Born to be Global
การเข้าซื้อกิจการเป็นกลยุทธ์ที่ Aloke ใช้ในการขยายอาณาจักรทางธุรกิจของเขาตั้งแต่ในช่วงปีแรกๆ ของ IVL เริ่มจากการเข้าซื้อบริษัท Indo Poly ในประเทศไทยในปี 2540 ซึ่งเป็นใบเบิกทางในการขยายตัวเข้าสู่ธุรกิจโพลีเอสเตอร์ ซึ่งในวันนี้ยังเป็นหนึ่งในธุรกิจหลัก และเพียงไม่กี่ปีหลังจากเริ่มกิจการในไทย IVL ได้เริ่มสยายปีกออกไปต่างประเทศโดยเข้าซื้อบริษัท StarPet ในสหรัฐฯ ในปี 2546 “เราเริ่มจากการมองตลาดในไทย ก่อนจะหันไปมองตลาดในภูมิภาค และมองต่อไปทั่วโลก เมื่อเราประสบความสำเร็จในไทยแล้วทำไมเราจะประสบความสำเร็จในอาเซียนไม่ได้? แล้วเมื่อเราประสบความสำเร็จในอาเซียนแล้ว ทำไมเราจะไม่สามารถประสบความสำเร็จในเอเชีย? แล้วเมื่อเราสำเร็จในเอเชียแล้ว ทำไมเราถึงจะไม่สามารถสำเร็จในโลก?” Aloke อธิบายหลักคิดในการขยายกิจการออกไปทั่วโลกของ IVL “หลังจากที่ได้เข้าซื้อกิจการ 2-3 แห่งเราเริ่มตระหนักว่า ในโลกธุรกิจไม่มีความแตกต่างกัน ไม่ว่าคุณจะเป็นบริษัทในยุโรปอเมริกา หรืออาเซียน ล้วนแต่มี values ที่เหมือนกันจากมุมมองของทางธุรกิจ”เข้าสู่การผลิตแบบครบวงจรและธุรกิจ HVA
จุดเปลี่ยนที่สำคัญอีกด้านหนึ่งของ IVL คือการขยับก้าวขึ้นไปสู่ธุรกิจผลิตภัณฑ์มูลค่าเพิ่มสูง (HVA) อาทิ การผลิตเส้นใยโพลีเอสเตอร์เกรดพิเศษที่ใช้ในการผลิตสินค้านอกอุตสาหกรรมสิ่งทอ เช่น hygiene fiber ที่ใช้ในการผลิตผ้าอ้อมสำหรับเด็กและผู้ใหญ่ ที่เริ่มในปี 2555 ผ่านการซื้อกิจการในสหรัฐฯ ยุโรป และจีน และเส้นใยโพลีเอสเตอร์เกรดพิเศษอื่นๆ ที่ใช้ในการผลิตฟิล์มและสินค้าอื่นๆ รวมทั้ง nylon 66 ที่ใช้ผลิตยางในและถุงลมนิรภัยสำหรับรถยนต์ ดีล HVA ขนาดใหญ่ล่าสุดเกิดขึ้นในเดือนตุลาคม 2560 เมื่อ IVL ประกาศเข้าซื้อหุ้น 100% ในบริษัท DuPont Teijin Films (DTF) ซึ่งเป็นผู้ผลิตฟิล์ม BOPET (Biaxiallyoriented Polyethylene Terephthalate) และฟิล์ม PEN (Polyethylene Naphthalate) ชั้นนำระดับโลกมีกำลังการผลิตฟิล์มและพอลิเมอร์รวม 277,000 ตันต่อปี จากโรงงานผลิตทั้งสิ้น 8 แห่งในสหรัฐอเมริกายุโรป และจีน พร้อมศูนย์การวิจัยและพัฒนาในประเทศอังกฤษตั้งเป้ากำไรจากเงินสดโตสองเท่าภายใน 5 ปีอีกครั้ง
Aloke ใช้เวลา 30 ปีในการขยายอาณาจักร IVL สู่ธุรกิจที่มีขนาดมาร์เก็ตแคปประมาณ 1 หมื่นล้านเหรียญในปัจจุบัน เขามุ่งหวังการเติบโตอีกสองเท่า เพื่อให้มาร์เก็ตแคปแตะระดับ 2 หมื่นล้านเหรียญ (ประมาณ 6.35 แสนล้านบาท) ภายใน 4-5 ปีข้างหน้า แม้ว่าเป้าหมายนี้ดูจะท้าทายไม่น้อยเมื่อเทียบกับขนาดของ IVL ในปัจจุบันที่ขยับขึ้นมาเป็นองค์กรธุรกิจขนาดใหญ่ ที่มีรายได้จากการขายรวม 7.2 พันล้านเหรียญ ในปี 2560 มีฐานการผลิต 75 แห่งใน 25 ประเทศ ครอบคลุม 4 ทวีป แต่เมื่อดูจากผลงานในช่วง 4 ปีที่ผ่านมาที่ IVL สามารถเพิ่มกำไรหลักก่อนหักดอกเบี้ยภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย ให้เติบโตมากกว่าสองเท่า (จาก 478 ล้านเหรียญในปี 2546 เป็น 1,004 ล้านเหรียญในปี 2560) เร็วกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 5 ปี Aloke เชื่อมั่นว่าเขาจะบรรลุเป้าหมายนี้ได้อีกครั้งหนึ่ง “หลักคิดของเราคือเราไม่มุ่งหวังกำไรที่เป็นลาภลอย ขณะเดียวกันเราก็ไม่ต้องการมีการขาดทุนโดยไม่คาดหมายด้วยเช่นกัน” Aloke กล่าวสรุปพร้อมหัวเราะเบาๆคลิกอ่านฉบับเต็ม "Aloke Lohia 'เศรษฐีสร้างได้' แห่งอินโดรามา ผู้พลิกความล้มเหลวเป็น 'Deal Maker''" ได้ที่ Forbes Thailand Magazine ฉบับ เมษายน 2561 ในรูปแบบ e-Magazine