‘เครือเซ็นทารา’ เผยทำรายได้ปี 2567 สุดพีค กำไรเกินคาด! ปีนี้ลุยต่อเปิดใหม่ 9 โรงแรม ตั้งเป้ารายได้ 15,100 ล้านบาท พร้อมลงทุนอีกเพียบ ทั้งรีโนเวตใหญ่และขยายเพิ่ม ‘เซ็นทารา แกรนด์ บีช รีสอร์ทแอนด์วิลล่า หัวหิน’, อัปเกรดใหญ่ ‘เซ็นทารา แกรนด์ฯ กระบี่’ สู่แบรนด์ ‘รีเซิร์ฟ’ พร้อมขยายเซ็นทารา รีเซิร์ฟ สมุย และเซ็นทารา มิราจ บีช ในดูไบเพิ่ม
โรงแรมและรีสอร์ทเครือเซ็นทารา รายงานผลการดำเนินงานในปี 2567 มีรายได้รวมอยู่ที่ 11,162 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,230 ล้านบาท (หรือ 12%) เทียบปีก่อน มีกำไรสุทธิจำนวน 1,097 ล้านบาท เติบโตขึ้น 43% เมื่อเทียบกับปีก่อน
ธีระยุทธ จิราธิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร โรงแรมและรีสอร์ทในเครือเซ็นทารา กล่าวว่า ผลการดำเนินงานในปี 2567 ทั้งรายได้และกำไรดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ และเรียกได้ว่าเป็นปีที่เราสามารถทำยอดขายได้สูงสุดนับตั้งแต่เปิดดำเนินกิจการมา
“ผลการดำเนินงานที่ดีมาจากปัจจัยหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นในญี่ปุ่น ที่ตัวเลขนักท่องเที่ยวในปีที่แล้วดีมากจนสามารถแซงไทยได้แล้ว ในดูไบเราก็ทำได้ดี ในไทยเองทั้งกรุงเทพฯ ภูเก็ต กระบี่ ก็ทำได้ดี โดยรวมดีกว่าปี 2562 อีกด้วย”
ธีระยุทธ บอกอีกว่าความสำเร็จในไทยนั้นส่วนหนึ่งมาจากมาตรการของรัฐบาลที่สนับสนุนการท่องเที่ยว อย่างเช่น นโยบายฟรีซ่าแก่นักท่องเที่ยวจีน ที่แม้จะมีสถานการณ์ที่ทำให้นักท่องเที่ยวจีนเข้ามายังไม่ถึงเป้าหมาย แต่เซ็นทารามีนักท่องเที่ยวจีนคิดเป็นสัดส่วน 14-15% เท่านั้น ไทยยังคงเป็นตลาดหลักและมีนักท่องเที่ยวชาติอื่นเข้าด้วย เช่น มาเลเซีย, รัสเซีย เป็นต้น
ความสำเร็จของเซ็นทาราในปี 2567 ยังมาจากการกลับมาให้บริการอีกครั้งของหลายโรงแรมในเครือ ได้แก่ เซ็นทารา กะรน รีสอร์ท ภูเก็ต และ เซ็นทารา แกรนด์ มิราจ บีช รีสอร์ท พัทยา ที่หลังจากรีโนเวตแล้วเสร็จก็สามารถให้บริการได้อย่างเต็มรูปแบบตั้งแต่ช่วงปลายปีที่ผ่านมา
นอกจากนี้ยังมีโรงแรมเปิดใหม่ในมัลดีฟส์ ได้แก่ เซ็นทารา มิราจ ลากูน มัลดีฟส์ ที่พักแห่งที่ 3 ของเซ็นทาราในมัลดีฟส์ และเป็นแบรนด์ ‘มิราจ’ แห่งที่สามในโลก ซึ่งเปิดให้บริการเมื่อกลางเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา
ไม่เพียงเท่านั้น ล่าสุดในเดือนมกราคมปีนี้ เซ็นทาราได้เปิดตัวแบรนด์ใหม่อีกแบรนด์ คือ เดอะ เซ็นทารา คอลเลคชั่น (The Centara Collection) แบรนด์ใหม่ล่าสุดในเครือ ที่นำเสนอโรงแรมที่มีอัตลักษณ์เฉพาะตนอย่างแตกต่าง ผ่านดีไซน์ มนต์เสน่ห์ท้องถิ่น และประสบการณ์เข้าพักอันน่าประทับใจ
โดยในปัจจุบันมีโรงแรมภายใต้แบรนด์นี้ทั้งหมด 3 โรงแรม คือ มัชชาฟูชิ ไอส์แลนด์ รีสอร์ทและสปา มัลดีฟส์, รุกข์ คีรี เขาใหญ่ และวารีวาน่า รีสอร์ท เกาะพะงัน ซึ่งเซ็นทารามีแผนจะขยายโรงแรมภายใต้แบรนด์นี้ไปยังจุดหมายปลายทางใหม่ๆ ให้เพิ่มขึ้นอีกในปีนี้
ธีระยุทธ มองว่าภาพรวมการดำเนินงานในปี 2568 นี้จะดียิ่งขึ้นไปอีก โดยตั้งเป้ารายได้ทะยานสู่ 15,100 ล้านบาท เติบโต 23% ปัจจัยบวกมาจากโรงแรมหลายแห่งกลับมาให้บริการได้อย่างเต็มรูปแบบ ทั้งเซ็นทารา แกรนด์ มิราจ บีช รีสอร์ท พัทยา ที่อัตราค่าห้องพักเฉลี่ย (Room Rate) เติบโตอย่างมีนัยสำคัญ อีกทั้งในญี่ปุ่นจะมี World Expo ที่โอซาก้า ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการท่องเที่ยวมากขึ้น
ทั้งนี้ เครือเซ็นทารายังมีแผนเปิดตัวโรงแรมใหม่ในปีนี้ทั้งหมด 9 แห่ง รวมทั้งหมด 1,497 ห้อง แบ่งเป็น โรงแรมของเครือเซ็นทาราเอง 2 แห่ง ได้แก่ เซ็นทารา แกรนด์ ลากูน มัลดีฟส์ (142 ห้อง) ซึ่งจะเปิดให้บริการวันที่ 1 เมษายนนี้ และโรงแรมภายใต้แบรนด์เดอะ เซ็นทารา คอลเลคชั่น (The Centara Collection) อีกหนึ่งแห่งบนเกาะบาหลี ที่จะเป็นรีสอร์ทแรกภายใต้เครือเซ็นทาราอินโดนีเซีย
ส่วนอีก 7 แห่งจะเป็นโรงแรมที่เครือเซ็นทาราเข้าไปบริหาร โดยตั้งอยู่ในทำเลชั้นนำทั้งสิ้น ได้แก่ เวียดนาม 2 แห่ง, เนปาล, เกาะสมุย, เกาะพีพี, ในจังหวัดสุราษฎร์ธานี และราชบุรี
กันย์ ศรีสมพงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่การเงิน และรองประธานฝ่ายการเงินและบริหาร กล่าวเสริมว่า จากรายได้ที่ตั้งเป้าสำหรับปีนี้ จะเป็นรายได้ที่มาจากดูไบราว 2,000 กว่าล้านบาท มาจากมัลดีฟส์อีกราว 1,200 ล้านบาท และจากอีก 2 โรงแรมที่เพิ่งกลับมาเปิดให้บริการอย่างที่พัทยาและกะรนรวมกันอีก 1,100 ล้านบาท
ลงทุนอีกเพียบ ‘อัพเกรด-รีโนเวต-ขยาย’
กันย์ กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า สำหรับกลุ่ม CENTEL และ CRG วางเป้างบลงทุนสำหรับแผน 3 ปี (2568-2570) ไว้ที่ 19,000 ล้านบาท แบ่งเป็น การลงทุนในธุรกิจใหม่ๆ หรือซื้อกิจการ 4,000 ล้านบาท, ธุรกิจอาหารปีละ 1,000-2,000 ล้านบาท และธุรกิจโรงแรม 15,000 ล้านบาท
โดยสำหรับปี 2568 ภายใต้งบลงทุน 8,000 ล้านบาท จะเป็นของธุรกิจโรงแรม 5,000 ล้านบาท ซึ่งบริษัทจะใช้ไปกับการลงทุนโรงแรมในมัลดีฟส์ซึ่งยังมีค่าใช้จ่ายของ 2 โรงแรมใหม่ที่เพิ่งเปิดตัวราว 1,200 ล้านบาท และยังมีค่าใช้จ่ายซึ่งเป็นค่าก่อสร้างของสองโรงแรมที่เพิ่งรีโนเวตอย่างที่พัทยาและกะรน ภูเก็ต อีกราว 700 ล้านบาท
นอกจากนี้ เครือเซ็นทารายังมีแผนลงทุนในโครงการที่มีอยู่เพิ่มเติม ดังนี้
- งบเกือบ 1,000 ล้านบาท จะใช้รีโนเวต ‘เซ็นทารา แกรนด์ บีช รีสอร์ทแอนด์วิลล่า หัวหิน’ โดยเป็นการปรับปรุงห้องพักเดิม และสร้างห้องพักประเภทวิลล่าสุดหรูอีก 70 หลัง โดยจะอยู่ภายใต้แบรนด์ เดอะ เซ็นทารา คอลเลคชั่น (The Centara Collection) ผนวกเข้ากับห้องพักที่จะสร้างใหม่เพิ่มอีก 200 ห้อง ภายใต้แบรนด์เซ็นทารา ไลฟ์ (Centara Life)
- งบราว 700 ล้านบาท ใช้สำหรับการปรับปรุงเพื่ออัปเกรด ‘เซ็นทารา แกรนด์ บีช รีสอร์ทและวิลล่า กระบี่’ ให้กลายมาเป็นเซ็นทารา รีเซิร์ฟ (Centara Reserve) หลังประสบความสำเร็จจากการอัปเกรดที่สมุย ซึ่งได้รับการตอบรับดี ราคาห้องพักเฉลี่ยในเดือน ม.ค.2568 แตะ 2 หมื่นบาท ซึ่งเพิ่มขึ้น 20%YoY
สำหรับที่กระบี่จะปิดดำเนินการทั้งหมดเพื่อรีโนเวตตั้งแต่เดือนพฤษภาคมนี้ โดยหลังจากอัปเกรดแล้วจำนวนห้องพักจะลดลงจาก 192 ห้อง เหลือ 120 ห้อง แต่ว่าแต่ละห้องจะมีขนาดใหญ่ขึ้น โดยเซ็นทาราคาดว่าจะสามารถเพิ่ม Room Rate ของที่นี่ได้เป็น 18,000-20,000 บาทในปี 2027 จากเดิมที่อยู่ที่ 6,000-7,000 บาท
- งบราว 200 ล้านบาท ใช้สำหรับขยายห้องพักที่ ‘เซ็นทารารีเซิร์ฟ สมุย’ เพิ่มเติม หลังซื้อที่ดินมาได้ โดยส่วนใหญ่จะขยายในรูปแบบวิลล่า ซึ่งคาดว่าจะเริ่มก่อสร้างในช่วงปลายปีนี้
- งบราว 550 ล้านบาท ใช้ขยายห้องพักใน ‘เซ็นทารา มิราจ บีช รีสอร์ท ดูไบ’ เพิ่มอีก 200 ห้อง จากปัจจุบันมีอยู่ราว 600 ห้อง โดยอยู่ระหว่างออกแบบและคาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จในอีก 2 ปี – 2 ปีครึ่ง
ทั้งนี้ การเปิดให้บริการโรงแรมใหม่และการปรับโฉมโรงแรมต่างๆ ในปีนี้ เซ็นทาราคาดว่าจะช่วยส่งผลให้ราคาห้องพักเฉลี่ยมาอยู่ที่ 4,500-4,800 บาท มี Room Rate ปีนี้อยู่ที่ 74-77% และมีรายได้ต่อห้องพักเฉลี่ย (RevPAR) ของเซ็นทาราเพิ่มขึ้น โดยคาดว่ารายได้รวม (รวมโรงแรมร่วมทุน) จะเติบโตประมาณ 23% ในปีนี้
ภาพ: เครือเซ็นทารา
เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : ‘เซ็นทารา มิราจ ลากูน มัลดีฟส์’ ตัวจริงรีสอร์ทสำหรับครอบครัวแห่งมัลดีฟส์
ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine