30 ปีก่อน ฟิวเจอร์พาร์ค รังสิต ถือเป็นศูนย์การค้าใหญ่ที่สุดในพื้นที่โซนเหนือของกรุงเทพฯ มาปัจจุบันตำแหน่งศูนย์การค้าใหญ่ที่สุดของโซนเหนือก็ยังอยู่ เพิ่มติมคือ พื้นที่จาก 500,000 ตารางเมตรเพิ่มเป็น 600,000 ตารางเมตร และมีแม่เหล็กใหม่เพิ่มเข้ามาจากฟิวเจอร์พาร์คสู่ฟิวเจอร์ซิตี้รังสิต
ตระกูลธุรกิจดั้งเดิมจากสมัยรัชกาลที่ 5 อย่างครอบครัว “หวั่งหลี” สืบเชื้อสายมาจากสกุลจีน "ตันฉื่อฮ้วง" บัณฑิตหนุ่มจากจีนแผ่นดินใหญ่ ผู้เข้ามาทำการค้าและตั้งรกรากในไทย (ปี 2387-2468) สมรสกับสตรีชาวไทย สืบสานทายาทต่อเนื่องมารุ่นสู่รุ่น
บ้านหวั่งหลีมีธุรกิจมากมายในชื่อ “กลุ่มพูลผล” เริ่มต้นจากการเกษตร ข้าว มัน ฝ้าย และปอ สู่เกษตรแปรรูปและผลิตภัณฑ์อาหารหลากหลาย เช่น น้ำมันพืชกุ๊ก วุ้นเส้นต้นสน กับอีกหลายธุรกิจ การเงิน นวกิจประกันภัย รวมถึงธุรกิจศูนย์การค้าและการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจอาคารสำนักงาน ทุกธุรกิจเติบโตมาอย่างเรียบง่าย ส่งต่อกิจการจากรุ่นบุกเบิกมาสู่รุ่น 2, 3, 4 และปัจจุบันเป็นเจเนอเรชั่นที่ 5 เข้ามาขับเคลื่อนธุรกิจ หนึ่งในนั้นคือ จิตตินันท์ หวั่งหลี กรรมการผู้จัดการร่วม-กลุ่มงานธุรกิจ ศูนย์การค้าฟิวเจอร์พาร์คและสเปลล์ (ZPELL) เป็นบัณฑิตบัญชีจุฬาฯ ก้าวสู่ตำแหน่งผู้บริหารศูนย์การค้าเต็มตัว
“เริ่มแรกดูด้านการเงินเพราะจบมาด้านนี้ จากนั้นความรับผิดชอบก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งมาดู Future Park ในปัจจุบัน” จิตตินันท์เริ่มบทสนทนากับ Forbes Thailand ที่นำทีมไปสัมภาษณ์ที่สำนักงาน บริษัท รังสิตพลาซ่า จำกัด ซึ่งอยู่ภายในศูนย์การค้าฟิวเจอร์พาร์ค รังสิต
วันนั้นเป็นกลางสัปดาห์วันทำงาน ฟิวเจอร์พาร์ค รังสิต และ ZPELL มีลูกค้าเดินและใช้ชีวิตภายในศูนย์ประปรายไม่ถึงกับแน่นขนัด แต่ก็ไม่เงียบเหงา ร้านค้าเปิดตามปกติ ผู้คนขวักไขว่พอสมควร และบรรยากาศในศูนย์การค้าดูไม่ต่างกับห้างใหญ่ใจกลางเมือง มีร้านค้าหลากหลาย สินค้าแบรนด์เนม และกลุ่มฟาสต์แฟชั่นให้เลือกหลายแบรนด์
การจัดผังร้านค้าและแสงสีภายในศูนย์สว่างไสวแบบห้างสมัยใหม่ เรียกว่าไม่ตกเทรนด์แฟชั่นของธุรกิจศูนย์การค้า และมีทราฟฟิกลูกค้าในห้าง 140,000-150,000 คนต่อวัน เป็นศูนย์กลางของพื้นที่ค้าปลีกโซนเหนือที่โดดเด่นเป็นเจ้าตลาดชัดเจนมาตลอด 3 ทศวรรษ หลังฉลองครบรอบ 30 ปีไปเมื่อเดือนมีนาคม ปี 2568

สานต่อธุรกิจด้วยธรรมาภิบาล
จิตตินันท์เล่าว่า เธอเข้ามาทำงานกับครอบครัวตั้งแต่ปี 2545 ขณะนั้นฟิวเจอร์พาร์คเปิดมาแล้วหลายปี (ตั้งแต่ปี 2538) หลังจากมีประสบการณ์ทำงานกับธนาคารซิตี้แบงก์ สายงานด้านบัญชีและการเงินตามที่ร่ำเรียนมา ก่อนเข้ามาช่วยงานของครอบครัว
“ที่บ้านให้อิสระไม่ได้บังคับว่าต้องทำอะไร หรือต้องทำกับครอบครัวเท่านั้น ทำงานที่แบงก์ 5 ปี ก่อนตัดสินใจมาช่วยงานครอบครัว” จิตตินันท์ย้อนอดีตจุดเริ่มต้นการทำงานของเธอ โดยเลือกหาประสบการณ์จากภายนอกก่อนจะกลับมาทำงานให้ครอบครัว
ประสบการณ์ที่ธนาคารไม่เป็นไปตามความคาดหวังของจิตตินันท์ เพราะช่วงนั้นเป็นยุควิกฤตต้มยำกุ้งมีการลอยตัวค่าเงินบาท ธุรกิจธนาคารและการเงินรับผลกระทบหนัก ช่วงนั้นเป็นยุคที่ตลาดหลักทรัพย์เฟื่องฟู เธอจึงอยากทำงานกับสถาบันการเงิน แต่ก็ทำได้เพียง 5 ปี ตั้งแต่ปี 2540-2545 ด้วยบรรยากาศที่ไม่เป็นดังคาด แต่ก็ได้ประสบการณ์มามากพอสมควร ตอนที่เธอเข้ามาทำงานที่ฟิวเจอร์พาร์คในยุคนั้น พิมพ์ผกา หวั่งหลี ญาติผู้พี่ของเธอเป็นผู้บริหารหลักของศูนย์ฯ เป็นคนชวนเธอเข้ามาทำงานที่ฟิวเจอร์พาร์ค
หลังรับปากมาทำงานที่ฟิวเจอร์พาร์ค งานแรกที่จิตตินันท์รับคือ เข้ามาเป็นพนักงานด้านการเงินอยู่ในฝ่ายการเงิน เป็นพนักงานเหมือนคนอื่นๆ ต้องใส่ชุดฟอร์ม ตอกบัตรเข้า-ออกตามปกติ มีโอกาสได้ทำงานและเรียนรู้มาเรื่อยๆ ทำศูนย์การค้าสิ่งสำคัญต้องอัปเดตเทรนด์ ต้องก้าวให้เท่าทันยุคทันสมัยอยู่ตลอด นั่นคือโจทย์หลักที่เธอสัมผัสได้จากการทำงานมากว่า 23 ปีกับฟิวเจอร์พาร์ค
จิตตินันท์รับช่วงต่อและดูแลฟิวเจอร์พาร์คมากว่า 20 ปี ถามว่า ฟิวเจอร์พาร์คได้ปรับอะไรบ้างจากวันนั้นมาถึงวันนี้ คำตอบที่ได้คือ ปรับมาตลอด ปรับทุกอย่าง และทุกรูปแบบเพื่อให้ก้าวทันยุคสมัยและความต้องการที่เปลี่ยนไปของลูกค้า “ปรับเยอะมากค่ะ และปรับมาอย่างต่อเนื่อง แต่ก่อนทำห้าง 3-4 ปีปรับทีก็พอได้ แต่มาวันนี้ต้องปรับทุกปีเพื่อให้ทันตลาดที่เปลี่ยนไป” จิตตินันท์เล่าอย่างค่อยเป็นค่อยไปด้วยบุคลิกที่ดูสบายๆ ยิ้มแย้มตลอดเวลา ทำให้การพูดคุยราบรื่นไม่สะดุด มีบ้างที่เธอเลี่ยงคำตอบบางอย่างที่ยังไม่ชัดเจน แต่ส่วนใหญ่เธอจะตอบทุกคำถามอย่างตรงไปตรงมา เหมือนนิยามการทำธุรกิจของบ้านหวั่งหลีที่ให้โจทย์กับทายาทธุรกิจทุกคนว่า การทำธุรกิจต้องมีธรรมาภิบาลและตรงไปตรงมา

“ปรัชญาของครอบครัวคือ เราต้องเป็นส่วนหนึ่งของสังคม ทำงานอย่างมีคุณธรรม เป็นสิ่งที่สอนกันมา เราพยามทำธุรกิจให้ตรงไปตรงมา และเป็นที่เชื่อถือของคน” คือหัวใจการทำธุรกิจของครอบครัวหวั่งหลีที่จิตตินันท์บอกว่า ใช้กับทุกธุรกิจของตระกูล ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจอะไรเรื่องธรรมาภิบาลต้องมาอันดับ 1
การมีธรรมาภิบาลและตรงไปตรงมาคือมนตร์เสน่ห์ของฟิวเจอร์พาร์ค ทำให้ห้างใหญ่ทั้ง 2 แบรนด์อย่าง Central และ Robinson อยู่กับฟิวเจอร์พาร์คมาโดยตลอด นอกจากนี้ ซูเปอร์เซ็นเตอร์อย่าง Big C ก็อยู่มาอย่างยาวนาน รวมถึงสเปเชียลสโตร์อย่าง HomePro ก็อยู่กับฟิวเจอร์พาร์คมายาวนานเช่นเดียวกัน และยังขยายพื้นที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
“ผู้เช่ารายใหม่ๆ อย่าง HarborLand เข้ามาประมาณ 4 ปี ถามว่า ทำไมแต่ละคนถึงอยู่กันยาวนาน อาจมาจากหลักคิดที่ว่า ร้านค้าอยู่ได้เราอยู่ได้ เราต้องก้าวและเติบโตไปด้วยกัน” เป็นหัวใจการทำธุรกิจของฟิวเจอร์พาร์คที่ดูแลทั้งร้านค้าและลูกค้าให้เติบโตไปด้วยกัน เห็นได้ชัดตอนทำแคมเปญ 30 ปี สะท้อนการเป็นอยู่ของฟิวเจอร์พาร์คและชุมชน เพราะมีทั้งลูกค้าที่อดีตเคยเป็นนักเรียน นักศึกษาในย่านนี้ที่โตมาด้วยกัน คนที่บ้านอยู่แถวนี้ก็เติบโตมาด้วยกัน ตลอดจนเด็กๆ รุ่นใหม่ที่มาเรียนมาอยู่ย่านนี้มักมาใช้ชีวิตในฟิวเจอร์พาร์ค สอดรับกับแนวคิดของศูนย์ที่ต้องการให้ ฟิวเจอร์พาร์คเป็นส่วนหนึ่งที่มีบทบาทและขับเคลื่อนควบคู่ไปกับสังคมและชุมชนในพื้นที่
ก้าวข้ามวิกฤตด้วยทีมงาน
