พรรณอวิกา ลิมปะพันธุ์ นำทัพ DGT เจาะกำแพงตลาดจีน - Forbes Thailand

พรรณอวิกา ลิมปะพันธุ์ นำทัพ DGT เจาะกำแพงตลาดจีน

จีนแผ่นดินใหญ่ไม่ได้ยิ่งใหญ่เฉพาะพื้นที่ แต่ยังเป็นตลาดใหญ่ที่ทั่วโลกจับตา แม้จำนวนประชากร 1,409 ล้านคนในปี 2566 เริ่มลดลง แต่กำลังซื้อของจีนยังคงมหาศาล หลายคนจึงพุ่งเป้าสู่ตลาดจีนต่อเนื่อง


    การเจาะตลาดจีน มหาอำนาจทางเศรษฐกิจแห่งโลกตะวันออกไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ด้วยเทคโนโลยีและโลกสื่อสารออนไลน์ที่รวดเร็วทำให้การวางเป้าหมายเข้าสู่ตลาดจีนมีทางเลือกมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อสร้างการรับรู้ผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ของจีนที่ทรงอานุภาพต่อผู้บริโภควัยหนุ่มสาว “คนจีนย่อมเข้าใจคนจีน” ดังนั้น คนที่คุ้นเคยกับวัฒนธรรมจีนและใช้ภาษาจีนจึงได้เปรียบ ดังเช่น อ๋อม-พรรณอวิกา ลิมปะพันธุ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ดิจิลิ้งก์ (ประเทศไทย) จำกัด (DGT) ที่คนในวงการเรียกว่า “เจ้าแม่เอเจนซี่ตลาดจีน” เพราะครองพาร์ตเนอร์สื่อออนไลน์จีนครอบคลุมทั้ง WeChat, Mafengwo, Juwai, Douyin, Xiaohongshu และ Weibo สามารถเชื่อมโยงตลาดจีนได้อย่างทั่วถึงและรวดเร็ว 

    พรรณอวิกาเป็นคนรุ่นใหม่ในช่วงวัย 30+ ที่ผ่านการทำงานและมีธุรกิจดิจิทัลเอเจนซี่ของตัวเองตั้งแต่อายุยังไม่ครบ 30 ก่อนที่เธอจะตัดสินใจเริ่มธุรกิจ “ดิจิลิ้งก์ ไทยแลนด์” ในปี 2562 เพื่อเชื่อมโยงตลาดจีนอย่างจริงจังและเป็นที่ยอมรับในวงการ ก่อนหน้านั้นเธอเปิดบริษัทเอเจนซี่ของตัวเองในชื่อ เดอะ ฟิฟธ์ เธอร์สเดย์ (The Fifth Thursday) โดยรวบรวมประสบการณ์ที่เคยทำงานกับ บริษัท ซีเจ เวิร์ค (CJ WORX) ซึ่งเป็นบริษัทดิจิทัลเอเจนซี่แรกๆ ของไทย เธอได้เรียนรู้เรื่องการตลาดดิจิทัลมาอย่างดีเพราะทำงานอยู่กับบริษัทนี้หลายปีก่อนจะตัดสินใจเปิดบริษัทของตัวเอง

    หลังจากกิจการเดอะ ฟิฟธ์ เธิร์สเดย์ เริ่มอยู่ตัวเธออยากหาอะไรที่ท้าทายตัวเองมากกว่า ประจวบเหมาะกับช่วงนั้นมีโอกาสได้เจอเพื่อนชาวฮ่องกงในงานๆ หนึ่งซึ่งเขาทำ บริษัท ดิจิลิ้งก์ เอเชีย (DigiLink Asia) อยู่ที่ฮ่องกง ดูแลเรื่องการทำการตลาดออนไลน์ให้กับแบรนด์ที่สนใจกลุ่มลูกค้าชาวจีน พรรณอวิกามีโอกาสได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับเพื่อนชาวฮ่องกงคนนี้โดยเฉพาะเรื่องการทำธุรกิจและพบว่า สไตล์การทำงานเข้ากันได้มาก มีความคล้ายกัน และมีความสนใจที่เหมือนกัน “พูดคุยกันไปสักระยะหนึ่งเพื่อนถามว่า อยากทำงานด้วยกันไหม เพราะเขาเองก็อยากขยายธุรกิจเข้ามาในไทยเหมือนกัน เพราะมองว่าตลาดไทยมีโอกาสโตไม่น้อย จึงเป็นที่มาของ DigiLink Thailand” บริษัท ดิจิลิ้งก์ (ประเทศไทย) จำกัด (DigiLink Thailand) เป็นสาขาหนึ่งของ ดิจิลิ้งก์ เอเชีย ที่ปัจจุบันมีสาขาหลายประเทศรวม 8 แห่งทั่วโลก


นำร่อง ททท. ดึงจีนเที่ยวไทย 

    พรรณอวิกาเล่าว่า หลังเปิดดิจิลิ้งก์ ไทยแลนด์ ได้เพียงเดือนเดียวก็ได้แพลตฟอร์มจีนอย่าง หม่าเฟิงวอ (Mafengwo) มาเป็นพาร์ตเนอร์ ซึ่งเป็นเว็บไซต์และแอปพลิเคชันของจีนที่ให้บริการเกี่ยวกับการท่องเที่ยว ทั้งการจองที่พัก ตั๋วเครื่องบิน และรีวิวเกี่ยวกับการเดินทางต่างๆ ปัจจุบันผู้ใช้งานกว่า 130 ล้านคน เป็นบริษัทดาวรุ่งที่เน้นกลุ่มนักท่องเที่ยวที่นิยมการท่องเที่ยวแบบอิสระ หรือ FIT: Free Independent Traveler ไม่ใช้บริการทัวร์ Mafengwo เข้ามาช่วยเติมเต็มบริการสำหรับผู้ประกอบการไทยที่อยากแนะนำร้านอาหารหรือบริการต่างๆ สำหรับนักท่องเที่ยวจีน

    หลังจากนั้นอีกไม่นานดิจิลิ้งก์ ไทยแลนด์ ก็ได้เป็นพันธมิตรกับแอปพลิเคชันวีแชท (WeChat) สื่อสังคมออนไลน์ชื่อดังของจีนมาเป็นพาร์ตเนอร์เพิ่ม ทำให้บริการของดิจิลิ้งก์ ไทยแลนด์ ครบวงจรมากขึ้นและเริ่มเป็นที่สนใจในหมู่ผู้ประกอบการชาวไทยและชาวจีน กิจการเติบโตอย่างต่อเนื่อง

    “แม้กระทั่งในช่วงวิกฤตโควิด-19 เราก็ยังมีลูกค้าที่ต้องการโปรโมทเพื่อปูทางสำหรับการทำธุรกิจในอนาคต” ดิจิลิ้งก์ ไทยแลนด์จึงเป็นตัวกลางเชื่อมโยงตลาดในจีนให้กับธุรกิจไทย และขณะเดียวกันดิจิลิ้งก์ ไทยแลนด์ได้ทำโปรโมทท่องเที่ยวไทย โดยร่วมกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานเฉิงตู ซึ่งถือเป็นองค์กรการท่องเที่ยวเจ้าเดียวในอาเซียนที่สามารถทำแคมเปญได้ผลดี ทำให้คนจีนสนใจอยากมาท่องเที่ยวไทยมากขึ้น และเป็นผลงานที่สร้างชื่อให้คนรู้จักดิจิลิ้งก์ ไทยแลนด์มากขึ้น

หลังจากนั้นดิจิลิ้งก์ ไทยแลนด์ก็ได้รับโอกาสจากอีกหลายแพลตฟอร์มดังของจีนไว้ใจร่วมเป็นพันธมิตรอย่างเป็นทางการ เช่น เสี่ยวหงซู (Xiaohongshu) ที่ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 2556 เน้นเนื้อหาเกี่ยวกับไลฟ์สไตล์ แฟชั่น ความงาม ปัจจุบันมีผู้ใช้งานมากกว่า 200 ล้านคน จากนั้นก็ตามด้วยโต่วอิน (Douyin) แพลตฟอร์มสื่อออนไลน์แนวคลิปสั้นคล้าย TikTok แต่ให้บริการเฉพาะในประเทศจีนเท่านั้น โดยมีบริษัทแม่คือ ByteDance เป็นโอกาสดีที่ดิจิลิ้งก์ ไทยแลนด์ได้พันธมิตรทางธุรกิจที่ไว้ใจได้ ช่วยให้การทำงานราบรื่นกว่าที่คิดไว้ “ตอนนี้เลยคิดว่าต้องจัดระเบียบองค์กรใหม่ แยกการทำงานให้ชัดเจนทั้งส่วนของบริษัทเดิมและบริษัทใหม่ เพราะงานเริ่มมากขึ้นและซับซ้อนขึ้น ปัจจุบันเราดูแลลูกค้าไทยกว่า 30 บริษัทที่ต้องการเจาะตลาดจีน” 



    พรรณอวิกาเผยว่า จุดเด่นของดิจิลิ้งก์ ไทยแลนด์คือ การเข้าถึงทุกแพลตฟอร์มหลักของชาวจีนได้โดยไม่ต้องผ่านใคร ลูกค้าไม่ต้องเสียทรัพยากรหลายต่อ และยังได้ข้อมูลที่ถูกต้องเชื่อถือได้จากแพลตฟอร์มโดยตรง สามารถแนะนำได้แบบลงลึกจริงๆ ว่า สินค้าเหล่านั้นเหมาะกับแพลตฟอร์มไหน “ถ้าอยากค้าขายเครื่องสำอางกับคนจีนเราก็จะแนะนำ Xiaohongshu หรือหากเป็นสินค้าประเภทอื่นๆ เราก็จะไกด์ให้ว่าควรไปที่แพลตฟอร์มไหนถึงจะได้ผล” นอกจากนี้ ยังช่วยวิเคราะห์จุดแข็งและจุดอ่อนของสินค้าด้วยว่า ถ้าจะไปทำตลาดจีนต้องเพิ่มต้องลดตรงไหนบ้างถึงจะประสบความสำเร็จ พยายามทำทุกอย่างให้ลูกค้ารู้สึกได้ว่าดิจิลิ้งก์ ไทยแลนด์เป็นพาร์ตเนอร์จริงๆ ความสำเร็จของลูกค้าก็คือความสำเร็จของดิจิลิ้งก์ฯ สำเร็จไปด้วยกัน

    “DigiLink ทำงานแบบ 360 องศา ทำข้อมูลเชิงลึกให้ทั้งหมด เอาแผนการตลาดของลูกค้าไทยไป match กับความคิดเห็นของทีมจีนว่าแผนนี้น่าจะเวิร์กไหม เหมาะกับคนในพื้นที่นั้นๆ หรือต้องปรับตรงไหน” เธออธิบายวิธีการทำงานร่วมกับพาร์ตเนอร์จีน และไม่ใช่เพียงหารือแต่ทีมงานฝั่งจีนยังเตรียมเรื่องแผนการทำมีเดียทั้งหมดที่จะใช้ในแพลตฟอร์มต่างๆ โดยทีมไทยเป็นคนคิดไอเดียและประสานงานทั้งหมด เธอย้ำว่า ดิจิลิ้งก์ฯ ทำงานบนพื้นฐานแนวคิด “คนจีนทำ คนจีนดู” ต่างจากบริษัทอื่นที่ทำแบบ “คนไทยทำ คนจีนดู” ซึ่งเป็นคนละแบบกัน

    “เราต้องทำตัวเป็นคนพื้นที่จริงๆ ถึงจะเข้าใจ อันนี้ก็เป็นจุดแตกต่างทำให้งานของเราออกมาตอบโจทย์การทำตลาดในประเทศจีนจริงๆ” ซีอีโอหญิงผู้สัดทัดภาษาและวัฒนธรรมจีนย้ำว่า  “เรากล้าพูดว่าตอนนี้ถ้าแบรนด์ไหนอยากทำตลาดจีนก็ต้องนึกถึง DigiLink Thailand ไม่มีเอเจนซี่ไหนเป็นพาร์ตเนอร์กับแพลตฟอร์มใหญ่ๆ ของจีนมากเท่าเรา” ความสำเร็จจากแคมเปญของททท. ที่ดึงนักท่องเที่ยวจีนเข้าไทยได้มากนับเป็นผลงานความสำเร็จที่สามารถอ้างอิงได้ถึงปัจจุบัน 


ไฮไลต์ตลาดจีนไม่แผ่ว

    พรรณอวิกาย้ำว่าจีนยังคงเป็นตลาดที่มีกำลังซื้อมหาศาล การเดินทางมาที่ประเทศไทยของคนจีนนั้นสะดวกรวดเร็วแบบไม่คิดอะไรมาก มุมมองพื้นฐานของนักท่องเที่ยวจีนที่มีต่อประเทศไทยค่อนข้างดีอยู่แล้ว สิ่งที่ต้องทำคือ ทำให้ชาวจีนเห็นข้อดีต่างๆ เหล่านี้ของประเทศไทยให้ชัดยิ่งขึ้น “อนาคตไทยเราต้องพัฒนาให้ทุกจังหวัด สามารถรองรับนักเดินทางหน้าใหม่ไม่ใช่แค่จากจีน แต่ควรเป็นนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลก เพราะนี่คือโอกาสที่เขาจะมาจับจ่ายใช้สอยในบ้านเรา” 

    สิ่งที่แม่ทัพดิจิลิ้งก์ ไทยแลนด์มองคือ ไทยต้องดึงผลิตภัณฑ์เด่นๆ ออกมา ดึงของดีแต่ละจังหวัดขึ้นมา ชูเรื่องอาหาร การบริการ ในอนาคต 10 เมืองหลักอาจไม่พอ อาจต้องดูว่ารอบๆ เมืองหลักอีก 3-4 เมืองควรไปที่ไหนต่อได้บ้าง วางแผนให้นักเดินทางเหล่านี้อยู่กับไทยไม่น้อยกว่า 4-5 วัน ถ้าทำได้จะเกิดการท่องเที่ยวที่ส่งเสริมกันและกัน โดยการท่องเที่ยวเปิดประตูเมือง ขณะที่การพาณิชย์ดึงสินค้าไปโปรโมท สร้างเศรษฐกิจหมุนเวียนให้เกิดขึ้น และเมื่อสินค้าเริ่มเป็นที่รู้จักก็ต้องต่อยอดว่าไทยจะไปทางไหนต่อได้บ้าง ต้องทำให้เป็นห่วงโซ่ที่สามารถส่งแรงกระเพื่อมไปสู่ส่วนอื่นๆ ในสังคมได้ 


    พรรณอวิกายอมรับว่า ทุกวันนี้มีเอเจนซี่เกิดใหม่เยอะ ขณะเดียวกันลูกค้าก็มีความรู้เรื่องการตลาดออนไลน์มากขึ้น กลายเป็นว่าเอเจนซี่ยุคนี้ต้องแข่งกันที่ราคา แต่สำหรับดิจิลิ้งก์ ไทยแลนด์ พยายามวางตัวเองว่าเป็นตัวจริง เพราะมีพันธมิตรที่เข้มแข็งมากจากจีน ดังนั้น หากถามหาตัวจริงในเรื่องการทำงานกับตลาดจีนเธอย้ำว่า ดิจิลิ้งก์ ไทยแลนด์ ทำได้ดีที่สุดบริษัทหนึ่งในไทย 

    “เราไม่อยากลงไปแข่งเรื่องราคาเพราะมันไม่ยั่งยืน แต่จะแนะนำกับลูกค้าไทยเสมอเรื่องการไปค้าขายในจีนว่าต้องใช้เงินให้มีประสิทธิภาพ” แม่ทัพดิจิลิ้งก์ ไทยแลนด์ เผยว่า ที่ผ่านมามีลูกค้าหลายแบรนด์มาปรึกษา แต่หากดูแล้วว่าทั้งงบประมาณและความพร้อมไม่มากพอก็จะบอกลูกค้าว่า อย่ารีบร้อน เตรียมความพร้อมหลังบ้านก่อน ไม่อย่างนั้นจะไม่ได้ผล อยากให้ลูกค้ารู้สึกว่าดิจิลิ้งก์ ไทยแลนด์ เป็นเพื่อนคู่คิดของเขาจริงๆ โดยเฉพาะเรื่องตลาดจีนที่บริษัทค่อนข้างมั่นใจ “ทุกวันนี้แต่ละเดือนเราต้องอยู่ที่จีน 2 สัปดาห์เพื่อทำงานแบบใกล้ชิด เรื่องแบบนี้เราไม่อยากเสียชื่อที่สร้างไว้” พรรณอวิกาย้ำหนักแน่นสไตล์คนรุ่นใหม่ที่มีความมั่นใจ คิดเร็วทำเร็ว แต่ไม่ลืมเรื่องความรอบคอบอย่างรอบด้าน

    เมื่อถามถึงความสำเร็จและเป้าหมายเธอบอกว่า “ทุกปีเราจะมีเป้าหมาย อย่างปีที่ผ่านมา ปี 2566 เป้าหมายคือการทำ DigiLink Thailand ให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าในวงกว้างมากขึ้น หลังจากที่ธุรกิจซบเซาไปเนื่องจากวิกฤตโควิด” สาเหตุมาจากการที่คนเดินทางไปต่างพื้นที่ไม่ได้ในช่วงโควิด แต่ปีที่ผ่านมาเมื่อทุกอย่างพร้อม ดิจิลิ้งก์ ไทยแลนด์จึงจัดงานฟอรั่มโดยรวมเอาแพลตฟอร์มจีนมาพูดคุยเกี่ยวกับทิศทางการทำธุรกิจ แนวโน้มใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้นในประเทศจีน ควบคู่กับการจับคู่ธุรกิจซึ่งก็เป็นไปตามที่ตั้งใจไว้และได้ลูกค้าใหม่ หลายบริษัทปิดดีลธุรกิจได้อย่างที่ตั้งใจ ทำให้ทุกคนมีความสุข 

    ปีนี้ 2567 พรรณอวิกาบอกว่า เธอตั้งใจพาธุรกิจดิจิลิ้งก์ ไทยแลนด์ ไปไกลขึ้น แต่ความท้าทายคือ ไม่อยากเพิ่มคนทำงานและทำงานจากที่ไหนก็ได้ “ทุกวันนี้เราลองใช้โมเดลใหม่ๆ ควบคู่กับการทำงานบนแพลตฟอร์มที่เราร่วมงานด้วย ก็เรียนรู้จากคนที่เก่งกว่า อยากลองดูว่าเราจะไปได้ไหม ตอนนี้มีพนักงานที่ไทยราว 20 คน” เธอบอกว่า พนักงานทุกคนเข้าใจร่วมกันว่า DGT จะพยายามไม่โตด้วยจำนวนคน แต่ต้องโตด้วยประสิทธิภาพของคน ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นไม่ได้เลยหากทีมไม่ช่วยกัน 

    “อ๋อมอยากให้ DigiLink Thailand เป็นองค์กรที่คนทำงานมีความสุข เพราะเชื่อว่าถ้าคนเรามีความสุขในการทำงาน ชีวิตด้านอื่นๆ ก็จะดีตามไปด้วย” เป็นความฝันที่สวยงามในฐานะซีอีโอหญิงคนรุ่นใหม่




เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : พงศภัค นครศรี นำ BCC สู่เบอร์ 1 ในอาเซียน

คลิกอ่านบทความฉบับเต็มและเรื่องราวธุรกิจอื่นๆ ที่น่าสนใจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนกรกฎาคม 2567 ในรูปแบบ e-magazine