จากประสบการณ์ชีวิตที่เคยตกต่ำถึงขีดสุด ในช่วงเริ่มต้นทำธุรกิจของ "นรบดี ผดุงเจริญ” จนถึงขั้นหมดตัว ต้องขับแท็กซี่ และแบกหนี้อีกสิบล้าน ผ่านร้อนผ่านหนาวในเส้นทางนักบริหารมืออาชีพในสายธุรกิจธนาคารอีกเกือบ 20 ปี
วันนี้ของ “นรบดี ผดุงเจริญ” ประธานกรรมการเจ้าหน้าที่บริหาร และผู้ก่อตั้ง บริษัท คิวเปอร์ จำกัด นำการตกผลึกทางความคิดตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา มาสร้างโมเดลธุรกิจใหม่ผ่านแอปพลิเคชั่น “QPER” โมเดลธุรกิจของคิวเปอร์ ไม่ใช่สตาร์ทอัพ แต่เป็นธุรกิจเพื่อสังคม (Social Enterprise) ที่ต้องการช่วยให้ “คนหางาน ได้หาเงิน” ผ่านแอปพลิเคชั่น “QPER” โดยเฉพาะในภาวะที่หลายคนอยู่ในสถานการณ์ยากลำบาก จากผลกระทบของโควิด-19 ทำให้ตกงาน หรือมีรายได้ลดลง ด้วยแนวคิด “Reverse Domino Effect” เมื่อแต่ละคนสามารถสร้างงาน สร้างรายได้ได้ด้วยตัวเอง จะช่วยขับเคลื่อนให้เศรษฐกิจของประเทศกลับมาฟื้นตัวได้เร็วขึ้น-ย้อนประสบการณ์ชีวิตคนหนุ่มไฟแรง-
นรบดี เริ่มทำธุรกิจแรกตั้งแต่ยังเรียนที่คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย โดยธุรกิจแรกคือการนำเข้า “ทามาก็อตจิ” ของเล่นที่ฮิตมากเมื่อ 20 กว่าปีก่อน เขาถือเป็นผู้นำเข้ารายใหญ่ที่มีส่วนแบ่งตลาดมากกว่าร้อยละ 80 โดยสินค้าทามาก็อตจิที่วางขายทั้งที่คลองถม สะพานเหล็กเป็นของเขาเกือบทั้งหมด นอกจากนี้ยังเป็นผู้นำเข้าวิดีโอ เทปคาสเซ็ท เข้ามาจำหน่ายด้วย ทำให้ในวัยเพียง 21-22 ปี นรบดีมีธุรกิจที่สร้างรายได้หลักสิบล้านบาท
หลังจากนั้นเขาได้โดดเข้าสู่ธุรกิจวิทยุ เช่าเวลาจัดรายการวิทยุของอสมท ทำรายการเกี่ยวกับรถยนต์ เพราะส่วนตัวเป็นคนชอบรถยนต์ ความเร็ว ซึ่งตอนนั้นคุณพ่อ (ไพบูลย์ ผดุงเจริญ) ได้ทำสนามแข่งรถแห่งแรกในประเทศไทย ที่พัทยา มีชื่อว่า “สนามเอเชียน่า เรซซิ่ง เซอร์กิต” แต่ด้วยความที่กระโดดเข้าไปในธุรกิจที่ไม่มีความเชี่ยวชาญ ภายในระยะเวลาเพียง 6 เดือน รายได้ทั้งหมดของเขาสูญไปกับธรกิจวิทยุ และมีหนี้นับสิบล้านบาท
“สมัยนั้นการทำธุรกิจวิทยุ เป็นเรื่องสัมปทาน เช่าเวลาต่อกันเป็นทอดๆ เราก็อยากทำรายการวิทยุเรื่องรถยนต์ เพราะชอบเรื่องความเร็ว ทำทุกอย่างเอง ตั้งแต่ผลิตคอนเทนต์ เป็นดีเจ สุดท้ายไปไม่รอด ถูกยึด แถมเป็นหนี้หลักสิบล้านบาท ต้องเอาบัตรเครดิตไปรูดซื้อทีวีจอใหญ่สุดในขณะนั้น นำไปเข้าโรงรับจำนำ เพื่อนำเงินมาจ่ายเงินเดือนลูกน้อง หมดเนื้อหมดตัวตอนอายุ 26 ปี” นรบดี เล่าถึงประสบการณ์ชีวิตครั้งแรกของการทำธุรกิจ ที่กลายเป็นเบ้าหลอมตัวตนของเขามาจนถึงทุกวันนี้