จิตตินันท์ย้ำว่า การดูแลร้านค้าเป็นเรื่องหนึ่งที่สำคัญ และอีกเรื่องที่สำคัญไม่แพ้กันคือ การดูแลพนักงาน ซึ่งอยู่บนพื้นฐานแนวคิดที่ว่าเราทำเองไม่ได้ทั้งหมด ทุกคนต้องช่วยกันไม่ว่าเจอวิกฤตแค่ไหนก็จะผ่านมาได้ “วิกฤตใหญ่ที่พบในช่วงที่ดูแลฟิวเจอร์พาร์คคือ วิกฤตน้ำท่วมใหญ่เมื่อปี 2554 หลังจากนั้น 10 ปีก็เป็นวิกฤตจากสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด” จิตตินันท์ย้ำว่า วิกฤตเหล่านี้ผ่านมาได้เพราะทีมงานช่วยกัน ทำให้บริษัทอยู่และเติบโตมาได้ หลังจากต้องปิดห้างไปเป็นเวลา 1 เดือนเต็มในช่วงน้ำท่วม
“ตอนนั้นหนักมาก ทุกวันต้องขับรถมาจอดไว้บนโทลล์เวย์และต่อเรือเพื่อเข้ามาในห้าง ซึ่งจำเป็นต้องปิดเพราะน้ำล้อมรอบ และแย่ไปกว่านั้นเมื่อหม้อแปลงไฟระเบิดไม่มีไฟฟ้าใช้ ลำบากแต่ทุกคนก็ช่วยกัน” จิตตินันท์เล่าบรรยากาศของวิกฤตการณ์น้ำท่วมใหญ่ที่เธอและทีมงานทุกคนร่วมแรงร่วมใจดูแลศูนย์ฯ ให้ปลอดภัย “อยู่ด้วยกันตลอดทั้งผู้บริหารและทีมงาน เราทำโรงครัวกันที่ลานด้านหลัง ผ่านร้อนผ่านหนาวมาด้วยกัน พนักงานในส่วนของบริษัทมีประมาณ 300 คน ยังไม่รวมพวก subcontract และร้านค้าที่มีอีกเป็นพันคน”
วิกฤตน้ำท่วมรุนแรงสุด ต่อมาก็เผชิญวิกฤตโควิด ต้องปรับตัวกันอีกรอบ หลังโควิดมามีนวัตกรรมทำให้ทุกคนต้องพยายามปรับตัวและเรียนรู้ไปในแต่ละส่วน “เราไม่ใช่คนเก่งที่สุด แต่พยายามทำให้ดีที่สุด ไม่หยุดนิ่ง เราคิดและทำความเป็นคอมมูนิตี้ สร้างคอมมูนิตี้ให้กับลูกค้า พยายามสร้างที่นี่ให้เป็นศูนย์กลางการใช้ชีวิต” นั่นคือนิยามที่บ่งบอกบริบทของฟิวเจอร์พาร์คที่ต้องการให้ตัวเองเป็นศูนย์กลางของสังคมและชุมชน ออกแบบศูนย์ฯ ให้ตอบโจทย์คนไทยที่ชอบพบปะ ต้องการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ สร้างคอมมูนิตี้ขึ้นในฟิวเจอร์พาร์ค เป็นการสร้างโอกาส สร้างให้คนมาใช้ชีวิตที่นี่ ทำให้เป็นคอมมูนิตี้ในการใช้ชีวิตของลูกค้า

ฟิวเจอร์พาร์คอยู่ตัว ยืนหยัดเป็นศูนย์การค้าขนาดใหญ่มีบริการอำนวความสะดวกต่างๆ ให้กับลูกค้า และสังคม ชุมชนในพื้นที่โซนเหนือของกรุงเทพฯ เป็นความชัดเจนที่ทุกคนรับรู้และสัมผัสได้ แต่เมื่อ 2-3 ปีที่ผ่านมาแนวคิดใหม่เกิดขึ้น ในการพัฒนาที่ดินบริเวณรังสิตที่เป็นแปลงต่อเนื่องกันขนาด 600 ไร่ ยังมีพื้นที่อีกส่วนที่นำมาพัฒนาคอนเซ็ปต์ใหม่เป็น “ฟิวเจอร์ซิตี้ รังสิต” ด้วยการเพิ่มบริการอื่นๆ เช่น โรงแรม และพื้นที่สำนักงาน รังสิต บิสสิเนส พาร์ค เป็นอาคารสำนักงาน 3 ชั้น กระจายอยู่ทั่วบริเวณ เพื่อรองรับฐานลูกค้าใหม่ บริษัทใหม่ๆ และบริษัทขนาดเล็กที่ต้องการพื้นที่สำนักงานแบบสแตนอโลนในทำเลที่ไม่จำเป็นต้องอยู่ใจกลางกรุงเทพฯ
“เราทำ Rangsit Business Park เป็นอาคาร 3 ชั้น รองรับลูกค้าอีกกลุ่ม สำหรับสำนักงานที่มีขนาดไม่ใหญ่นัก ต้องการความเฉพาะตัว ซึ่งเป็นออฟฟิศสำหรับกิจการใหม่” เป็นไอเดียที่มาของการพัฒนารังสิต บิสสิเนส พาร์ค ที่จิตตินันท์เผยว่า มีการตอบรับที่ดีพอสมควร มีลูกค้าเข้ามาเช่าแล้ว 2-3 ราย ส่วนใหญ่เป็นบริษัทใหม่ๆ ที่ไม่จำเป็นต้องใช้พื้นที่เยอะ และไม่จำเป็นต้องเข้าเมืองหรืออยู่ใจกลางเมือง
นำร่องพัฒนาฟิวเจอร์ซิตี้
“Future City มีแผนขยายต่อเนื่อง มีผู้เช่ารายใหม่เข้ามา ในอนาคตเราก็ไม่ปิดโอกาสในการหาผู้เช่ารายใหม่หรือโอกาสที่จะสร้างการเติบโตไปด้วยกัน เช่น โรงแรมที่เปิดมาแล้ว 1 แห่งมีการตอบรับที่ดี” จิตตินันท์เล่าถึงเซอร์วิสใหม่ที่เพิ่มเข้ามาในอาณาจักรของฟิวเจอร์ซิตี้ซึ่งตอบโจทย์ในการขยายธุรกิจได้เป็นอย่างดี เพราะบางอย่างอาจไม่เหมาะกับศูนย์การค้า แต่เหมาะกับโรงแรมเป็นการเพิ่มทางเลือกให้กับลูกค้า
ส่วนพื้นที่ในศูนย์การค้าปรับตามโจทย์ลูกค้าที่หลากหลายขึ้น มีกิจกรรมให้คนมาใช้ชีวิต มาพักผ่อน เป็นกิจกรรมอื่นๆ นอกเหนือจากการช็อปปิ้ง เช่น มีลานฝึกสกีที่แรกในประเทศไทยฝึกด้วยเครื่อง เพื่อให้ชินก่อนไปลงนามจริง เป็นเครื่องเทรนนิ่ง นอกจากนี้ ก็มีสวนสนุก มีกิจกรรมปีนหน้าผา กิจกรรมหลากหลาย “เราหาอะไรใหม่ๆ มาให้ลูกค้ามีกิจกรรมได้เลือกทำ มีเกมให้เล่น เพราะคนมาไม่ได้ซื้อของอย่างเดียวแต่มาเล่น มาใช้ชีวิต มีกิจกรรมที่หลากหลาย สำหรับวัยรุ่น คนทำงาน และครอบครัว”

ตลอด 1 ชั่วโมงของการพูดคุย สิ่งหนึ่งที่จับประเด็นได้ชัดเจนคือ สไตล์การทำธุรกิจและการขยายธุรกิจของตระกูลหวั่งหลี เน้นการเติบโตอย่างค่อยเป็นค่อยไป และดำรงไว้ซึ่งความพร้อมและความแข็งแรงของทีมงาน มีการพัฒนาเรื่อยๆ แต่ไม่หวือหวา เป็นแนวค่อยคิดค่อยทำ พัฒนาควบคู่ไปพร้อมๆ กับสังคม
หากย้อนกลับไป 40 ปีก่อนจะเห็นว่าการพัฒนาที่ดินแปลงใหญ่ขนาด 600 ไร่แปลงนี้เริ่มมาก่อนที่จะมีถนนพหลโยธิน ซึ่งตัดผ่านกลางพื้นที่ทำให้ที่ดินของกลุ่มครอบคลุมทั้ง 2 ฝั่งถนน โดยรังสิตฝั่งขาออกเป็นที่ตั้งของตลาดรังสิตและห้าง Lotus's ส่วนฝั่งขาเข้าเป็นฟิวเจอร์พาร์ค รังสิต และฟิวเจอร์ซิตี้ รังสิต พัฒนาตั้งแต่ความเจริญยังมาไม่ถึง กระทั่งความเจริญเข้ามาในพื้นที่และทำให้ที่ดินที่ตั้งโครงการเจริญเติบโตไปด้วยกัน “เราอาจไม่ใช่บริษัทยักษ์ใหญ่ แต่จะเป็นส่วนหนึ่งของสังคม จะเป็นประชากรที่ดีของสังคมของประเทศ” ทายาทเจน 5 ของตระกูลหวั่งหลียืนยัน
เธอยังบอกด้วยว่า ครอบครัวต้องการทำให้เราเป็นคนดีของสังคม ทำธุรกิจอย่างตรงไปตรงมา ซึ่งจะดีกับเราและทุกคนที่เกี่ยวข้อง และอีกข้อคือ ความยืดหยุ่น เพราะเป็นศูนย์การค้าต้องปรับตัวปรับสไตล์ไปตามเทรนด์ใหม่ๆ รวมไปถึงเรื่องสิ่งแวดล้อมก็เป็นหัวข้อสำคัญในการปรับตัว
นอกจากการเกาะติดสถานการณ์และการปรับตัวแล้ว จิตตินันท์บอกว่า สิ่งสำคัญที่เรียนรู้มาจากเหตุวิกฤตหลายครั้งคือ การมีสติ จะเกิดอะไรขึ้นก็ตามต้องตั้งสติให้ได้ก่อน และหาความจริงให้ได้เยอะที่สุดก่อนจะทำอะไร ถือเป็นหลักสำคัญที่ทุกคนต้องปรับตัวไปด้วยกัน และยอมรับว่าตัวเองไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญที่จะบอกได้ว่าทำอันนี้แล้วจะสำเร็จ หรือทำอันนี้แล้วไม่สำเร็จ แต่เชื่อว่าถ้าทุกคนร่วมมือกันจะมีทางออกที่ดี

“หลายครั้งที่ผ่านมาการร่วมมือกันทำให้เราอยู่ได้ การทำอะไรคนเดียวมันยาก ถ้าทำด้วยกันก็จะอยู่ด้วยกันพัฒนาได้ดีขึ้น เพราะเราไม่ได้รู้ทุกเรื่อง พูดคุยกับร้านค้าต้องลองถูกลองผิดไปด้วยกัน”
จิตตินันท์ย้ำว่า ครอบครัวหวั่งหลีสืบทอดต่อเนื่องกันมา 100 กว่าปี ต่างปรับตัวกันมาหลายยุคหลายสมัย มีหลายอย่างที่หายไปกับสภาพเศรษฐกิจ มีหลายธุรกิจที่หายไปด้วยภาวะเศรษฐกิจและสังคม กับความต้องการเปลี่ยนไป ดังเช่นธุรกิจดั้งเดิมของกลุ่มที่ทำแป้งมันและปอก็หายไปตามยุคสมัย ก้าวสู่เศรษฐกิจใหม่และธุรกิจใหม่ การปรับตัวเป็นสิ่งที่ทำให้ทางกลุ่มยังยืนหยัดอยู่ได้ และเติบโตอย่างค่อยเป็นค่อยไป
ภาพ: กิตติเดช เจริญพร, ฟิวเจอร์พาร์ค รังสิต
เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : อิงค์-อัฏฐ์ อัศวานันท์ ครอบครัวนักบิด
