เป็นเวลาเกือบ 30 ปีที่ “พิทยา วรปัญญาสกุล” ร่วมงานกับ KTC และเติบโตในตำแหน่งหน้าที่การงานมาอย่างต่อเนื่อง กระทั่งเดือนสิงหาคม ปี 2566 บอร์ด บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTC ได้ประกาศแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร มีผลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ปี 2567 หลังจาก ระเฑียร ศรีมงคล หมดวาระลง
หลังรับตำแหน่งซีอีโอหญิงคนแรกของบริษัท พิทยาไม่ค่อยได้ให้สัมภาษณ์สื่อมากนัก นับถึงปัจจุบันเป็นเวลากว่า 1 ปีครึ่งที่เป็นผู้นำขององค์กรด้วยภาระหน้าที่ที่รับผิดชอบ ณ ตอนนี้เธอบอกว่า “ไม่มีอะไรที่ลำบากใจ”
คราวที่ซีอีโอคนเดิมบอกว่า จะให้นั่งตำแหน่งนี้ พิทยารู้ตัวล่วงหน้าเพียง 1 สัปดาห์ และตอบว่า “ไม่โอเค” เพราะขณะนั้นอายุ 62 ปีแล้ว และตั้งใจว่าจะเกษียณไปพร้อมๆ กับซีอีโอคนเดิม ทว่าท้ายสุดด้วยสปิริตจึงตอบรับ หลังจากนั้นจึงเริ่มกระบวนการติวเข้ม
“คุณระเฑียรบอกว่าไม่ต้องห่วง คนของ KTC เก่ง ความที่เขาเป็น CEO เห็นคนทำงานทุกแผนก เรารู้ว่าเก่งแต่ไม่รู้ว่าเก่ง..ก็คิดว่าเรามีทีมที่แข็งแรงมากที่คอยซัพพอร์ต มีหลายๆ เรื่องที่พี่ไม่ได้เก่งเลย แต่คุณระเฑียรคอยให้กำลังใจบอกว่าคนเราไม่ต้องเก่งทุกเรื่อง แต่เราเป็นผู้นำ ต้องเข้าใจบทบาทของตนเอง เข้าใจธุรกิจ และเข้าใจในสิ่งที่เรากำลังจะตัดสินใจ
“สำหรับพี่ พี่ถนัดในการตลาดอยู่แล้ว ทำมา 30 ปี แต่มีเรื่องอื่นๆ ที่พี่ไม่เคยลงไปสัมผัสลึกๆ แต่ปีครึ่งที่ผ่านมาได้เรียนรู้เยอะมาก ดังนั้น การเป็น CEO ที่ไม่ได้เก่งทุกเรื่อง ต้องรู้จักที่จะไม่มีฟอร์ม หากไม่เข้าใจก็ถามใหม่” พิทยา วรปัญญาสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร KTC กล่าวถึงบทบาทของผู้นำองค์กรด้วยความถ่อมตน เพราะคงมีซีอีโอน้อยคนนักที่จะพูดกับลูกน้องตรงๆ ว่า “ไม่รู้” โดยไม่รักษาฟอร์ม
“พี่คิดว่าถ้าเราไม่ได้รู้ทุกเรื่อง แต่ตั้งใจอยากจะเรียนทุกเรื่อง ถาม ไม่ต้องอาย หากไม่รู้ ให้คำแนะนำไม่ได้ก็จะช่วยหาคำตอบ หาที่ปรึกษาให้”
แต่สิ่งหนึ่งที่ได้เรียนรู้และคิดว่าจะเป็นประโยชน์กับพนักงานโดยรวมคือการโค้ชชิ่ง ซึ่งหลายปีก่อน “ระเฑียร” ได้จัดหลักสูตรเสริมความรู้ให้กับผู้บริหารตามความสมัครใจ ซึ่งพิทยาเป็นหนึ่งในผู้เข้ารับการอบรมและนำมาปฏิบัติจริง โดยมีความมุ่งมั่นใช้การโค้ชมาสร้างพลังเปลี่ยนวิธีคิดของผู้บริหารรุ่นใหม่และผู้บริหารระดับกลาง เพื่อให้ทีมงานและบุคลากรที่ได้รับการโค้ชตระหนักรู้ถึงศักยภาพของตนเองและนำไปใช้ประโยชน์
นั่นเป็นเหตุให้เดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา เธอได้รับรางวัล Coaching Advocacy Impact Award จากสหพันธ์การโค้ชนานาชาติ สาขากรุงเทพฯ (ICF Bangkok Chapter) ในฐานะผู้บริหารหญิงระดับสูงคนแรกของไทยที่มีบทบาทในการสนับสนุนและบูรณาการการโค้ชเข้ากับวัฒนธรรมองค์กรอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน เพื่อขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลง

สร้าง Coaching Culture
ทั้งนี้บริษัทได้นำการโค้ชชิ่งมาปรับใช้ในกระบวนการทำงานของหัวหน้างานและผู้บริหารทุกระดับ โดยเปลี่ยนบทบาทจากผู้ชี้แนะแนวทางมาเป็นผู้กระตุ้นให้พนักงานได้คิดวิเคราะห์และแก้ไขปัญหาด้วยตนเองผ่านคำถาม การฟังเชิงลึก และให้ฟิดแบ็กอย่างสร้างสรรค์
ไม่เพียงนำมาเป็นเครื่องมือพัฒนาบุคลากรรายบุคคล แต่ปรับใช้เป็นวัฒนธรรมองค์กร (coaching culture) ผ่านหลายกิจกรรม อาทิ การฝึกอบรมทักษะโค้ชชิ่งให้กับหัวหน้างานทุกระดับ การออกแบบระบบภายในหน่วยงานและทีมงาน การสะท้อนผลการทำงาน การเรียนรู้ร่วมกันในทุกเวทีของการประชุมงาน รวมถึงการสื่อสารให้พนักงานทุกคนตระหนักถึงบทบาทของตนในการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
“เรามี coach มากขึ้นในองค์กร อาจจะไม่ต้อง certified แต่รู้หัวใจของการเป็น coach นอกจาก 35 คนที่เคยเรียนมาแล้ว ตอนนี้เรามีประมาณ 8 คนที่ re-certified รวมทั้งพี่ และกำลังจะมีหลักสูตรเรื่อง coaching เพื่อขยายทีม น่าจะมีเพิ่มอีกประมาณ 60 คน”
นอกจากจะเทรนให้เป็นโค้ชแล้ว ผู้บริหารที่เคยเข้ารับการอบรมครั้งก่อนยั้งอาสาเป็นโค้ชให้กับพนักงานรวมทั้งซีอีโอด้วย
“เรายินดีเป็น coach ให้แม้กระทั่งพี่เอง วันนั้นที่ kickoff พี่มีลูกค้าแล้วค่ะ เป็นน้องที่ไม่รู้จัก อยากคุยกับพี่ พี่ตอบรับเรียบร้อยแล้ว แต่ก็บอกทาง HR ว่า เราไม่สามารถรับได้เป็น 20-30 คน ขอเริ่มต้นแล้วก็ดูก่อน เพราะงานเยอะอยู่เหมือนกัน การเป็น coach หรือการ coach ใครก็ตามเราจริงจัง ดังนั้นมันมีการคุยกันเป็น follow-up...สิ่งแรกที่เราต้องบอกเขาคือ การ coaching ไม่ได้แปลว่าเราเป็นที่ปรึกษาของคุณ บอกคุณว่าต้องทำแบบนี้กับปัญหา เราต้อง clear กับเขาก่อนว่าคาดหวังอะไร บางคนคาดว่าเราจะบอกเลยว่าต้องทำอะไร 1, 2,3 ทำอะไรบ้าง ซึ่งไม่ใช่”
“Coaching เป็น tool ที่ดีมากๆ คนที่มีทีมงานจะนำไปใช้ประโยชน์ได้ ไม่ได้แก้เฉพาะปัญหาเรื่องงาน แต่จะทำให้ชีวิตของพนักงานมีความสุขมากขึ้น เพราะทำให้คนที่มีปัญหาหรือมีอุปสรรคในใจค้นพบคำตอบได้ด้วยตนเอง ทำให้ผู้ได้รับการ coach มีความสุข สามารถพัฒนาศักยภาพ ซึ่งส่งผลต่อประสิทธิภาพของบุคลากร...
“เราเป็นองค์กรที่มีความเชื่อมั่นว่าบุคลากรเป็นผู้ที่ทำให้บริษัทมีความแตกต่าง...พี่พูดเสมอว่า คนของเราเก่ง เอาคนเราไปไม่ได้ทำให้เราสะเทือน ความแข็งแกร่งของเราเป็นเรื่องที่ต้อง build บุคลากรไม่ใช่แค่เก่ง แต่ทุกคนต้องทำงานร่วมกันได้ดี ดังนั้นcoaching culture จะทำให้แต่ละคนเข้าใจกันและกัน และทำงานด้วยกันได้ดีมากขึ้น”
โตแบบยั่งยืน
แม้จะเตรียมความพร้อมและมีแนวทางการทำงานกับพาร์ตเนอร์แบบ win-win ที่โดนใจอีกฝ่าย แต่ภาวะเศรษฐกิจปัจจุบันเป็นโจทย์ที่ท้าทายไม่น้อยกับการที่จะทำให้บริษัทเติบโต
“แต่ commitment ของเรากับ stakeholder คือ การรักษา port ให้มีคุณภาพ เราเป็นธุรกิจสินเชื่อและคุณภาพของสินเชื่อสำคัญที่สุด ถ้าโตแล้วมีความเสี่ยง เราก็ไม่อยากโตแบบนั้น...เรามี commitment ที่ต้อง deliver ให้ได้กำไรสูงขึ้นทุกปี นั่นแปลว่า ต้องปรับปรุงประสิทธิภาพ”
คำว่า “ประสิทธิภาพ” ข้างต้นไม่ได้หมายความว่า มีกำไรมากขึ้นจากการลดค่าใช้จ่าย แต่เป็นการดูว่าส่วนงานไหนไม่มีประสิทธิภาพ นำเงินจากส่วนนั้นไปทำกิจการด้านอื่นเพื่อให้ได้ผลตอบแทนกลับมาสูงสุด
ตัวเลขผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกของปี 2568 คงช่วยยืนยันได้เป็นอย่างดี
โดยบริษัทยังคงจัดการคุณภาพสินทรัพย์ และรักษาระดับเงินสำรองที่เพียงพอ มีอัตราหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL ratio) อยู่ที่ 1.83% และ NPL coverage ratio ที่ 419.9% ในไตรมาส 2/2568 กลุ่มบริษัทยังรักษาฐานรายได้รวมให้เพิ่มขึ้นอยู่ที่ 6,812 ล้านบาท ค่าใช้จ่ายรวมลดลงอยู่ที่ 4,340 ล้านบาท กลุ่มบริษัททำกำไรสุทธิในไตรมาส 2/2568 เท่ากับ 1,895 ล้านบาท เพิ่มขึ้น3.8% และครึ่งแรกของปี 2568 กำไรสุทธิเท่ากับ 3,755 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.5%

ข้อมูล ณ วันที่ 30 มิถุนายน ปี 2568 (เทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2567) มีฐานสมาชิกรวม 3,508,827 บัญชี เงินให้สินเชื่อแก่ลูกหนี้และดอกเบี้ยค้างรับรวม 107,104 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 1.2%) อัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพต่อเงินให้สินเชื่อรวม (NPL) ลดลงอยู่ที่ 1.83% จำนวนสมาชิกบัตรเครดิต 2,813,627 บัตร (เพิ่มขึ้น 3.5%) เงินให้สินเชื่อแก่ลูกหนี้บัตรเครดิตและดอกเบี้ยค้างรับรวม 69,925 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 1%) NPL บัตรเครดิตอยู่ที่ 1.14% ปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรช่วงครึ่งปีแรกของปี 2568 มูลค่า 146.584 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 4.4%)
สมาชิกสินเชื่อบุคคล 695,200 บัญชี (ลดลง 5.1%) เงินให้สินเชื่อแก่ลูกหนี้สินเชื่อบุคคลและดอกเบี้ยค้างรับรวม 35,396 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 4%) NPL สินเชื่อบุคคลอยู่ที่ 2.32% และมียอดสินเชื่อใหม่ของ “KTC พี่เบิ้ม รถแลกเงิน” จำนวน 1,048 ล้านบาท
ในส่วนของลูกหนี้ตามสัญญาเช่าซื้อในบริษัท กรุงไทยธุรกิจลีสซิ่ง จำกัด (KTBL) มีมูลค่า 1,782 ล้านบาท (ลดลง 29.4%) ซึ่งได้หยุดปล่อยสินเชื่อประเภทนี้ตั้งแต่เดือนสิงหาคม ปี2566 และเน้นการติดตามหนี้และบริหารจัดการคุณภาพพอร์ตสินเชื่อที่มีอยู่
สำหรับปี 2568 บริษัทตั้งเป้ายอดใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตเติบโต 10% ขณะที่พอร์ตสินเชื่อบุคคล “KTC PROUD” ตั้งเป้าเติบโต 3% และพอร์ตสินเชื่อจำนำทะเบียนรถ “KTC พี่เบิ้ม” ตั้งเป้าเติบโต 3 พันล้านบาท
“พี่เบิ้มเป็นตัวท้าทาย 6-7 ปีก่อนคิดว่าจะเป็นตัวสร้าง new S-curve ได้ แต่จังหวะช่วงนี้ให้สินเชื่อยากมาก ธุรกิจรถเองก็มีปัญหา และ segment ที่เราจับอีก ถ้าเสี่ยงมากก็ไม่น่าจะดี แต่ port พี่เบิ้มมีคุณภาพดี NPL น้อย...overall เป้าเรา NPL ไม่เกิน 2% ทุกพอร์ตของเราคุณภาพดีมาก บางทีบอร์ดก็มี direction ว่า ไม่ต้องโต aggressive ถ้าเสี่ยงไม่ต้อง” ผู้บริหาร KTC กล่าวในตอนท้าย
ภาพ: API และ KTC
เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : นิธิศ ชัยจรูญรัตน์ เจน 2 JRP กับโรดแมปธุรกิจโตยั่งยืน



