นโยบาย Set Zero ของเสี่ยบุณยสิทธิ์หลังสหพัฒน์ฯ เจอวิกฤตทางธุรกิจที่หนักที่สุด คือการเริ่มต้นใหม่ ไม่ยึดติดกับเป้าหมายและความสำเร็จที่ผ่านมา พร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งใหม่ โดยมีเวทีงานสหกรุ๊ปแฟร์ออนไลน์ ครั้งที่ 1 ซึ่งจัดขึ้นในปีนี้ เป็นเสมือนตัวแทนของการเปลี่ยนผ่านครั้งนี้ และถือว่าประสบความสำเร็จเป็นที่น่าพอใจ ของ ฐิติภูมิ โชควัฒนา ผู้อำนวยการฝ่าย บมจ.ไอ.ซี.ซี.อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) ทายาทคนเล็กของเสี่ยใหญ่-บุณยสิทธิ์ เป็นผู้อยู่เบื้องหลัง
แม้ ฐิติภูมิ โชควัฒนา จะเป็นทายาทคนเล็ก ที่อาจเผชิญแรงกดดันน้อยกว่าพี่ๆ แต่ด้วยแววตาที่มุ่งมั่นในการทำงาน แสดงให้เห็นถึงความทุ่มเทและทำงานหนักไม่น้อยกับแต่ละโปรเจกต์ที่ได้รับมอบหมาย เสี่ยใหญ่-บุณยสิทธิ์ โชควัฒนา ชื่อที่เรียกติดปากของคนในแวดวงธุรกิจของประธานเครือสหพัฒน์ กลุ่มบริษัทผู้ผลิตและจำหน่ายสินค้าอุปโภค-บริโภคยักษ์ใหญ่ของเมืองไทย ที่ดำเนินธุรกิจมาถึง 78 ปี มีบริษัทในเครือมากกว่า 200 บริษัท และในปีนี้ ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 เสี่ยบุณยสิทธิ์ถึงกับออกปากว่าเป็นปีที่เผชิญกับวิกฤตหนักที่สุดของเครือสหพัฒน์ จนถึงขั้นต้อง Set Zero-เรียนต่อธุรกิจที่มหาวิทยาลัยสหพัฒน์-
“ผมเป็นเด็กติดเกม” ฐิติภูมิ เริ่มต้นเล่าถึงวัยเด็กสมัยเรียนมัธยมที่สาธิตปทุมวัน ที่ชอบเล่นเกมเหมือนกับเด็กวัยเดียวกัน ด้วยความเป็นลูกของเสี่ยบุณยสิทธิ์ มักถูกขอแกมบังคับให้เข้ามาฝึกงานแถวโรงงานไอ.ซี.ซี.ย่านสาธุประดิษฐ์ แต่ก็เป็นการเข้ามาวิ่งเล่นตามประสาเด็กมากกว่าที่จะจริงจัง และด้วยความชอบด้านคอมพิวเตอร์มาก จึงตัดสินใจไปเรียนต่อด้านวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ ที่มหาวิทยาลัยซีแอตเทิล แม้จะชอบคอมพิวเตอร์เป็นชีวิตจิตใจ แต่ด้วยคำสั่งสอนของเสี่ยบุณยสิทธิ์ที่ว่า “ไม่ว่าจะทำอะไรก็ต้องรู้จักเรื่องธุรกิจด้วย ไม่งั้นจะขายตัวเองไม่ได้” ฐิติภูมิ จึงตัดสินใจเรียนต่อปริญญาโทด้าน MBA ขณะเดียวกันก็หางานเกี่ยวกับด้านคอมพิวเตอร์ไปด้วย แต่สถานการณ์ในอเมริกาขณะนั้น มีการย้านฐานเอาท์ซอร์สด้านดิจิทัลไปอินเดีย ทำให้หางานยาก ประกอบกับการเรียนต่อ MBA ด้านธุรกิจ ถือเป็นเรื่องยากสำหรับคนที่ไม่มีพื้นทางด้านธุรกิจมาก่อน จึงตัดสินใจกลับมาเมืองไทย การกลับมาครั้งนี้ ทำให้เขาได้ตระหนักรู้ว่าการกลับมาทำงานที่สหพัฒน์ เปรียบเสมือนการได้เข้าเรียนมหาวิทยาลัยด้านธุรกิจชั้นนำของเมืองไทย ที่สามารถให้ความรู้วงจรธุรกิจครบถ้วนตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ โดย ฐิติภูมิ เริ่มต้นด้วยการรับผิดชอบธุรกิจด้านค้าปลีกในเครือสหพัฒน์ ผ่านแคตตาล็อก ช้อปปิ้ง บริษัท เบล เมซอง (ประเทศไทย) บริษัทร่วมทุนระหว่างเครือสหพัฒน์กับญี่ปุ่น ซึ่งขณะนั้นในปี 2538 ยังถือเป็นเรื่องใหม่ ช่วงเกิดวิกฤตเศรษฐกิจญี่ปุ่นได้ถอนหุ้นออกไป เครือสหพัฒน์จึงนำมาทำเองภายใต้ชื่อ “His&Her Shop Smart” ช่วงแรก Shop Smart ขายสินค้าของใช้ในบ้านเป็นหลัก แต่ด้วยการแข่งขันจากสินค้าจีนที่เข้ามาตีตลาด ด้วยราคาที่ถูกกว่า ทำให้ต้องปรับรูปแบบธุรกิจมาเป็นอีคอมเมิร์ซ และนำแบรนด์ต่างๆ ในเครือไอ.ซี.ซี.เข้ามาจำหน่ายในช่องทางนี้ ซึ่งการขยายธุรกิจในช่องทางดิจิทัลออนไลน์ ถือเป็นหนึ่งในแผนงานหลักของเครือสหพัฒน์ที่จะมุ่งไปในระยะ 3-5 ปีข้างหน้า แต่ด้วยการระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำให้การขยับรุกเข้าสูดิจิทัลถูกบีบให้ต้องเร็วขึ้น งานสหกรุ๊ปแฟร์ออนไลน์ ครั้งที่ 1 ที่จัดขึ้นในปีนี้ เป็นเสมือนจุดเริ่มต้นในการก้าวเข้าสู่ดิจิทัลอย่างจริงจังของเครือสหพัฒน์ โดย ฐิติภูมิ หนึ่งในแม่งานหลัก ที่ผลักดันสินค้าราว 100 แบรนด์ กว่า 2 หมื่นรายการในเครือสหพัฒน์ผ่านแพลตฟอร์มการค้าออนไลน์ชั้นนำ 3 ราย ได้แก่ LAZADA SHOPEE และ JD CENTRAL และเวบไซต์ www.sahagroupfair.com ประสบผลสำเร็จเป็นที่น่าพอใจ โดยสร้างยอดขายได้ราว 100 ล้านบาท หรือประมาณครึ่งหนึ่งของยอดขายในงานแฟร์ปกติ ฐิติภูมิ กล่าวว่า เครือสหพัฒน์ได้เตรียมแผนที่จะเข้าสู่การค้าออนไลน์ไว้อยู่แล้ว โดยมีการดำเนินงานอย่างเป็นขั้นเป็นตอน ตั้งแต่การวางระบบเพื่อให้ผู้บริโภคเข้าถึงง่ายและสะดวก การเตรียมเรื่องระบบการชำระเงิน รวมทั้งระบบขนส่งและคลังสินค้าแห่งใหม่ที่สุวรรณภูมิ ให้บริการทั้งลูกค้าองค์กร และลูกค้าเป็นรายบุคคล เพื่อตอบโจทย์การค้าออนไลน์ แต่เนื่องจากการเป็นองค์กรใหญ่ทำให้ต้องดำเนินการอย่างค่อยเป็นค่อยไป และเลือกในจุดที่มีความพร้อมก่อน อย่างที่ทราบกันดีว่าเครือสหพัฒน์เป็นองค์กรใหญ่ที่มีบริษัทในเครือกว่า 200 บริษัท พนักงานมากกว่า 1 แสนคน ถือเป็นความท้าทายมากในการที่จะเปลี่ยนแปลง สำหรับ ฐิติภูมิ แม้เขาจะเป็นคนรุ่นใหม่ คิดเร็ว แต่เลือกทำอย่างค่อยเป็นค่อยไปด้วยความเข้าใจโครงสร้างขององค์กร ค่อยๆเปลี่ยนที่ละจุด เริ่มในส่วนที่พร้อมจะเปลี่ยนแปลงก่อน จุดไหนยังไม่พร้อมเขาจะมีขั้นตอนเพื่อสร้างความพร้อม เพื่อจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงอย่างมีคุณภาพ “การเปลี่ยนแปลงสำหรับองค์กรขนาดใหญ่อย่างสหพัฒน์ถือเป็นเรื่องยากมาก ต้องค่อยๆ ทำทีละจุด ความพร้อมขององค์กรเป็นสิ่งสำคัญมาก เทคโนโลยีเป็นเพียงการเข้ามาช่วยเพื่อให้การเปลี่ยนแปลงมีประสิทธิภาพมากขึ้น การคุยกับคนให้เข้าใจเป็นเรื่องสำคัญที่สุด” แม้ฐิติภูมิ จะเรียนมาทางด้านคอมพิวเตอร์ แต่เขายังมองว่าการคุยกับคนเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ซึ่งคนที่สหพัฒน์ก็มีหลายเจเนอเรชั่น ดังนั้นการทำให้คนยอมรับจึงเป็นความท้าทายสำหรับเขา-ความท้าทายของวัฒนธรรมองค์กร-
“สิ่งที่ท้าทายสำหรับผมคือวัฒนธรรมองค์กร” ฐิติภูมิกล่าวถึงภาระ หน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย ในการเชื่อมต่อองค์กรทุกจุดด้วยเทคโนโลยี และสิ่งที่ยากคือการคุยกับคนให้เห็นถึงเป้าหมายเดียวกัน และการปรับตัวที่จะเดินไปข้างหน้า ภายใต้เงื่อนไขของโลกธุรกิจทีเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ถ้าทั้งหมดเห็นตรงกัน การเดินไปสู่เป้าหมายไม่ใช่เรื่องยาก แต่หากมีเพียงจุดเดียวที่เป็นปัญหา ทำให้การแข่งขันลำบากยิ่งขึ้น “เสี่ยบุญยสิทธิ์จะพูดเสมอว่าในโลกธุรกิจสิ่งสำคัญ คือ กำไร ต้องทำให้เกิดกำไรให้ได้ ซึ่งกำไรไม่ได้หมายถึงแค่เม็ดเงินอย่างเดียว กำไร คือ คน ระบบงาน การทำให้งานมีประสิทธิภาพ ความเร็ว ท่านชอบยกคำของคุณปู่ที่ว่า “เร็ว ช้า หนัก เบา” ทำให้มีความเหมาะสมในการทำงาน จะสร้างให้เกิดกำไรได้” สำหรับแนวคิดเรื่อง “เร็ว ช้า หนัก เบา” เขาถือเป็นเรื่องสำคัญมาก บางอย่างถ้ารีบก็ต้องรีบ บางเรื่องช้า แต่หนัก ซึ่งถ้าทำได้ จะให้เกิดผลที่ดี การมีมุมมองที่แตกต่างกันถือเป็นเรื่องดี ซึ่งในฐานะที่เป็นคนรุ่นใหม่ก็ต้องฟังจากผู้มีประสบการณ์ ซึ่งส่วนใหญ่มักจะได้ผล แม้บางครั้งอาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่คิด แต่ผลลัพท์ที่ได้ ทำให้เกิดการเรียนรู้ ถือว่าได้ผลในเชิงบวกเช่นเดียวกัน ก่อนหน้านี้ เสี่ยบุณยสิทธิ์พูดถึงการบูรณาการ เนื่องจากสหพัฒน์มีหลายหน่วยงานมาก ถ้ารวมตัวกันได้ จะสามารถวิ่งไปได้ไกลกว่านี้ ภารกิจที่ฐิติภูมิจะทำต่อจากนี้ คือการทำบิสิเนส แมทชิ่ง ทั้งภายในและภายนอก ทำให้คนภายในรู้จักกันเองมากขึ้น รู้ว่าสหพัฒน์มีแบรนด์อะไรบ้าง เพื่อจะทำให้เห็นภาพที่ชัดเจนของเครือสหพัฒน์ มุ่งไปสู่เป้าหมายการได้ประโยชน์ร่วมกัน มีเป้าหมายทางธุรกิจเดียวกัน “สิ่งที่ผมอยากเห็น คือความสามัคคีกันภายในเครือสหพัฒน์ ไม่ใช่ว่าตอนนี้ในเครือไม่มีความสามัคคี อาจมีบางจุดทีหลุดไป ถ้าหากทำให้ทั้งเครือมองภาพเดียวกันกัน เติมเต็มซึ่งกันและกันมากกว่านี้ จะเกิดประโยชน์ต่อองค์กร ตอนนี้ส่วนใหญ่ต่างคนต่างทำ โตแล้วแตก แตกแล้วโต ถ้ามองภาพใหญ่ได้ แม้จะมีกำไรลดลง แต่ภาพใหญ่เติบโตขึ้น เหมือนทฤษฎีเกมอันหนึ่ง ที่บอกว่าเราไม่ต้องชนะทุกครั้ง แต่ต้องมองถึงผลประโยชน์ที่สูงกว่าการที่เราชนะ” ฐิติภูมิกล่าว สำหรับทายาทคนเล็กของเสี่ยบุณยสิทธิ์ ที่กล่าวถึงตัวเองว่าเป็นเด็กติดเกม แต่เกมให้อะไรเขามากกว่าที่คิด และสามารถนำมาปรับใช้ในทางธุรกิจได้ ทุกวันนี้เกมไม่ใช่เรื่องไร้สาระ ให้แนวคิด ให้ไอเดียที่ลึกซึ้ง เกมถือเป็นเอ็นเตอร์เทนเมนต์ ที่สามารถนำมาผสมผสานปรับใช้ในการบริหารองค์กร ใช้ในโรงเรียน ครอบครัวได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะการเป็นช่องทางในการสื่อสารกับคนรุ่นใหม่อย่างเข้าใจ ฐิติภูมิ กล่าวว่า ถึงแม้เขาจะเป็นคนรุ่นใหม่ แต่ก็ไม่ได้อยู่ในยุคที่ทันสมัยเหมือนปัจจุบัน ที่โลกมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว สิ่งที่ต้องให้ความสำคัญ คือการเรียนรู้สังคมอยู่ตลอดเวลา และพร้อมที่ปรับตัว ต้องเข้าใจว่าสังคมต้องการอะไร คนรุ่นใหม่ต้องการอะไร ดังนั้นจึงต้องเปิดรับข้อมูลใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา ในหลากหลายช่องทาง ทั้งโซเชี่ยล มีเดีย เฟซบุ๊ค เปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่ให้ลงมือทำ และต้องน้อมรับประสบการณ์จากคนรุ่นก่อน เพื่อเลือกในสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับองค์กร สำหรับเส้นทางของทายาทคนสุดท้องของเสี่ยบุณยสิทธิ์ โชควัฒนา มีเรื่องให้ต้องเรียนรู้อีกมากมายในอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ของเครือสหพัฒน์แห่งนี้ ขณะเดียวกันพร้อมที่จะนำความรู้และเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาเติมเต็มให้กับองค์กรแห่งนี้ เพื่อจะก้าวไปสู่เป้าหมายการมีกำไรสูงสุดทั้งในแง่บุคลากร ประสิทธิภาพและการดำเนินธุรกิจ ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของโลกปัจจุบัน อ่านเพิ่มเติม: สหพัฒน์ฯ ห่วงว่างงานทุบกำลังซื้อซึมยาวไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่ เพจเฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine