“สิงห์ เอสเตท” ย้ำภาพตัวจริงลักชัวรี ปัจจัยลบเศรษฐกิจแทบไม่กระทบธุรกิจ ตั้งเป้าปี 67 รายได้แตะ 1.8 หมื่นล้าน - Forbes Thailand

“สิงห์ เอสเตท” ย้ำภาพตัวจริงลักชัวรี ปัจจัยลบเศรษฐกิจแทบไม่กระทบธุรกิจ ตั้งเป้าปี 67 รายได้แตะ 1.8 หมื่นล้าน

“สิงห์ เอสเตท” ก้าวสู่ปีที่ 10 กางแผนทิศทางการดำเนินธุรกิจปี 2567 ตอกย้ำความมุ่งสู่การเป็น “นักพัฒนา” ผ่านการลงทุนและสร้างผลงานระดับมาสเตอร์พีซ เดินหน้าสร้างซินเนอร์จีธุรกิจภายในเครือ ผนึกกำลังพันธมิตร พร้อมชูกลยุทธ์ด้านความยั่งยืน เตรียมเปิดที่อยู่อาศัยทั้งแนวราบและแนวสูง รวมมูลค่า 9,400 ล้านบาท โดยตั้งเป้ารายได้โต 20% อยู่ที่ 18,000 ล้านบาท


    ฐิติมา รุ่งขวัญศิริโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. สิงห์ เอสเตท หรือ S กล่าวว่า กลยุทธ์ในการสร้างความเป็นเลิศในทุกมิติการลงทุนของ สิงห์ เอสเตท ในปี 2566 ที่ผ่านมา ได้ส่งผลให้ทุกพอร์ตธุรกิจมีความแข็งแกร่งอย่างมาก เช่น กลุ่มธุรกิจที่พักอาศัย ที่มีการเปิดตัวโครงการบ้านแนวราบขยายฐานลูกค้าครบทุกลักชัวรีเซ็กเมนต์ และการขยายสัดส่วนการถือครองโครงการ The ESSE Sukhumvit 36 รับการฟื้นตัวของความต้องการในกลุ่ม Ready-to-move-in ของตลาดคอนโดมิเนียม

    อีกทั้งการลงทุนในที่ดินในทำเลศักยภาพที่รองรับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องสำหรับโครงการในอนาคตตามกลยุทธ์หลักของบริษัทที่สร้างการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน

    ขณะที่กลุ่มธุรกิจโรงแรมภายใต้การบริหารงานของ ‘เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท’ (SET: SHR) ก็มีความโดดเด่นจากการเปิดตัว SO/ Maldives โรงแรมไลฟ์สไตล์หรูระดับ 5 ดาว ซึ่งตั้งอยู่ในโครงการครอสโรดส์ มัลดีฟส์ และการยกระดับห้องพักโรงแรมในเครืออีก 5 แห่ง เพื่อตอบรับโอกาสจากความต้องการของกลุ่มลูกค้าที่เพิ่มมากขึ้น

    รวมถึงเสริมการให้บริการในโรงแรมเพื่อให้สามารถเก็บอัตราห้องพักต่อวันและรายได้จากบริการอื่นๆ ได้สูงขึ้นและเพิ่มมากขึ้น และการต่อยอดแบรนด์ ทราย (“SAii”) ในการให้บริการที่มีความหลากหลายยิ่งขึ้นและเพิ่มรายได้อื่นๆ นอกจากราคาห้องโรงแรมของกลุ่ม

    ในส่วนของกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการค้า บริษัทมีการนำโมเดลธุรกิจที่มีความยืดหยุ่น เพื่อตอบโจทย์ความต้องการในการใช้พื้นที่ของคนทำงานยุคใหม่ และกลุ่มธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมและโครงสร้างพื้นฐานมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง ด้วยจุดแข็งของนิคมอุตสาหกรรม เอส อ่างทอง ที่มีการเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) ของโรงไฟฟ้าเพิ่มอีก 2 แห่ง และแหล่งน้ำจืดขนาดใหญ่ภายในพื้นที่รองรับการลงทุนในอนาคต

    “ธุรกิจของสิงห์ เอสเตท มีความอ่อนไหวต่อภาวะปัจจัยลบ น้อยกว่าธุรกิจอื่นๆ เราหวังว่าสิ่งต่างๆ ที่เราทำไว้จะส่งผลต่อผลประกอบการในปี 2567 ได้เป็นอย่างดี และที่ผ่านมาเรียกได้ว่าเราเป็นตัวจริงในตลาดลักชัวรี การพัฒนาให้เป็นลักชัวรีนั้นต้องพัฒนาทั้งโครงการ แนวคิด และการพัฒนาทั้งหมด

    “แนวทางเราเน้นลักวัรี คือตั้งแต่ 20 ล้านบาทขึ้นไป ผลตอบรับที่ผ่านมาสะท้อนว่าลูกค้าเชื่อในการทำงานของเรา สิ่งที่เราต้องทำคือการต้องลงทุนต่อเนื่อง มองหาที่ดินทำเลศักยภาพ เพื่อให้เกิดการพัฒนาโครงการที่ต่อเนื่อง

    “โดยในปี 2567 นี้ เราตั้งเป้ารายได้รวมของบริษัทให้เติบโตขึ้นสูงถึง 20% หรือมีมูลค่ารวมอยู่ที่ 18,000 ล้านบาท โดยสัดส่วนแบ่งเป็น ที่อยู่อาศัย 30%, โรงแรม 60%, อาคารสำนักงาน 7% และนิคมอุตสาหกรรม 3%”

    สำหรับกลยุทธ์ที่จะใช้สร้างการเติบโตในปีนี้ของสิงห์ เอสเตท ได้แก่ สร้างซินเนอร์จีจากความชำนาญของทีมระหว่าง 4 กลุ่มธุรกิจ, ผนึกกำลังกับพันธมิตรใหม่ เพื่อขยายโอกาสทางธุรกิจและการลงทุน และมุ่งมั่นในการพัฒนาอย่างยั่งยืน SDG13 Climate Change สู่การเป็นองค์กร Carbon Neutrality ของสิงห์ เอสเตท ในปี 2573

    ทั้งนี้หากแยกตามกลุ่มธุรกิจของสิงห์ เอสเตท มีแนวทางดำเนินธุรกิจดังต่อไปนี้

    กลุ่มธุรกิจที่พักอาศัย จากความสำเร็จของโครงการสันติบุรี เดอะ เรสซิเดนเซส โครงการลาซัวว์ เดอ เอส และโครงการศิรนินทร์ เรสซิเดนเซส ทำให้เกิดความสำเร็จอย่างต่อเนื่องในโครงการใหม่ๆ อาทิ SMYTH, S’RIN และ SHAWN โครงการบ้านเดี่ยวระดับลักชัวรี ราคา 15 ล้านบาทที่เตรียมเปิดตัวในช่วงต้นปี 2567 นี้สองโครงการ


    ขณะที่ในปี 2567 นี้ สิงห์ เอสเตท เตรียมต่อยอดความสำเร็จโครงการบ้านแนวราบที่มีครบทุกเซ็กเมนลักชัวรี และยังคงไว้ซึ่งการถ่ายทอด DNA ที่ยึดถือในการพัฒนาโครงการให้ได้คุณภาพระดับ “Best in Class” โดยได้มีการลงทุนในที่ดินทำเลศักยภาพที่รองรับการพัฒนาสำหรับโครงการที่จะเกิดขึ้นระยะ 3-5 ปีต่อจากนี้ นอกจากนี้ ยังคาดว่าจะสามารถรับรู้รายได้จากยอดโอนเพิ่มขึ้นอีก 50% ในปีนี้

    สำหรับที่อยู่อาศัยโครงการใหม่ในปีนี้ หากไม่รวม SHAWN แล้ว สิงห์ เอสเตทยังเตรียมเปิดตัวโครงการใหม่อีกรวมมูลค่ากว่า 9,400 ล้านบาท แบ่งเป็น คอนโดมิเนียม 2 โครงการในทำเลพระราม 3 และศรีราชา, บ้านเดี่ยวแบรนด์ S’RIN ในทำเลพรานนก และบ้านในรูปแบบคลัสเตอร์โฮม มูลค่าหลังละ 100 ล้านบาท ในโซนกลางเมือง



    ส่วนกลุ่มธุรกิจโรงแรมภายใต้การบริหารงานของ SHR ยังคงมีแผนที่จะปรับปรุงโรงแรมตามแผนการยกระดับพอร์ตโฟลิโออย่างต่อเนื่อง จำนวน 5 โรงแรมในเครือที่ประเทศไทยและต่างประเทศ โดยคาดว่าจะสามารถเพิ่มอัตราเฉลี่ยต่อห้องต่อคืน (RevPAR) ได้มากกว่า 25% รวมถึงแผนการเสริมการให้บริการด้านอื่นๆ ให้สอดคล้องกับการยกระดับห้องพักที่จะสร้างรายได้เพิ่มเติม นอกเหนือจากรายได้การเข้าพัก (Non-Room Revenue) จากการใช้จ่ายต่อคนในการใช้บริการ ภายในโรงแรมเพิ่มขึ้นอีก 15%

    ขณะที่การหมุนเวียนสินทรัพย์ (Asset Rotation) ยังเป็นปัจจัยหนึ่งในการเสริมความแข็งแกร่งด้านผลประกอบการ โดยมุ่งเน้นไปที่สินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูง รวมถึงการมองหาโอกาสในการควบรวมกิจการของธุรกิจที่ทำให้เกิดโอกาสรับรู้รายได้อย่างต่อเนื่องเพิ่มขึ้นด้วย

    กลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการค้า ยังคงมุ่งเน้นกลยุทธ์ในการใช้โมเดลธุรกิจที่มีความยืดหยุ่น เพื่อรองรับความต้องการของผู้เช่าอาคารสำนักงานที่เปลี่ยนไป ควบคู่ไปกับการชูจุดเด่นด้านที่ตั้งของโครงการต่างๆ ในเครือ ซึ่งจะทำให้มีอัตราการเช่าพื้นที่เฉลี่ยของอาคารสำนักงานในเครือที่มากกว่าในช่วงปี 2562 ด้วยอัตราการเช่าพื้นที่เฉลี่ย 85% ในทุกโครงการที่ดำเนินการมาก่อนหน้านี้

    กลุ่มธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมและโครงสร้างพื้นฐาน มีการตั้งเป้ายอดโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินในนิคมอุตสาหกรรม เอส อ่างทอง อยู่ที่ 40% ของพื้นที่ขายรวม โดยใช้ทำเลยุทธศาสตร์ที่เป็นจุดศูนย์กลางระหว่างแหล่งวัตถุดิบและเส้นทางการขนส่ง ความพร้อมด้านระบบสาธารณูปโภคทั้งกำลังการผลิตกระแสไฟฟ้าที่มีสูงถึง 400 MW และปริมาณน้ำซึ่งเป็นหัวใจสำคัญสำหรับผู้ประกอบการเฉพาะทาง

    การดำเนินงานด้านความยั่งยืน มีแผนที่จะบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอน หรือ Carbon Neutrality ด้วยกลยุทธ์ Climate Resilience Model เพื่อเตรียมความพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รวมถึงการให้ความสำคัญของพื้นที่ความหลากหลายทางชีวภาพ

    โดยตั้งเป้าขยายพื้นที่ความหลากหลายทางทะเลถึง 30% นอกจากนี้ยังมุ่งเป็นศูนย์กลางในการสร้างสังคมคุณภาพ ผ่านโครงการต่างๆ ถึงกว่า 30 โครงการ นับเป็นจำนวนมากกว่า 100,000 คน ครอบคลุมพื้นที่การดำเนินงาน 5 ประเทศในทุกกลุ่มธุรกิจ ได้แก่ ประเทศไทย สาธารณรัฐมัลดีฟส์ สาธารณรัฐมอริเชียส สหราชอาณาจักร และสาธารณรัฐหมู่เกาะฟิจิ

    “แม้ว่า ปี 2567 จะเป็นอีกหนึ่งปีที่ท้าทายสำหรับเศรษฐกิจโลก แต่กลุ่มบริษัท สิงห์ เอสเตท มีกลยุทธ์ในการขยายธุรกิจไปพร้อมกับการเตรียมตั้งรับสถานการณ์ต่างๆ ที่มีการเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา เพื่อตอกย้ำแนวทางการทำธุรกิจแบบมั่นคงและยั่งยืน” ฐิติมา กล่าวทิ้งท้าย



เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : เจน 3 เจียรวนนท์ ลุยอสังหาฯ หรู เปิดตัว “อีเดน เอกมัย” สุดไพรเวทเพียง 17 ยูนิต เริ่มต้น 70 ล้านบาท

ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine