“ณพน เจนธรรมนุกูล” นำสัมมากรบุกตลาดซูเปอร์ลักชูรี ตอบรับความต้องการในตลาดที่มีสูง แต่ยังคงเต็มไปด้วยความท้าทาย
ตลอดระยะเวลากว่า 50 ปีที่บริษัท สัมมากร จำกัด (มหาชน) ผู้พัฒนาที่อยู่อาศัยรายแรกๆ ของประเทศไทยดำเนินธุรกิจมา บริษัทได้เน้นตลาดบ้านระดับราคาตั้งแต่ 4 ล้านบาทขึ้นไปเป็นหลัก แต่ยังไม่เคยเข้าไปทำตลาดบ้านลักชูรีหรือระดับราคาตั้งแต่ 20 ล้านบาท จนกระทั่ง ณพน เจนธรรมนุกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัท สัมมากร จำกัด (มหาชน) ได้เข้ามาบริหาร และปรับเปลี่ยนองค์กร ขยายตลาดเพิ่มฐานลูกค้าใหม่มากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งตลาดระดับราคา 20 ล้านบาทขึ้นไปในปีที่ผ่านมา
การเข้าสู่เซกเมนต์นี้ของสัมมากรได้ดำเนินการผ่านการร่วมทุนกับบริษัท แอสเซท โปร กรุ๊ป จำกัด กลุ่มทุนอสังหาริมทรัพย์ โดยพัฒนาโครงการ Providence Lane Ekkamai-Ramintra ซึ่งเป็นโครงการบ้านเดี่ยวขนาด 3 ชั้น พร้อมลิฟต์และสระว่ายน้ำส่วนตัว จำนวน 12 ยูนิต ราคา 39-60 ล้านบาท บนทำเลเอกมัย-รามอินทรา และล่าสุดสัมมากรได้ขยับเซกเมนต์มาพัฒนาบ้านในราคาเกือบแตะ 100 ล้านบาท ในโครงการ Park Heritage จำนวน 32 ยูนิต ราคา 59-98 ล้านบาท ในซอยพัฒนาการ 20 ที่ลงทุนพัฒนาเอง
“เราต้องการหนีจากการแข่งขันในตลาดที่มีราคาต่ำกว่า 20 ล้านบาท และต้องการขับเคลื่อนบริษัทให้มีรายได้ สร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง มองหาโอกาสทางการตลาดใหม่ๆ มากขึ้น โดยเฉพาะเซกเมนต์ซูเปอร์ลักชูรีที่มีดีมานด์มากขึ้น ซึ่งอาจเกิดจากราคาคอนโดมิเนียมใจกลางเมืองที่ปรับตัวสูง และพื้นที่ของคอนโดมิเนียมระดับราคา 100 ล้านบาทไม่เพียงพอกับการอยู่จริงหรือไม่หรูหราเท่ากับบ้านเดี่ยว 100 ล้านบาท”
ณพนกล่าวว่าการสร้างบ้านระดับอัลตราลักชูรีเองไม่ใช่เรื่องง่าย เนื่องจากมีปัญหาต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นค่าใช้จ่ายจริงที่เกินงบประมาณที่ตั้งไว้ คุณภาพไม่ได้ตามคาดหวัง กรอบเวลาในการก่อสร้างยาวนานที่อาจเกินกว่า 2 ปีไปจนถึง 5 ปี ซึ่ง pain point เหล่านี้ทำให้ดีมานด์หันมาเลือกซื้อบ้านในโครงการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการของบริษัทที่น่าเชื่อถือ เพราะมั่นใจในแบรนด์และคุณภาพที่มอบให้
“ตลาดบ้านอัลตราลักชูรีมีความท้าทาย เพราะผู้ซื้อต่างมีทางเลือก มีตัวตน และต้องการความเป็นส่วนตัวค่อนข้างสูง การทำสินค้าที่ตรงใจผู้ซื้อเป็นโจทย์ที่ยากมาก ต้องลงรายละเอียดแทบไม่ต่างจากการทำโรงแรม 6 ดาว แต่ตลาดนี้ยังมีศักยภาพเติบโตต่อเนื่อง และจะมีดีมานด์เข้ามาเพิ่มขึ้น เพราะมีกลุ่มผู้ซื้อที่มีกำลังซื้อสูงเพิ่มขึ้น ประกอบกับเทรนด์การซื้ออสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุนมีมากขึ้น เพราะการซื้ออสังหาริมทรัพย์สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มได้ในอนาคต ในขณะที่ราคาบ้านปรับสูงขึ้นตามราคาที่ดินที่แพงขึ้นและมีน้อยลงในทำเลดีๆ และหายากหลายทำเล”
การทำตลาดบ้านในเซกเมนต์นี้ให้ประสบความสำเร็จ สิ่งแรกคือทำเลที่ตั้งต้องอยู่ในทำเลไพรม์ ที่ดินหายาก ต่อมาคือวัสดุและองค์ประกอบต่างๆ ต้องมีคุณภาพระดับไฮเอนด์ เหมาะกับราคา แนวคิด องค์ประกอบ และสิ่งต่างๆ ภายในโครงการต้องมีครบถ้วน ที่สำคัญคือความเป็นส่วนตัวโดยจำนวนยูนิตจะต้องมีไม่มากเกินไป และแต่ละหลังต้องให้ความเป็นส่วนตัวสูงแก่ผู้อยู่อาศัย
การอยู่อาศัยใกล้ชิดกับธรรมชาติ มีบรรยากาศแห่งการพักผ่อน นับได้ว่าเป็นอีกปัจจัยที่เป็นเทรนด์ใหม่ ที่สำคัญคือการพัฒนาบ้านให้ตรงกับความต้องการ และสร้างประสบการณ์ที่แตกต่างให้เฉพาะลูกค้าแต่ละราย ฟังก์ชันในบ้านต้องปรับเปลี่ยนได้ ดีไซน์ต้องไม่ฉูดฉาด เพื่อง่ายต่อการตกแต่งภายใน
สำหรับทิศทางในการพัฒนาโครงการบ้านหรู โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระดับราคา 40 ล้านบาทขึ้นไป บริษัทวางแผนพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เพราะเป็นตลาดที่มีศักยภาพและมีดีมานด์ที่พร้อมจะซื้อสินค้า โดยมองทำเลใกล้เมือง ไม่ว่าจะเป็นโซนพระราม 9 ถนนพัฒนาการ ถนนเลียบทางด่วนเอกมัย-รามอินทรา เพราะเป็นโซนที่เข้าเมืองได้ง่าย มีสิ่งอำนวยความสะดวกและร้านอาหารรองรับความต้องการ
เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : เกริก ลีเกษม ซีอีโอเจนใหม่สปีด SE ด้วยเทคโนโลยี