จากวิกฤตครั้งนั้น ทำให้เขาต้องหารายได้ด้วยการขับรถแท็กซี่ คิดวนเวียนกับชีวิตที่ผ่านมา จนมีโอกาสได้เจอกับผู้บริหารหญิงคนหนึ่งจากสหรัฐอเมริกา เป็นลูกค้ารถแท็กซี่ที่รับจากดอนเมือง เธอเข้ามาเพื่อทำธุรกิจในประเทศไทย ถือเป็นช่วงเริ่มต้นของธุรกิจการให้บริการอินเทอร์เน็ต (ISP) หลังจากนั้นได้ขยายสู่ผู้ให้บริการเว็บไซต์ และเธอได้ชักชวนให้เข้ามาเป็นผู้จัดการฝ่ายขาย ได้เรียนรู้เทคโนโลยีใหม่อย่างอินเทอร์เน็ต เว็บไซต์ ก่อนเข้าสู่วงการโฆษณา และธุรกิจธนาคารในระยะต่อมา นรบดี ได้เข้าสู่วงการธนาคารในปี 2547 ด้วยการเป็นผู้จัดการฝ่ายผลิตภัณฑ์บัตรเครดิต ไทยพาณิชย์ธนพัฒน์ และได้รับโอกาสในการเรียนรู้ และบริหารความคิดสร้างสรรค์ จากการพูดคุยกับ กรรณิกา ชลิตอาภรณ์ อดีตกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารไทยพาณิชย์ขณะนั้น ในเวลา 06.00 น. ของทุกวัน เป็นเวลาถึง 9 ปี “ถือเป็นโอกาสอีกครั้งหนึ่งในชีวิต ที่ได้เรียนรู้ และทำงานร่วมกับแม่ทัพหญิงของธนาคารไทยพาณิชย์ คุณกรรณิกา ผู้ซึ่งมีประสบการณ์มากมายในแวดวงการตลาด สินค้าอุปโภค-บริโภค ซึ่งขณะนั้นธนาคารอยู่ระหว่างการพัฒนารีเทล แบงกิ้ง การคิดหาบริการใหม่ๆ ที่เข้ามาตอบโจทย์ลูกค้า คุณกรรณิกาจะให้โจทย์ผมมาคิด มีหลายบริการที่ผมช่วยคิดและจุดประกาย เช่น บริการ SMS Alert บริการ ATM NO Slip การใช้ Color Marketing” นรบดีกล่าว หลังจากนั้นก็ได้ทุนจากธนาคารไปเรียนปริญญาโทที่ศศินทร์ แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และเรียน MBA ที่ Kellogg NorthWestern Chicaco เรียนจบกลับมาได้ย้ายค่ายไปอยู่กับธนาคารธนชาต ในตำแหน่งผู้อำนวยการสายงานสื่อสารการตลาด ธนาคารธนชาติ จำกัด (มหาชน) อยู่กับธนชาต 9 ปี ตำแหน่งสุดท้ายคือผู้อำนวยการอาวุโส สายงานการตลาด และสื่อสารการตลาด ธนาคารธนชาต ก่อนออกมาทำธุรกิจส่วนตัวอีกครั้ง-หาธุรกิจที่ตอบโจทย์โลกยุคใหม่-
ช่วงที่ทำงานธนาคาร นรบดี เริ่มมองเห็นการเปลี่ยนแปลงของโลก สังคม และเศรษฐกิจที่เกิดจากเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่เข้ามาทดแทนแรงงานคน รวมทั้งเทคโนโลยีได้สร้างให้เกิดผู้บริโภคพันธุ์ใหม่ ที่เรียกว่า เจเนอเรชั่น ซี หรือ Connect ที่มีพฤติกรรมที่เชื่อมโยงกับเทคโนโลยี เช่น พฤติกรรมการใช้จ่าย การใช้ชีวิตที่มีความเป็นปัจเจกมากขึ้น มีความต้องการที่ก้าวข้ามขั้นตอนตามทฤษฎีความต้องการของมาสโลว์ ซึ่งมี 5 ขั้นตอน เริ่มจากความต้องการด้านร่างกาย ความต้องการความมั่นคงปลอดภัย ความต้องการความรักและความเป็นเจ้าของ ความต้องการเกียรติยศชื่อเสียง และความต้องการตระหนักในตนเอง
“ด้วยสภาพสังคมที่เปลี่ยนไป ทำให้คนมีความต้องการก้าวกระโดดไปสู่ความต้องการความรักและความเป็นเจ้าของ โดยที่ยังไม่มีอะไรตอบสนองความต้องการด้านร่างกาย และความต้องการความมั่นคงปลอดภัย ก้าวไปสู่ความต้องการมีเกียรติยศชื่อเสียง ทำให้โครงสร้างสังคม เศรษฐกิจของเราไม่แข็งแรง และเกิดปัญหาอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน” นรบดีสะท้อนปัญหาของสังคมไทยในปัจจุบัน
ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ยิ่งทำให้ปัญหาของสังคมไทยยิ่งชัดเจนขึ้น เขาจึงมีแนวคิดว่าหากสามารถสร้าง Reverse Domino Effect ด้วยการทำให้ประชาชนคนไทยแข็งแรง มีรายได้จับจ่ายใช้สอย เศรษฐกิจกิจเกิดการหมุนเวียน เป็นปฏิกิริยาย้อนกลับช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้แข็งแรง “นี่คือแรงบันดาลใจของผม” นรบดีกล่าวและเป็นที่มาในการพัฒนาแอปพลิเคชั่น QPER
ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ขณะนี้ เพื่อช่วยเหลือคนไทยอย่างจริงจัง บริษัทจึงได้จัดแคมเปญ “ไทยช่วยกัน” เพื่อช่วยให้ “คนที่หางาน ได้หาเงิน” โดยยกเว้นค่าบริการเปิดร้านวันละ 1 บาท จนกว่าประเทศไทยจะมีวัคซีนโควิด-19 ซึ่งคาดว่าน่าจะประมาณกลางปี 2564 เพื่อช่วยคนไทยทุกกลุ่ม ทุกสาขาอาชีพ ทุกอายุ ในทุกภาคของประเทศที่กำลังมองหารายได้หลัก หรือเสริมได้มีโอกาสสร้างรายได้และฝ่าฟันวิกฤตโควิดไปให้ได้
นรบดี ยังมีแรงบันดาลใจในการคิดค้นบริการใหม่ๆ ในตระกูล Q ออกมาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น QPID QPIN ซึ่งจะเป็นแอปพลิเคชั่นที่ช่วยทำให้คนไทยมีชีวิตที่ง่ายขึ้น ตอบโจทย์พื้นฐานความต้องการของคนไทยตามหลักของมาสโลว์ ซึ่งจะเป็นแนวทางที่ทำให้เศรษฐกิจ สังคมไทยแข็งแกร่ง และหลักการที่สำคัญที่สุด ต้องไม่ลืมความกตัญญู
“หลักการที่สำคัญที่สุด และผมยึดมั่นมาตลอด คือความกตัญญู กตัญญูต่อพ่อ แม่ ต่อผู้มีพระคุณ ที่เอื้อมมือมาช่วย มาตบไหล่ในวันที่เรายากลำบากให้เดินหน้าต่อไป และต้องมีความซื่อสัตย์ ซื่อตรง ให้ก่อนที่จะได้รับ สะท้อนเป็นปรัชญาขององค์กร ถ้าเราช่วยพวกเขาให้รอดได้ ธุรกิจก็สามารถไปต่อได้ เศรษฐกิจก็เดินไปข้างหน้า ชีวิตของคนไทยก็จะดีขึ้น” นรบดีกล่าวทิ้งท้าย
อ่านเพิ่มเติม: 18 สุดยอดบริษัทไทย จากการจัดอันดับ 200 Best Under a Billions ประจำปี 2020
ไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่ เพจเฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine


