แม้จุดเริ่มต้นในปี 2012 ของ Traveloka แพลตฟอร์มเอเจนซี่ท่องเที่ยวออนไลน์ (OTA) สัญชาติอินโดนีเซียรายนี้จะเริ่มต้นจากบริการจองเที่ยวบินและที่พัก แต่วันนี้สตาร์ทอัพท่องเที่ยวออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้รายนี้กำลังมุ่งขยายการให้บริการไปสู่การจองกิจกรรมและไลฟ์สไตล์แบบครบวงจรด้วย
หลายคนโดยเฉพาะคนที่ชอบการท่องเที่ยวและเดินทางอาจรู้จักแพลตฟอร์ม Traveloka แพลตฟอร์มที่เกิดขึ้นจากความต้องการแก้ปัญหาการชำระเงินในการจองเที่ยวบินหรือโรงแรมที่มักต้องใช้บัตรเครดิต แต่คนอินโดฯ ยังใช้บัตรเครดิตน้อยมาก (ราว 3-4% ของประชากรเท่านั้น) ซึ่งการจองแบบไม่ต้องใช้บัตรเครดิตทำให้แพลตฟอร์มนี้ได้รับการตอบรับอย่างดีเยี่ยมจากในประเทศ จนสามารถขยายการเติบโตและให้บริการแล้ว 7 ประเทศ ได้แก่ อินโดนีเซีย เวียดนาม ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย สิงคโปร์ ออสเตรเลีย รวมถึงไทยที่ให้บริการมาตั้งแต่ปี 2015
ปัจจุบัน แอปพลิเคชั่นของสตาร์ทอัพรายนี้มียอดดาวน์โหลดแล้ว 50 ล้านครั้ง มีแอคทีฟยูสเซอร์อยู่ที่ 40 ล้านราย/เดือน มียอดจองบริการบนแพลตฟอร์มรวมแล้วกว่า 500,000 การจอง/วัน และเป็นสตาร์ทอัพที่ได้รับการระดมทุนไปแล้ว 900 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยมีนักลงทุนที่สำคัญคือ Expedia นั่นเอง
ขณะที่สตาร์ทอัพรายอื่นมุ่งหน้าไปที่การระดมทุน แต่สตาร์ทอัพรายนี้ระบุว่าขณะนี้พวกเขามุ่งโฟกัสไปที่การพัฒนาโปรดักต์ให้ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ให้ได้มากกว่า โดยในปลายปี 2018 สตาร์ทอัพรายนี้ได้เปิดตัวบริการ Xperience ซึ่งรวบรวมกิจกรรมไลฟ์สไตล์มากมายมาให้บริการผู้บริโภค ไม่ว่าจะเป็นการจองตั๋วเข้าสวนสนุก, การจองบริการสปา, ดินเนอร์ ฯลฯ โดยเปิดให้บริการในไทยเมื่อเดือนมิถุนายน 2019 ซึ่งล่าสุดได้เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่คือการจองและซื้อตั๋วภาพยนตร์ในเครือเมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ ได้ล่วงหน้า
“บริการ Xperience ไม่ใช่เป็นเพียงสิ่งที่สร้างความแตกต่างให้กับเราเท่านั้น แต่เป็นสิ่งที่จะตอบโจทย์ความต้องการของผู้คนที่ต้องการหาประสบการณ์หรือไลฟ์สไตล์ในช่วงวันหยุด ที่ไม่ใช่แค่การเดินทางไปท่องเที่ยวต่างประเทศ แต่อยากให้เป็นแพลตฟอร์มที่ผู้คนจะใช้หาสิ่งที่เขาต้องการทำในวันหยุดในประเทศของตนเองด้วย ซึ่งรวมถึงการไปดูหนังหรือการไปสวนน้ำกับลูกในช่วงสุดสัปดาห์” Henry Hendrawan ประธานบริหาร Traveloka Group กล่าวกับ Forbes Thailand
Hendrawan กล่าวอีกว่า ปัจจุบันการเดินทางและการจองที่พักยังเป็นการจองหลักที่เกิดขึ้นบนแพลตฟอร์มของเรา รองลงมาคือไลฟ์สไตล์ที่ถึงแม้ให้บริการมาไม่นานแต่ก็มีการเติบโตที่แข็งแกร่ง และคาดว่าสัดส่วนยอดจองระหว่างการเดินทางและไลฟ์สไตล์จะบาลานซ์กันได้ในเร็วๆ นี้
ด้าน ธีร์ ฉายากุล ผู้บริหาร Traveloka ประจำประเทศไทย กล่าวว่า เรามั่นใจว่าบริการ Xperience จะได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้บริโภคชาวไทย เนื่องจากปริมาณการใช้อินเทอร์เน็ตของคนไทยที่มากเป็นอันดับ 1 ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ คือเกือบ 9 ชั่วโมง/วัน และทิศทางการท่องเที่ยวที่ยังมีแนวโน้มเติบโตอยู่ ซึ่งจะส่งเสริมให้บริการ OTA เติบโตขึ้นด้วย
“แม้เศรษฐกิจจะมีความผันผวน แต่ปัจจัยหลายๆ อย่าง เช่น ค่าเงินบาทของไทยที่ดีขึ้น และการที่คนไทยมีนิสัยชื่นชอบท่องเที่ยว เรายังมองว่าภาพรวมการท่องเที่ยวจนถึงสิ้นปีนี้ยังมีทิศทางที่ดีอยู่ ขณะที่ธุรกิจท่องเที่ยวจะเชื่อมโยงกับออนไลน์มากขึ้นเรื่อยๆ โจทย์คือจะทำอย่างไรให้ผู้บริโภคอยากใช้เรา ซึ่งสิ่งที่เรามองต่างจากคนอื่นคือเราไม่ได้มองแค่การเดินทางอย่างเดียว โจทย์ของเราใหญ่กว่านั้น คือเรามองไปที่ไลฟ์สไตล์ของเขามากกว่า เรามองว่าการเดินทางก็เป็นไลฟ์สไตล์หนึ่ง ซึ่งจริงๆ เขาไม่จำเป็นต้องไปไกล ไปดูหนังก็เป็นไลฟ์สไตล์ได้ ดังนั้น ถ้าเราตอบโจทย์เขาได้ เราก็เชื่อว่าเราจะเติบโตไปกับการท่องเที่ยวได้”
Sylvia Gunawan รองผู้อำนวยการฝ่ายรายได้และการเติบโตประจำ Traveloka Xperience กล่าวว่า สำหรับบริการ Xperience บนแพลตฟอร์มของเรานั้นปัจจุบันมีให้บริการทั้งบนแอปพลิเคชั่นและเว็บไซต์ โดยให้บริการด้านการท่องเที่ยวและไลฟ์สไตล์มากกว่า 20,000 สินค้าและบริการ ในจุดหมายปลายทางกว่า 300 แห่งทั่วโลก
“การจับมือร่วมกับเมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ในครั้งนี้ เราหวังจะเติมเต็มไลฟ์สไตล์ของยูสเซอร์ชาวไทยผ่านเครือข่ายอันแข็งแกร่งของเมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ ที่ครองมาร์เก็ตแชร์ของตลาดโรงภาพยนตร์ไทยถึง 70% มีสาขาอยู่ 156 แห่งทั่วประเทศไทย ครอบคลุมทุกพื้นที่”
นรุตม์ เจียรสนอง ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ เป็นโรงภาพยนตร์อันดับ 1 ของประเทศไทย โดยเราขายตั๋วหนังไปแล้วกว่า 40 ล้านใบในปีนี้ และในปีหน้าคาดว่าจะขายได้ประมาณ 43 ล้านใบ ซึ่งหวังว่ามาจาก Traveloka ราว 10% เพราะเชื่อว่านี่จะเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่ลูกค้าสามารถเข้าถึงบริการของเราได้อย่างง่าย โดยในเร็วๆ นี้จะมีโปรโมชั่นที่ทำร่วมกันเพื่อให้บริการกับลูกค้า
ธีร์ กล่าวว่า เมเจอร์เป็นพาร์ทเนอร์ที่สำคัญ เราไม่ได้อยากมองว่าฟีเจอร์นี้เป็นแค่การขายตั๋วหนัง แต่เราอยากช่วยดึงทราฟิกเข้ามาที่เมเจอร์ให้ได้มากที่สุด จากยูสเซอร์ของเราที่อาจเข้ามาในเว็บเพื่อซื้ออย่างอื่น เขาก็อาจอยากดูหนังขึ้นมาก็ได้ ซึ่งถือเป็นการตอบโจทย์ผู้บริโภคได้อย่างครบถ้วน
"โจทย์ของเราคือเราอยากเป็นอันดับ 1 ของแพลตฟอร์มท่องเที่ยวและการพักผ่อน ซึ่งเป้าหมายนี้ที่ไม่ใช่แค่ที่ไทย แต่เป็นเป้าหมายของทุกๆ ตลาดที่เราเข้าไปให้บริการ ทั้งยังเป็นแพลตฟอร์ที่สามารถตอบโจทย์ยูสเซอร์แต่ละประเทศให้ได้มากที่สุดด้วย" ธีร์ กล่าวทิ้งท้าย
อ่านเพิ่มเติมไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่ เพจเฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine