ธุรกิจชุบ พ่น เคลือบ เติบโตตามอุตสาหกรรม บริษัทของไทยเป็นผู้นำตลาด มีความมั่นคงและเติบโตต่อเนื่องไปกับอุตสาหกรรมชิ้นส่วนต่างๆ มาวันนี้ตลาดปรับตัว ผู้ให้บริการก็ต้องปรับให้เท่าทันความเป็นไป
เลขที่ 189 หมู่ 1 ตำบลคลองกิ่ว อำเภอบ้านบึง จังหวัดชลบุรี เป็นที่ตั้งโรงงานชุบ พ่น เคลือบ ของผู้นำตลาดซึ่งเป็นบริษัทคนไทย 100% เป็นความภาคภูมิใจของ นิธิศ ชัยจรูญรัตน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท จรูญรัตน์ โปรดักส์ จำกัด หรือ JRP ทายาทธุรกิจเจเนอเรชั่นที่ 2 ของครอบครัว “ชัยจรูญรัตน์” ที่เข้ามาสานต่องานบริหารกิจการโรงงานชุบ พ่น เคลือบ ให้เติบโตและเท่าทันการเปลี่ยนแปลงของยุคสมัย
“ผมเข้ามาช่วยงานครอบครัวตั้งแต่ปี 2563 ก็ราว 5 ปี มาทีแรกเป็นเซลส์เลย ลุยงานกับฝ่ายขาย ก็เป็นทีมคอยหิ้วกระเป๋าตามผู้จัดการเซลส์ไปขายงาน เรียกว่าตามไปดูงานจากของจริงมากกว่า” นิธิศเริ่มบทสนทนากับ Forbes Thailand ที่ยกทีมไปสัมภาษณ์ถึงโรงงานที่อำเภอบ้านบึงเพื่อสัมผัสกับบรรยากาศโรงงานใหญ่ของจรูญรัตน์ แหล่งผลิตชิ้นงานชุบ พ่น เคลือบ เบอร์ 1 ของไทย
ส่งเสริม-พัฒนาบุคลากร
การเริ่มต้นที่ทีมขายคือการเรียนรู้หัวใจสำคัญของธุรกิจ นั่นคือการนำเสนองานกับลูกค้า นิธิศบอกว่า เขาเรียนรู้งานอย่างเต็มที่แบบรวดเร็ว ซึ่งไม่เพียงแค่การขาย แต่ยังรวมไปถึงการนำข้อมูลลูกค้าและข้อมูลตลาดมาวิเคราะห์ จับความรู้สึกและความคาดหวังของลูกค้ามาปรับเป็นกลยุทธ์ของบริษัท
“การไปดูงานและประเมินอย่างรวดเร็วแบบนี้ถ้าเป็นบริษัทมหาชนทั่วไปก็อาจเรียกว่า fast track management แต่เรานำมาเป็น fast track trainee” เป็นจุดเริ่มต้นสัมผัสเนื้องานจริงๆ ของนิธิศ นักบริหารหนุ่มรุ่นใหม่
ในบทบาทผู้นำ นิธิศวางตัวเป็นผู้บริหารที่ให้ความสำคัญกับทีมงานและมีแนวคิดแบบพุทธที่ว่า ทุกอย่างบนโลกใบนี้ไม่มีใครเป็นเจ้าของอะไรอย่างแท้จริง ทุกอย่างเป็นแค่เพียงช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งเท่านั้น “โรงงานนี้เป็นของครอบครัว ผมเป็นเพียงผู้เข้ามารับหน้าที่ทำงานบริหารงาน เมื่อหมดวาระก็เปลี่ยนผ่านเป็นคนอื่นต่อไป ไม่มีอะไรที่เป็นของใครจริงๆ” เป็นวิธีคิดเชิงพุทธของผู้นำองค์กรวัย 37 ปี เขาบอกว่า ไม่ได้ยึดติดในตำแหน่งหน้าที่ใดๆ และให้ความสำคัญกับทุกคนเท่ากัน พยายามส่งเสริมทีมงานให้มีความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน รับผิดชอบงานในตำแหน่งที่สูงขึ้นตามขีดความสามารถ
เขายังได้ยกตัวอย่างทีมงานผู้หนึ่งซึ่งทำงานในไลน์ผลิตมากว่า 10 ปี เขาต้องการผลักดันให้ทีมงานผู้นี้มีภารกิจที่เติบโตมากขึ้น เป็นระดับหัวหน้าผู้จัดการแผนก ช่วงแรกพนักงานก็ไม่มั่นใจ แต่นิธิศเปิดโอกาสและทำให้เห็นว่าอยู่ในวิสัยที่เป็นไปได้ ปัจจุบันพนักงานผู้นั้นได้ทำหน้าที่ใหม่ที่ใหญ่ขึ้น รับผิดชอบงานมากขึ้น เป็นความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน ซึ่งคือหนึ่งในความสำเร็จด้านการบริหารของเขา
ตัวอย่างการพัฒนาทีมงานที่นิธิศเล่ามาเป็นเพียง 1 เคสเท่านั้น แต่สิ่งที่เขาทำมีมากกว่านั้น เพราะเมื่อเข้ามานั่งบริหารเขาเรียกข้อมูลทีมงานมาพินิจวิเคราะห์ดูหน้าที่ของแต่ละคน รวมไปถึงกระบอกเงินเดือน เพื่อประเมินว่าบริษัทฯ ยังสามารถแข่งขันได้หรือไม่ ดูตำแหน่งสำคัญๆ เช่น ผู้มีหน้าที่หาเงินเข้าบริษัทเรียงลำดับความสำคัญก่อนหลัง ซึ่งในมุมมองของเขาทุกตำแหน่งหน้าที่ล้วนมีความสำคัญ
แผนกบัญชีก็สำคัญมาก เขาบอกว่า โชคดีที่มีน้องสาว (อรนลิน ชัยจรูญรัตน์) ดูแลด้านบัญชี เป็นคนที่ละเอียดรอบคอบและมีความรู้ความสามารถที่ดีมาก “ผมรู้สึกขอบคุณมากที่มีคุณแม่กับน้องอยู่ มันทำให้ผมทำหน้าที่หน้าบ้านได้อย่างสบายใจ เพราะหลังบ้านเราแข็งแรงมาก น้องสาวผมเป็นคนที่เก่งมากๆ” นิธิศย้ำและว่า ปัจจุบันมารดาของเขา (แสงเพชร ชัยจรูญรัตน์) ยังดำรงตำแหน่งประธานบริษัท คอยดูแลตรวจตราและคัดกรองเรื่องต่างๆ ให้เดินหน้าไปได้อย่างเหมาะสม ถูกต้อง และมีธรรมาภิบาล
“ตลอด 30 ปีที่บริษัทเติบโตมาคุณแม่ให้ความสำคัญกับเรื่องธรรมาภิบาลอย่างมาก ธุรกิจของเราเติบโตมาด้วยความถูกต้องและเป็นธรรม ทั้งต่อลูกค้าและทีมงาน” นิธิศเผยหัวใจสำคัญของจรูญรัตน์กับเส้นทางการเติบโตมาตลอด 3 ทศวรรษ แน่นอนเรื่องธรรมาภิบาลคือการสืบทอดอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ยุคของนิธิศเขามองว่าต้องมีมากกว่าจริยธรรม คือการวางโรดแมปการเติบโตให้องค์กรอย่างเป็นขั้นเป็นตอน
โรดแมป 10 ปีขาย 5 พันล้าน
นิธิศย้ำว่า ที่ผ่านมาบริษัทเติบโตต่อเนื่องมาได้นานขนาดนี้เชื่อว่าการบริหารต้องดีแน่นอน แต่ในยุคที่การเปลี่ยนแปลงทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วแบบนี้ สิ่งที่บริษัทหรือทุกองค์กรควรมีคือ โรดแมปของแผนสร้างการเติบโต 5 ปีข้างหน้าจะเดินไปอย่างไร หรือ 10 ปีข้างหน้าบริษัทจะเป็นอย่างไร แต่ละก้าวย่างจะสร้างความมั่นคงและเติบโตอย่างเป็นสเต็ปได้อย่างไร
“ผมวาง roadmap 10 ปีหลังจากนี้ ตอนปีที่ผมเข้ามาบริษัทมียอดขาย 500 ล้านบาท จากปี 2564 มาถึง 2567 เพิ่มเป็น 811 ล้านบาท เป้าหมาย 10 ปีเราจะมียอดขายที่ 5 พันล้านบาท” นิธิศเผยแนวคิดในการวางแผนธุรกิจและสร้างการเติบโต เขาบอกว่า ทำทุกอย่าง ปรับให้เข้าที่เข้าทาง เดินไลน์ผลิตในเหมาะสม และมีการขยายตลาดใหม่ๆ เข้ามาเสริม

ขณะเดียวกันก็ปรับพอร์ตธุรกิจให้กระจายความเสี่ยงมากขึ้น โดยเขาบอกว่า รายได้ 5 พันล้านของโรดแมปนี้จะมาจากธุรกิจหลักเพียง 2.5 พันล้านบาท ที่เหลือจะมาจากธุรกิจอื่นๆ ที่จะขยายเพิ่มขึ้น นั่นหมายความว่า พอร์ตจะมีการบาลานซ์มาจากธุรกิจหลัก 50% และธุรกิจอื่น 50%
โรดแมป 10 ปีของจรูญรัตน์คือ “Vision 2030” มองไปอีก 10 ปีข้างหน้า เริ่มปีนี้นับจากวันที่ 1 มกราคมเป็นต้นมาต้องบอกได้ว่า แต่ละปีบริษัทจะทำอะไรบ้าง ลงทุนปีละ 100 ล้านบาทไปกับอะไรบ้าง จะมีรายได้เพิ่มขึ้นเท่าไร ปีแรกจะทำอะไร ปีต่อไปทำอะไร ขยายตลาดอย่างไรไปจนถึงปีที่ 10 เพื่อให้ได้ตามเป้าที่วางไว้ จากเดิมที่ฐานลูกค้าของจรูญรัตน์กว่า 96% เป็นกลุ่มธุรกิจชิ้นส่วนยานยนต์ที่มาใช้บริการชุบสี พ่น และเคลือบ เป็นฐานลูกค้าใหญ่ทั้งในประเทศและต่างประเทศ หลังจากได้พยายามขยายตลาดไปยังกลุ่มใหม่ เช่น เฟอร์นิเจอร์ อิเล็กทรอนิกส์ และของตกแต่งบ้าน พอร์ตลูกค้าเปลี่ยนไป ลูกค้าหลักกลุ่มชิ้นส่วนยานยนต์สัดส่วนที่ 80% เนื่องจากได้ฐานลูกค้าใหม่เข้ามาแชร์ส่วนแบ่งเพิ่มขึ้น ขณะที่ลูกค้าหลักยังคงยอดขายเท่าเดิม
“ในแผนงานเราวางไว้ 10 ปี แต่ในสิ่งที่คุยกันคุณแม่และน้องสาวได้มองข้าม 10 ปีไปข้างหน้ากันแล้ว ค่อยทยอยเดินตามแผนอย่างต่อเนื่อง”
อีกเรื่องที่นิธิศบอกว่า ให้ความสำคัญไม่น้อยไปกว่าการผลิตและพัฒนาโปรดักต์คือ การบริหารต้นทุน ที่จรูญรัตน์มีการคิดคำนวณและบริหารต้นทุนที่ดีมาตลอด กำหนดราคาขายอย่างเป็นธรรมต่อลูกค้าและต้นทุนที่คำนวณไว้ ดังนั้น จึงไม่เคยแข่งขันตัดราคากับใคร
“มีบ้างที่ทีมงานมาบอกว่า บริษัทอื่นเขาให้ราคาต่ำกว่าเราจะสู้ไหม ผมบอกทีมงานไปว่า เราคำนวณต้นทุนราคาที่ดีที่สุดแล้ว ดังนั้น ไม่จำเป็นต้องยอมลดเพื่อตัดราคา” นี่เป็นอีกหนึ่งธรรมาภิบาลที่ผู้นำเจน 2 ย้ำว่า การตั้งราคาที่ถูกต้องและเป็นธรรมคือหัวใจสำคัญที่เป็นการซื่อสัตย์ต่อลูกค้า ต่อพนักงาน และต่อตัวเอง

เขายังบอกด้วยว่า ไม่เคยสนใจคู่แข่งมากกว่าตัวเอง “สิ่งที่เราทำคือ วิเคราะห์ภายในองค์กรว่าทำธุรกิจดีแค่ไหน ราคาที่เหมาะสมอยู่ตรงไหน ที่สำคัญเราโปร่งใสและเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ไม่จำเป็นต้องแข่งขันกับใคร แต่แข่งกับตัวเองมากกว่า”
การมีเป้าหมายที่ชัดเจน มีโรดแมปที่เห็นภาพอนาคตนอกจากทำให้ธุรกิจเติบโตอย่างมีคู่มือแล้ว ยังทำให้พนักงานมีความเชื่อมั่น ภาคภูมิใจ และพร้อมจะก้าวไปข้างหน้ากับการเติบโตของบริษัทอย่างมั่นใจ
นำร่องเทคโนโลยี-นวัตกรรม
อีกสิ่งหนึ่งที่จรูญรัตน์ทำมาอย่างต่อเนื่องนั่นคือ การพัฒนาสินค้าด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม ซึ่งนิธิศเผยว่า เป็นสิ่งที่บริษัทให้ความสำคัญและทำให้ฐานลูกค้ายังเหนียวแน่น “เราเป็นผู้นำธุรกิจชุบสีโลหะในประเทศไทยจากมูลค่า 2,129 ล้านบาท จรูญรัตน์ฯ มีส่วนแบ่ง 38% เป็นอันดับ 1” นิธิศเผยและว่า หากดูที่ตลาดรวมชุบ พ่นเคลือบ มูลค่าตลาดอยู่ที่ 1.4 หมื่นล้านบาท บริษัทมีส่วนแบ่งอยู่ 5.5%
เทคโนโลยีและนวัตกรรมคือสิ่งสำคัญที่ทำให้บริษัทยังคงฐานะผู้นำตลาดไว้ได้ หากดูจากบริการที่ทำไม่ว่าจะเป็นการชุบสีด้วยไฟฟ้า EDP coating service (epoxy & acrylic) โดยการชุบสีด้วยกระแสไฟฟ้า (EDP) เข้ามาเป็นส่วนสำคัญของอุตสาหกรรมยานยนต์ เพราะประสิทธิภาพของ EDP สามารถเข้าถึงทุกส่วนของชิ้นงานป้องกันการเกิดสนิมและการสึกกร่อนภายใน ทำให้การชุบสี EDP มีความจำเป็นต่อกระบวนการผลิตอุตสาหกรรมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน อะไหล่รถยนต์ โครงเหล็ก ตัวถังรถยนต์ตลอดจนวัสดุต่างๆ ที่ทำจากโลหะ

ปัจจุบันจรูญรัตน์มีระบบชุบ EDP ถึง 6 ไลน์การผลิต แบ่งเป็นสี EDP epoxy 4 ไลน์การผลิต สี EDP acrylic (ป้องกัน UV) 1 ไลน์การผลิต และไลน์การผลิต EDP high-edge โดยไลน์การผลิต EDP ทั้ง 6 ไลน์สามารถรองรับชิ้นงานได้กว่า 400,000 ชิ้นต่อวัน บริการชุบฟอสเฟต phosphate coating service การชุบฟอสเฟตเป็นการปรับสภาพผิวชิ้นงานก่อนการชุบหรือพ่นสี
วัตถุประสงค์หลักของการชุบฟอสเฟตคือเพื่อเพิ่มการยึดเกาะของสีบนพื้นงานให้ดียิ่งขึ้น และป้องกันการกัดกร่อน โดยปกติแล้วการชุบฟอสเฟตนิยมชุบกับเหล็กหรืออะลูมิเนียมบริการชุบ พ่น ซิงค์เฟลค (zinc flake) หรือซิงค์อะลูมิเนียม เป็นบริการเคลือบสีอีกรูปแบบที่เรียกว่า Zinc Flake มีคุณสมบัติป้องกันการกร่อนโดยการทดสอบ saltspray ได้สูงถึง 1,500 ชั่วโมง ซึ่งบริษัทได้ลงทุนเครื่องจักรแบบ dip spin และ spray booth เพื่อให้สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้า และในปี 2560 บริษัทได้รับอนุญาตสิทธิ์เป็นผู้ใช้สีของบริษัทแมคนีซึ่งเป็นผู้ผลิตสีคุณภาพชั้นนำของประเทศสหรัฐอเมริกา
อีกไลน์การผลิตที่สำคัญคือ บริการพ่นสีด้วยหุ่นยนต์ wet paint service (robot wet paint line) โรงงานของจรูญรัตน์สาขาบ้านบึงได้ลงทุนในเทคโนโลยีระบบอัตโนมัติที่มีความยืดหยุ่นสูงเข้ามาใช้ในการพ่นสีโดยใช้หุ่นยนต์อุตสาหกรรม เพื่อรองรับการให้บริการในงานที่เน้นคุณภาพ ซึ่งการใช้หุ่นยนต์ในการพ่นสีจะทำให้ชิ้นงานมีคุณภาพสมํ่าเสมอ ลดอัตรางานเสีย และยังสามารถลดระยะเวลาการผลิต และการใช้ทรัพยากรได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นบริการพ่นสีฝุ่น powder coating service (automatic powder line) เป็นบริการพ่นสีฝุ่นด้วยระบบอัตโนมัติ ซึ่งสามารถรองรับชิ้นงานได้หลากหลายรูปแบบ ทั้งงานที่มีขนาดเล็กและใหญ่
คุณสมบัติทั่วไปของสีฝุ่นคือ มีความแข็งของฟิล์มสีสูง มีความคงทนต่อสารเคมี มีความคงทนต่อความชื้น มีความคงทนต่อรังสี UV คงทนต่อการขูดขีด และความเรียบของฟิล์มสีดี ทำให้ลูกค้าได้ชิ้นงานที่ตรงความต้องการ และได้รับบริการอย่างครบถ้วน
“ตลอด 30 ปี จรูญรัตน์ส่งมอบชิ้นงานไปแล้วกว่า 1.8 พันล้านชิ้น โดยส่งออกไปทั่วโลก ทั้งออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ สหรัฐอเมริกา แอฟริกา” เป็นตลาดส่งออกที่สำคัญและยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง
ธรรมาภิบาลคู่การเติบโต
ตลอดเวลากว่า 1 ชั่วโมงครึ่ง นิธิศบอกเล่าแนวคิดและวิธีบริหารจัดการองค์กรในด้านต่างๆ มีจุดหนึ่งที่น่าสนใจคือ หลักการบริหารที่เขาใช้คำว่า “people first” เขาบอกว่า การทำทุกอย่างจะให้ความสำคัญเรื่องคนมาเป็นอันดับ 1 เสมอ โดยเฉพาะคนที่เป็นทีมงานและลูกค้า เขาให้ความสำคัญมาเป็นอันดับแรก
ด้วยเหตุนี้จึงเป็นที่มาของการลงทุนใหม่ๆ ที่อาจไม่เกี่ยวกับไลน์การผลิต แต่ทว่าเกี่ยวคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ของทีมงาน ด้วยโครงการปรับปรุงออฟฟิศในโรงงานแห่งแรกที่ลำลูกกาซึ่งใช้งบกว่า 10 ล้านบาท ทำการปรับปรุงฟังก์ชันพื้นที่สำนักงานภายในโรงงานให้เอื้อต่อการทำงานอย่างสะดวกสบาย

“พนักงานทำงานกับเรา ใช้เวลาอยู่กับงานกว่า 1 ใน 3 ของแต่ละวัน ดังนั้น การมีสำนักงานที่ดี ตอบโจทย์การใช้ชีวิต จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ควรมี” เขาอธิบายถึงที่มาของการลงทุนปรับปรุงสำนักงาน เพิ่มพื้นที่เพื่อความสะดวก เช่น ห้องพิเศษที่ใช้สำหรับการคุยงานที่สำคัญ หรือพื้นที่รับประทานอาหารที่ไม่ใช่โรงอาหาร แต่เป็นห้องพิเศษที่ทำขึ้นเพื่อให้พนักงานที่ห่อข้าวมาได้ทานอาหารอย่างสะดวกสบาย เป็นต้น
ในการบริหารจัดการทางด้านการเงินเขาเชื่อมโยงกลับมาที่ทีมงานโดยบอกว่า หากทีมงานมีความสุขและทำงานได้คุณภาพ ลูกค้าก็จะได้สินค้าที่ดีมีคุณภาพ จากนั้นรายได้ที่ดีจะเข้ามาที่บริษัท เป็นวงจรที่ส่งต่อกันเป็นระบบ ทุกอย่างจึงต้องเริ่มต้นจากคน เมื่อบริษัทมีรายได้ดี มียอดขายที่น่าพอใจก็นำมาซึ่งผลประกอบการที่ดี “รายได้ที่เข้ามาเราจะกันส่วนหนึ่งไว้เสมอสำหรับการลงทุนด้านวิจัยและพัฒนา และการปรับปรุงต่างๆ จากนั้นจึงค่อยคำนวณเป็นผลกำไรส่งต่อถึงพนักงาน ผู้บริหาร และผู้ถือหุ้น”
นอกเหนือจากโรงงานชุบ พ่น เคลือบแล้ว นิธิศเผยว่า ทางบริษัทกำลังจะขยายธุรกิจใหม่ด้านโลจิสติกส์ ซึ่งเดิมมีอยู่แล้วเป็นบริการสำหรับบริษัทในการส่งชิ้นงานให้ลูกค้า แต่เขามองว่าโลจิสติกส์มีศักยภาพมากกว่านั้น จึงได้ขอแยกออกมาเป็นแผนก และในรอบ 6 เดือนที่ผ่านมาสามารถทำให้การดำเนินงานด้านโลจิสติกส์มีผลกำไรได้เป็นปีแรก จากที่ก่อนหน้านี้ขาดทุนมาโดยตลอด เขาจึงมีแนวคิดว่าอาจจะแยกโลจิสติกส์ตั้งเป็นอีกบริษัท เพราะมีศักยภาพในการทำกำไร เมื่อได้ออกไปรับงานให้กับลูกค้าภายนอกด้วย
ขณะเดียวกันจรูญรัตน์มีธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ เนื่องจากที่ดินที่ตั้งโรงงานบริเวณบ้านบึงมีพื้นที่รวมกว่า 500 ไร่ อยู่ในเขตอุตสาหกรรมโซนอีสเทิร์นซีบอร์ดที่มีศักยภาพ จึงได้แบ่งที่ดินขายสำหรับตั้งโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งที่ผ่านมามีมาตั้งแล้ว 2 แห่ง ยังมีพื้นที่เหลือขายอีกจำนวนไม่น้อย ส่วนนี้จะเป็นรายได้อีกทางของบริษัทในกลุ่มจรูญรัตน์ซึ่งมีบริษัทแยกย่อยหลายแห่ง
นิธิศบอกเล่าอีกหลายแง่มุมที่น่าสนใจหลายอย่างสะท้อนวิธีคิดและมุมมองของคนหนุ่มรุ่นใหม่ที่มีแนวคิดแบบไม่ยึดติด โดยเฉพาะเรื่องการทำงานและการใช้ชีวิตที่เขาบอกว่า แยกออกจากกันไม่ได้ ทุกอย่างเดินไปด้วยกันเป็นอย่างดีและย้ำว่า จะทำให้ดีที่สุดเท่าที่เขาทำได้เพื่อส่งให้เจเนอเรชั่นต่อไป “ผมเป็นแค่ผู้รับช่วง จะต้องทำให้ผู้ที่รับต่อช่วงจากผมไม่ต้องนับ 3 แต่ก้าวไปนับ 5 เลย สามารถเติบโตได้อย่างก้าวกระโดด ทำให้ดีที่สุดและส่งมอบ” เขากล่าวทิ้งท้าย
ภาพ: วรัชญ์ แพทยานันท์ และ JRP
เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร ซีอีโอ BAM บริหารสินทรัพย์ด้วยนวัตกรรม



