่ช่วยเพิ่มทางเลือกให้กับนักลงทุนที่แสวงหาผลตอบแทนสูง​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/11/NrgSEgAEBTvXdMuvNLwv.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="NrgSEgAEBTvXdMuvNLwv.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="1"></figure></div>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดยคาดว่าในปีนี้จะมีแนวโน้มหดตัวต่อเนื่อง&nbsp;สอดคล้องกับภาพรวมสินเชื่อที่ยังเติบโตในกรอบต่ำ ขณะที่จำนวนผู้ฝากที่ได้รับการคุ้มครองมีจำนวนเพิ่มขึ้นเป็น 93.46 ล้านราย เพิ่มขึ้นจากปี 2565 จำนวน 3.05 ล้านราย คิดเป็นการเติบโตร้อยละ 3.37 &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดยปัจจุบันวงเงินคุ้มครองเงินฝากตามที่กฎหมายกำหนด 1 ล้านบาท ยังคงสามารถคุ้มครองผู้ฝากเงินได้เต็มจำนวน ครอบคลุมผู้ฝากเงินรายย่อยส่วนใหญ่ของประเทศ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 98.09 ของผู้ฝากเงินที่ได้รับความคุ้มครองทั้งระบบ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;จากการติดตามสถิติเงินฝากและปัจจัยความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของเศรษฐกิจ สังคม และสภาพแวดล้อม ทำให้สถาบันคุ้มครองเงินฝากต้องเร่งเดินหน้าขับเคลื่อนแผนยุทธศาสตร์ระยะที่ 4 (พ.ศ. 2566 – 2570) ในหลายเรื่อง รวมถึงการถอดบทเรียนการแก้ไขปัญหาสถาบันการเงินในต่างประเทศ เพื่อใช้เป็นกรณีศึกษาให้เกิดความเข้าใจถึงการบริหารจัดการและแนวทางในการกอบกู้สถานการณ์เหตุการณ์วิกฤตสถาบันการเงิน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ สคฝ. ยังคงตอกย้ำวิสัยทัศน์การเป็นองค์กรคุ้มครองเงินฝากที่น่าเชื่อถือและทันสมัย พร้อมสร้างความเชื่อมั่นให้ประชาชนและผู้ฝากเงิน โดยมุ่งเน้นการพัฒนาประสิทธิภาพด้านการจ่ายเงินคุ้มครองและชำระบัญชี รวมถึงสนับสนุนการเสริมสร้างสุขภาวะทางการเงินที่ดีให้กับประชาชน ด้วยความรู้ทางการเงินเกี่ยวกับการคุ้มครองเงินฝาก&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดยวางเป้าหมายการดำเนินงานปี พ.ศ. 2567 ที่สำคัญ อาทิ การประมวลผลข้อมูลผู้ฝากจากสถาบันการเงินที่อยู่ภายใต้กฎหมายคุ้มครองเงินฝากให้มีความถี่ขึ้นและความร่วมมือกับธนาคารเฉพาะกิจในการเป็น Paying Agent การเตรียมกระบวนการด้านชำระบัญชีและบริหารสินทรัพย์&nbsp;รวมถึงการพัฒนาสัญลักษณ์คุ้มครองเงินฝากให้ครอบคลุมการแสดงบนช่องทางบริการทางการเงินดิจิทัล และรองรับการจัดตั้งสถาบันการเงินในรูปแบบธนาคารไร้สาขา (Virtual Bank) ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต โดยมีเป้าประสงค์หลักเพื่อให้ผู้ฝากและประชาชนมั่นใจในสถาบันการเงินที่ผู้ฝากใช้บริการและเชื่อมั่นในระบบสถาบันการเงินของประเทศ&nbsp; &nbsp; อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง:&nbsp;<a target="_blank" href="https://www.forbesthailand.com/finance-and-investment/news/%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2%E0%B8%9E%E0%B8%B2%E0%B8%93%E0%B8%B4%E0%B8%8A%E0%B8%A2%E0%B9%8C-%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD-%E0%B8%9E%E0%B8%B8%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%89%E0%B8%B2-9-%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%A3%E0%B8%81-5-2-%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%97" alt="ไทยพาณิชย์ ปล่อยสินเชื่อพุ่งเกินเป้า 9 เดือนแรก 5.2 หมื่นล้านบาท">ไทยพาณิชย์ ปล่อยสินเชื่อพุ่งเกินเป้า 9 เดือนแรก 5.2 หมื่นล้านบาท</a>

เศรษฐกิจโลกชะลอตัว ค่าครองชีพสูง ฉุดยอดเงินฝากคนไทยลดลงจากปีก่อนกว่า 2 แสนล้าน

<h2>ก่อนที่จะก่อตั้ง Pink Millionaire Club Nicola Smith Jackson ในวัย 23 ก็ต้องเลี้ยงดูลูกถึง 3 คน แถมยังต้องทำงานที่ร้านเสริมสวยเกินเวลาอยู่บ่อยครั้งเผื่อที่จะสามารถพยุงทุกคนเอาไว้ ตอนนี้เธอเป็นนักธุรกิจมือฉมังที่พร้อมส่งต่อความสำเร็จ</h2>
<img class="aligncenter size-full wp-image-54151" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/11/approve-photo-5-scaled-e1637137538782.jpeg" alt="" width="533" height="800" />

25 ปีต่อมา Nicola Smith Jackson กลายเป็นนักธุรกิจที่ไม่เคยวางมือ โดยนอกจาก Pink Millionaire Club แล้ว เธอยังช่วยชี้แนะตัวแทนขายกว่า 450,000 คนในกว่า 30 ประเทศว่าพวกเขาเองจะสามารถให้การบริการด้านการเงินที่ถูกต้องตามกฎหมายให้แก่นักธุรกิจหญิงที่มองหาวิธีการลดหนี้และกลับลำชีวิตซะใหม่ ได้อย่างไร

ความไม่ยุติธรรมเชิงโครงสร้าง และความไม่เท่าเทียมมีผลต่อการสร้างชีวิตทางการเงินที่ดีมาก และสถานการณ์โรคโควิด-19 ยังเผยให้เห็นว่า ผู้หญิงได้รับผลกระทบด้านการเข้าถึงบริการทางการเงิน และความเท่าเทียมด้านการเงินในสัดส่วนที่ไม่เท่ากับผู้ชายอีกต่างหาก

ในปี 2020 งานวิจัยจาก <a href="https://www.pewresearch.org/fact-tank/2021/05/25/gender-pay-gap-facts/">Pew Research Center </a>พบว่าผู้หญิงมักจะได้รับเงินเพียงร้อยละ 84 จากที่ผู้ชายได้รับ ในขณะที่ในปี 2019 ผู้หญิงจะ<a href="https://www.census.gov/content/dam/Census/library/publications/2020/demo/p60-270.pdf#page=18">ได้รับ 82 เซนต์</a> ของทุกๆ 1 เหรียญสหรัฐฯ ที่ผู้ชายได้รับ 

วิกฤติการเงินที่ผู้หญิงทั้งหลายเผชิญอยู่นี้กำลังอยู่ในช่วงที่ย่ำแย่เป็นพิเศษ และควรจะเป็นเรื่องที่เราพูดถึงมากกว่านี้ รวมความไม่เท่าเทียมเชิงโครงสร้าง ภาพเหมารวมเชิงเพศ และบทบาทต่างๆ ที่เป็นตัวก่อให้เกิดปัญหานี้อีกด้วย การที่เราเข้าจัดการกับปัญหาทักษะด้านการเงินแบบนี้ ทำให้เราสามารถเสาะหาพื้นที่ที่เราจะพูดถึงช่องว่างเชิงเพศด้านการเข้าถึงบริการทางการเงินได้ ผ่านการให้ความรู้ ผลักดัน และชักชวนผู้หญิงให้เป็นผู้กำหนดการเงินของตัวเอง

“การไร้ทักษะทางการเงิน ความจริงแล้ว เป็นหนึ่งในเหตุผลหลักที่ผู้คนทั่วโลกยังคงต้องต่อสู้กับปัญหาเรื่องเงิน รวมถึงการลงทุนอย่างเหมาะสม” Jackson ผู้ก่อตั้ง และ CEO แห่ง <a href="https://pinkmillionaireclub.com/">Pink Millionaire Club</a> กล่าว “ในทางกลับกัน บุคคลที่มีทักษะทางการเงินก็สามารถจัดการเงินของตัวเองได้เก่งกว่า วางแผนระยะยาวได้ดีกว่า และสร้างธุรกิจเองตั้งแต่เริ่มต้นจนมีกำไรได้คล่องกว่า ฉันช่วยคนธรรมดาๆ ให้กลายเป็นนักธุรกิจที่พิเศษเหนือใคร ด้วยธุรกิจที่ทำได้จากที่บ้าน และก็ช่วยพวกเขาสร้างเนื้อสร้างตัว สร้างแนวคิดแบบผู้นำไปพร้อมๆ กัน” เธอกล่าวเสริม

แต่นี่ก็ไม่ใช่สูตรสำเร็จแบบข้ามคืน โดยเฉพาะเมื่อมีข้อมูลล้นหลามอยู่บนโลกอินเทอร์เน็ต และคุณก็ต้องคัดว่าข้อมูลนั้นมีค่าหรือเกินจริงเองอีก

นี้คือ 3 แนวทางที่ Jackson กล่าวว่าจะสามารถช่วยให้นักธุรกิจหญิงทั้งหลายสามารถจัดการกับกระบวนความคิดด้านการเงินของตัวเองได้

<img class="aligncenter size-full wp-image-54152" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/11/2fb7ibe2e_1627015969032-e1637137614184.jpeg" alt="" width="720" height="480" />
<h3>ไม่สำคัญว่าคุณมาจากไหน สำคัญแค่คุณสู้แค่ไหนมากกว่า</h3>
หนึ่งในคำแนะนำจาก Nicola ที่สำคัญที่สุดคือ มันไม่สำคัญเลยว่าคุณเป็นใคร มาจากไหน คุณไม่จำเป็นต้องมีใบปริญญา หรือพ่อแม่ที่ร่ำรวยในการสร้างตัว เธอกลายเป็นหนึ่งในกลุ่มคนร้อยละ 1 อันดับต้นในแวดวงธุรกิจของเธอ โดยปราศจากสิ่งเหล่านี้ ทั้งนี้ทั้งนั้น ความสำเร็จก็ต้องแลกมาด้วยการเสียสละ เสียเหงื่อ และต้องทุ่มเท ถ้าคุณพร้อมที่จะลงแรง ความสำเร็จก็อยู่ไม่ไกล Nicola ยังได้เตือนหลายๆ คนอีกด้วยว่า มันไม่มีเวลาที่เพอร์เฟ็คในการเริ่มลงมือทำอะไรสักอย่างหรอก

“ฉันไม่ได้ถูกเลี้ยงดูมาอย่างดีนักหรอก ไหนจะดรอปเรียน และยังมีลูกๆ ที่ต้องคอยเลี้ยงดูตั้งแต่อายุ 23 อีก แต่อย่างไรก็ตาม ฉันสามารถไต่ไปถึงร้อยละ 1 อันดับต้นๆ ของวงการของฉันได้โดยไม่มีใบปริญญา หรือเงินทองที่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษเลย” Jackson กล่าวถึงอดีตของเธอ “การไม่พลัดวันประกันพรุ่งเป็นอะไรที่สำคัญมากๆ เพราะว่ายิ่งคุณเริ่มลงมือทำตามความฝันเร็วเท่าไร คุณก็จะประสบความสำเร็จเร็วเท่านั้น มันไม่มีช่วงเวลาที่เหมาะสมที่จะเริ่มทำอะไรหรอก เพราะฉะนั้น จะรอไปทำไมหล่ะ”
<h3>ความผิดพลาดทางการเงินเกิดขึ้นอยู่แล้ว แต่คุณจะเรียนรู้อะไรจากมัน</h3>
สำหรับคนที่กำลังดิ้นรนอยู่ Nicola ก็มีเคล็ดลับเล็กๆ น้อยๆ มาบอก “อย่างแรกเลยนะ ความผิดพลาดเรื่องเงินทองมันเป็นอะไรที่คุณควรจะเรียนรู้จากมัน  หากคุณรู้สึกเหมือนเจอทางตัน ลองถอยออกมาสักก้าว อย่างจมปลักอยู่กับความเศร้าหรือความโมโหที่เกิดขึ้นจากปัญหาการเงินทั้งหลาย ในทางกลับกัน มองความผิดพลาดเหล่านั้นเสมือนสิ่งท้าทายที่ทำให้คุณปรับเปลี่ยนอะไรบางอย่าง จากนั้น ก็คิดหาแนวทางที่ชัดเจนว่าจะทำอย่างไรกับการเงินของคุณ แนวทางนี้ตะช่วยให้คุณก้าวไปข้างหน้า และขว้าเป้าหมายของคุณไว้ได้ ตราบใดที่คุณเองก็ยังคงมีความพยายามที่จะพัฒนาอยู่นะ”

ส่วนใครที่กำลังเผชิญหน้ากับความลำบาก หนึ่งในความจริงที่คุณจะต้องยอมรับให้ได้เพื่อที่คุณจะสามารถก้าวต่อไป คือ ความผิดพลาดทางการเงินมันต้องเกิดขึ้นอยู่แล้ว “คุณแค่ต้องเรียนรู้จากมันให้ได้” Jackson กล่าว “ถึงแม้มันเหมือนทุกอย่างจะจบสิ้น คูนเองก็ต้องอย่าสับสนระหว่างการถอยออกมากับการงุ่มง่ามอยู่ในอารมณ์เศร้าหรือโมโห มองความความผิดพลาดเหล่านี้เป็นความท้าทายใหม่ๆ ให้คุณได้เปลี่ยนแปลง”

ให้อภัยตัวเอง เรียนรู้จากมัน และก้าวต่อไป
<h3>เลือก Niche ของเราเอง</h3>
นักธุรกิจหน้าใหม่มักจะพลาด โดยคิดว่าพวกเขาสามารถแก้ปัญหาให้กับ “ทุกคน” ได้ หรือไม่ก็ผลิตภัณฑ์หรือบริการของพวกเขาจะถูกใช้โดยทุกคน นี่เป็นวิธีฆ่าธุรกิจตัวเองที่เร็วที่สุด มันเป็นเรื่องสำคัญเลยทีเดียวที่เราจะระบุตลาดที่เราจะให้คำตอบกับพวกเขาได้อย่างชัดเจน

“หากคุณจมปลักอยู่กับความคิดที่ว่าคุณจะสามารถช่วยทุกคนได้พร้อมๆ กัน คุณจะล้มเหลวแน่นอน” Jackson อธิบาย “สำหรับฉัน ฉันมีความมุ่งมั่นที่จะช่วยคุณแม่ทุกวัย และนักธุรกิจผู้หญิงมากๆ โดยความมุ่งมั่นนี้ช่วยนำทางให้ฉันสามารถให้หาทางออกให้พวกเธอได้อย่างถูกวิธี”

“ผู้หญิงเป็นส่วนสำคัญของโลกนักธุรกิจ และพวกเธอก็เป็นผู้สร้างความเปลี่ยนแปลงที่อุตสาหกรรมที่ต้องการ เราจะสามารถทะลายความอยุติธรรมด้านการเงินนี้ได้ก็ต่อเมื่อเราคอยผลักดันผู้หญิงเหล่านี้ ทั้งในที่ทำงานและที่บ้านของพวกเธอ และถ้าเราจะปิดช่องว่างด้านรายรับที่เป็นผลมาจากเศรษฐกิจและเพศระดับประเทศหล่ะก็ เราต้องมองหาวิธีการที่เราจะสอนทักษะได้การเงินให้เข้ากับความต้องการส่วนบุคคลที่ไม่มีสอนตามโรงเรียนให้ได้ และน่าเสียดายที่เรายังไม่สามารภทำเช่นนั้นได้” เธอทิ้งท้าย

แปลและเรียบเรียงโดย ทัตชญา บุษยากิตติกร จากบทความ Financial Literacy Is Crucial For Female Entrepreneurs เผยแพร่บน Forbes.com

อ่านเพิ่มเติม: <a href="https://forbesthailand.com/world/europe/female-invest-%e0%b8%a3%e0%b8%b1%e0%b8%9a%e0%b9%80%e0%b8%87%e0%b8%b4%e0%b8%99%e0%b8%ab%e0%b8%99%e0%b8%b8%e0%b8%99-4-5-%e0%b8%a5%e0%b9%89%e0%b8%b2%e0%b8%99%e0%b9%80%e0%b8%ab%e0%b8%a3%e0%b8%b5%e0%b8%a2.html">Female Invest รับเงินหนุน 4.5 ล้านเหรียญฯ มุ่งผลักผู้หญิงเป็นนักลงทุน</a>

<hr />

<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

Pink Millionaire Club คลับแห่งความรู้เพื่อนักธุรกิจหญิงทุกคน

<h2>ทฤษฏี Modern Portfolio Theory นับเป็นรากฐานสำคัญในการบริหารจัดการทางการเงินของโลก แต่นักคณิตศาสตร์จาก Boston คู่นี้ยกเครื่องทฤษฎีการจัดพอร์ทสู่อีกระดับ และสามารถเอาชนะตลาดได้อย่างประสบความสำเร็จ</h2>
ในบรรดานักวิชาการทั้งหลาย มีน้อยคนนักที่จะผลิตผลงานให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในระดับโลกได้เท่า Harry Markowitz บิดาของทฤษฎีจัดพอร์ทลงทุนสมัยใหม่ Markowitz สร้างทฤษฎีต้นแบบอันนี้เมื่อเขาเป็นนักศึกษาปริญญาเอกในวัยแค่ 23 ปีที่ University of Chicago ในปี 1950 ต่อมาเขาก็ได้รับรางวัล Nobel จากผลงานนี้ในปี 1990 จัดการด้านการเงินทั้งหลายต่างใช้แนวทางตามทฤษฎีดังกล่าวในการค้นหาหุ้นที่ให้ผลตอบแทนที่ดีสุดผ่านการประเมินสมมติฐานด้านความเสี่ยง ปัจจุบันระบบ mean-variance optimization หรือ efficient frontier ของ Markowitz ถูกนำไปใช้ในซอฟต์แวร์ของที่ปรึกษาทางการเงินมากมายในการจัดการพอร์ทการลงทุน

ทว่า ทฤษฎีดังกล่าวก็มีช่องโหว่สำคัญเช่นกันเครื่องมือเชิงคณิตศาสตร์ที่ Markowitz ใช้นั้นไม่ค่อยยืดหยุ่นเท่าไร โดยในโลกการซื้อขายหุ้นและตราสารหนี้ของจริงซึ่งห้อมล้อมไปด้วยข่าวสารที่คลุมเครือนั้นผลลัพธ์บางครั้งอาจจะไม่เป็นไปตามที่คาดได้ที่ New Frontier Advisors บริษัทจัดการสินทรัพย์ที่เต็มไปด้วยบุคลากรระดับปริญญาเอกใน Boston องค์กรนี้ใช้กลไกกองทุนรวมซึ่งมีหน่วยซื้อขายในตลาดในราคาไม่สูงนัก ตอบโจทย์การลงทุนได้เหนือกว่า Markowitz ในเวลากว่าทศวรรษที่ผ่านมา ลูกค้าของบริษัทหลายคนเอาชนะตลาดในดัชนีหุ้นและตราสารหนี้ได้ราว 1-2% หลังหักค่าธรรมเนียมแล้ว โดยสินทรัพย์ของบริษัทตอนนี้พุ่งไปเกือบ 3 พันล้านเหรียญแล้ว

“ทฤษฎีของ Markowitz มีคำอธิบายอย่างเป็นเหตุผลและสะท้อนพฤติกรรมของนักลงทุนที่มีความรอบรู้” Richard Michaud นักคณิตศาสตร์ที่จบจาก Boston University และเป็นผู้ก่อตั้ง New Frontier วัย 75 ปีกล่าวและว่า “แต่เมื่อคุณลองที่จะใช้มันแล้วคุณจะรู้สึกว่ามันไม่สามารถใช้ได้จริง” Michaud เผยว่าการใช้สมการของ Markowitz เพียงอย่างเดียวบางทีก็ให้ผลการจัดพอร์ทการลงทุนที่แปลกประหลาดออกมา ตัวอย่างเช่น การคำนวณ efficient frontier ของเจ้าของรางวัล Novel คนนี้ อาจแนะนำจัดพอร์ทให้โดยมีหุ้นในประเทศบราซิล 25% ส่วนอีก 30% ไปลงในหุ้นตัวเล็กๆ ในกิจการที่ต่างออกไป แต่ที่ปรึกษาทางการเงินส่วนใหญ่จะมองว่าการจัดสรรพอร์ทแบบนี้มันเป็นการให้น้ำหนักที่มากเกินไปกับสองกลุ่มนี้นักวิเคราะห์แก้ปัญหานี้โดยตั้งเพดานว่าหุ้นกลุ่มเหล่านี้น่ามีจำนวนเปอร์เซ็นต์เท่าไรในพอร์ท ซึ่งการทำลักษณะนี้แปลว่าเขามองข้ามทฤษฎีอันทรงพลังของ Markowitz ไปเรียบร้อยตั้งแต่เริ่มแรก

“เกือบทุกๆ ซอฟต์แวร์การจัดการลงทุนมีความลับที่ไม่ดีนักซ่อนอยู่เสมอ มันไม่ได้ปล่อยให้ทฤษฎีเข้าไปช่วยจัดพอร์ทการลงทุนได้อย่างเต็มที่” Robert ลูกชายอายุ 44 ปีของ Richard กล่าว ทั้งนี้ เขาช่วยพ่อเขียนโปรแกรมการลงทุนตั้งแต่อายุ 12 ปี ต่อมาเขาตัดสินใจออกจากการเรียนปริญญาเอกด้านการเงินจาก Anderson School ที่ UCLA และหันมาร่วมงานกับ New Frontier ในปี 2001 “ซอฟต์แวร์จะกำหนดให้ผู้ใช้เป็นคนป้อนข้อมูลลงไปว่าอยากได้พอร์ทแบบไหน” Robert ระบุ

ครอบครัว Michaud ไม่ใช้วิธีการป้อนข้อมูลการประเมินที่ยังเชื่อถือได้น้อยสู่ระบบคอมพิวเตอร์พวกเขาสร้างชั้นแบบจำลองนับพันของ Monte Carlo ซึ่งเป็นเทคนิคทางคณิตศาสตร์ผ่านวิธีการสุ่ม โดยสร้างผลลัพธ์ที่เป็นไปได้สำหรับหุ้นแต่ละตัวและกลุ่มหลักทรัพย์ จากนั้นพวกเขาก็ใช้เทคนิคคณิตศาสตร์ขั้นสูงออกแบบพอร์ทที่คิดว่าจะสร้างผลตอบแทนได้ดีสุดจากหลายๆ ทางเลือก วิธีการนี้จะช่วยสร้างพอร์ทที่ปรับค่าความเสี่ยงที่ดีที่สุดออกมาได้ใช่ว่าทุกคนจะเห็นด้วยกับวิธีการของ Michaud “สิ่งที่เขาพวกกำลังทำอยู่ สำหรับในเชิงทฤษฎีแล้วเป็นสิ่งที่ผิด” John Liechty ศาสตราจารย์ที่ Penn State กล่าว แม้กระนั้นก็ตาม Markowitz ยังให้การยอมรับในศักยภาพของ New Frontier “ผมเคยประเมินว่า ผมจะสามารถสร้างกลไกที่จะเอาชนะ Michaud ได้ในการลงทุน แต่ผมต้องยอมรับว่าเขาเป็นผู้ชนะ”Markowitz วัย 89 ปีกล่าว เขามอง

<img src="http://forbesthailand.com/uploads/library/4b7ed00b3af8b7659ab798b257fd3d31.jpg" alt="" />
Harry Markowitz บิดาของทฤษฎีจัดพอร์ทลงทุนสมัยใหม่ (Photo Credit: Likedin)

Michaud ว่าเป็นเพื่อนคนหนึ่งทั้งๆ ที่มุมมองยังแตกต่างกันหลายๆ เรื่อง Michaud เริ่มจะมองหาจุดอ่อนในทฤษฎีของ Markowitz ขณะที่เขาเป็นนักวิเคราะห์ให้กับบริษัทจัดการสินทรัพย์ Boston Co ในช่วงทศวรรษที่ 70 พ่อของ Michaud เป็นตำรวจที่ Boston ขณะที่คุณแม่ทำงานเป็นสาวโรงงาน เขาเรียนจบจาก Northeastern University และได้รับปริญญา เอกด้านคณิตศาสตร์จาก Boston University Boston Co นับว่าเป็นบริษัทที่บุกเบิกการแนะแนวการลงทุนผ่านระบบคอมพิวเตอร์แต่ Michaud ตระหนักดีว่าการใช้สูตรของ Markowitz ผ่านกลไกคอมพิวเตอร์บางครั้งไม่ได้สร้างพอร์ทที่จะเอาไปใช้จริงได้ ยกตัวอย่าง เช่น พอร์ทหนึ่งระบุว่าเงินลงทุน 1 ใน 3 จะไปลงในตลาดหุ้นออสเตรีย ทั้งที่ในขณะนั้น Boston Co สามารถซื้อตลาดหุ้นในออสเตรียทั้งหมดได้

ในปี 1989 Michaud เขียนบทความสำคัญชิ้นหนึ่งที่ตีแผ่ปัญหาการใช้วิธี optimization ของ Markowitz เขาใช้เวลานับทศวรรษหลังจากนั้นในการที่จะหาคำตอบ ในช่วงทศวรรษ 90 เขาทำงานให้กับ Acadian Asset Management ส่วนลูกชายทำงานพาร์ทไทม์เขียนโปรแกรมให้กับบริษัทขณะที่เขายังเรียนปริญญาตรีที่ MIT พ่อลูกคู่นี้เป็นคนที่ชอบการแข่งขันมาก Robert กล่าวว่าเขาชอบเล่นหมากรุกกับพ่อจนกระทั่งเขาสามารถเอาชนะพ่อได้อย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ทั้งคู่ร่วมมือในการสร้างแบบจำลองการลงทุนให้กับบริษัท ทั้งคู่เป็นเจ้าของสิทธิบัตรถึง 4 ใบและกำลังจะคว้าอีก 2 ใบในอนาคตพ่อลูก Michaud เริ่มก่อตั้งธุรกิจด้วยการขายซอฟต์แวร์ให้กับบริษัทจัดการลงทุน

จนกระทั่ง AssetMark บริษัทที่ปรึกษาด้านการเงินจาก California เสนอให้ทั้งคู่ก้าวเข้าไปสู่โลกบริหารทางการเงิน จากโอกาสอันนี้ทั้งคู่มีโอกาสทำความรู้จักกับที่ปรึกษาทางการเงินหลายพันคน ร่วมซื้อขายหน่วยลงทุนและทำงานเบื้องหลังอื่นๆ ทั้งนี้ New Frontier ซึ่งเป็นบริษัทของทั้งคู่ จะได้รับค่าธรรมเนียมตั้งแต่ 0.1% ถึง 0.35% ส่วน AssetMark จะได้ราว 0.7% ปีที่แล้วบริษัท Huatai Securities ของจีนเข้ามาซื้อกิจการของ AssetMark และตอนนี้พ่อลูก Michaud ก็มีความปรารถนาที่จะเผยแพร่แนวคิดการจัดการเชิงปริมาณของ New Frontier ต่อนักลงทุนจีนที่กำลังเพิ่มมากขึ้นต่อไป

แม้ว่าผลประกอบการของ New Frontier เองจะได้ไม่ดูน่าตื่นเต้นอะไร แต่พอร์ทการลงทุนทั้งแบบสัดส่วนการลงทุนในหุ้น 40% กับตราสารหนี้ 60% หรือ หุ้น 60% กับตราสารหนี้ 40% ก็เอาชนะตลาดได้มากกว่า 1 เปอร์เซ็นต์หลังหักค่าธรรมเนียมมาต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2004 ปัจจุบันกองทุน ETF ซึ่งถือพันธบัตรของรัฐบาลสหรัฐฯ มีคนเข้ามาลงทุนเป็นจำนวนมาก แม้ว่าหลายคนจะมีความกังวลเรื่องการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอยู่ก็ตาม
“ในมุมมองของลูกค้าเราแล้ว เราเน้นการลงทุนไปที่ตราสารหนี้ของรัฐมากเกินไป” Robert กล่าว “ซึ่งนั่นอาจจะกระทบต่อธุรกิจเราบ้าง แต่สำหรับเราแล้วเป็นการจัดสรรปันส่วนที่ลงตัวที่สุด”

กองทุน ETF ที่เอาชนะทฤษฎีของ Markowitz

New Frontier เข้าไปลงทุนใน 27 กองทุน ETF ซึ่งมีตั้งแต่เน้นไปที่ Junk Bond ทองคำ พันธบัตรชดเชยเงินเฟ้อ ไปจนหุ้นที่มีความผันผวนต่ำ ส่วนในพอร์ทของ Michaud ซึ่งมีสัดส่วนหุ้น 40% และตราสารหนี้ 60% นั้น ประกอบไปด้วยกองทุน 5 อันดับแรกดังนี้ iShares 7-10 Year Treasury Bond ETF (IEF) (13%) iShares MBS ETF (MBB) (10%) iShares 20+ Year Treasury Bond ETF (TLT) (9%) ส่วน Vanguard Value ETF (VTV) และ iShares Core MSCI Pacific ETF (IPAC) (กองทุนละ 6%) สำหรับผู้ที่ต้องการลงทุนในพอร์ทสัดส่วนหุ้น 60% และพันธบัตร 40% นั้น 5 อันดับกองทุนแรกคือ VTV ที่ 11% Vanguard Growth ETF (VUG) และ TLT กองทุนละ 9% IPAC ที่ 8% และ IEF ที่ 6%

<hr />

<a href="http://goo.gl/kx737e">คลิกอ่าน "พ่อลูกกูรูจัดพอร์ทการลงทุน” ฉบับเต็มได้ที่ Forbes Thailand Magazine ฉบับ กรกฎาคม 2560 ในรูปแบบ e-Magazine</a>
<a href="https://goo.gl/kx737e"><img class="" src="http://forbesthailand.com/uploads/library/d6fb3a521266ed2595ff4f49cdf05ba3.png" alt="" width="291" height="385" /></a>

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events