ไรมอน แลนด์ปิดดีลเข้าซื้อสินทรัพย์จากเคพีเอ็น แลนด์ มูลค่ารวมกว่า 1 หมื่นล้านบาท เปิด PP หุ้นให้ เคพีเอ็น แลนด์ 14% เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 3 “Adrian Lee” แจงไม่มีการ Back Door ดีลครั้งนี้ทำให้ไรมอน แลนด์ได้ตุนพอร์ตที่ดินกลางกรุงเพิ่ม
Adrian Lee ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร
บมจ. ไรมอน แลนด์ หรือ RML เปิดเผยข้อมูลการเข้าซื้อสินทรัพย์ของ
บริษัท เคพีเอ็น แลนด์ จำกัด โดยคณะกรรมการบริษัทฯ ได้อนุมัติการเข้าลงทุนแล้ว
การเข้าซื้อครั้งนี้ ไรมอน แลนด์ จะได้รับสินทรัพย์ทั้งหมด 4 ชิ้น ได้แก่
- โครงการ S19 เนื้อที่ 1 ไร่ ในซอยสุขุมวิท 19 ซึ่งเคพีเอ็น แลนด์เปิดขายโครงการไปแล้วด้วยมูลค่าโครงการประมาณ 2 พันกว่าล้านบาทแต่ยังไม่เริ่มงานก่อสร้าง
- โครงการ S28 เนื้อที่ 2 ไร่ ในซอยสุขุมวิท 28 ซึ่งเป็นที่ดินเปล่า คาดว่าจะพัฒนาโครงการมูลค่าไม่ต่ำกว่า 5 พันล้านบาทได้
- โครงการ เดอะ ดิโพลแมท 39
- โครงการ เดอะ ดิโพลแมท สาทร
ทั้งนี้ คอนโดมิเนียมแบรนด์เดอะ ดิโพลแมททั้ง 2 แห่ง มีแบ็กล็อกและยูนิตเหลือขายซึ่งจะโอนเป็นรายได้ให้บริษัทได้ภายในปี 2561-62 คิดเป็นมูลค่ารวม 2.5 พันล้านบาท นอกจากนี้ไรมอน แลนด์จะได้สิทธิในการใช้แบรนด์ภายใต้เคพีเอ็น แลนด์ทั้งหมด
ในขณะที่ฝั่งไรมอน แลนด์จ่ายให้กับดีลครั้งนี้แบ่งออกเป็น 3 ส่วน ส่วนแรก เงินสดมูลค่า 1 พันล้านบาท ส่วนสอง เงินสดมูลค่า 500 ล้านบาท และส่วนสาม เปิดขายหุ้นเพิ่มทุนในวงจำกัด (PP) จำนวน 597 ล้านหุ้น ราคา 1.8 บาทต่อหุ้น ให้กับเคพีเอ็น แลนด์คิดเป็นมูลค่า 1,074 ล้านบาท
และไรมอน แลนด์จะรับหนี้ทั้งหมดที่เข้ามาพร้อมกับสินทรัพย์ ทำให้ D/E ratio ของบริษัทจะเพิ่มขึ้นจาก 1.1 เป็น 1.4 ในช่วงหลังรับมอบสินทรัพย์ แต่จะลดลงเหลือ 1.2-1.25 หลังจากโอนกรรมสิทธิ์เดอะ ดิโพลแมท 39 เรียบร้อยภายในสิ้นปีนี้
Lee กล่าวว่า การขายหุ้นครั้งนี้จะทำให้เคพีเอ็น แลนด์ถือหุ้น RML ในสัดส่วน 14.31% เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับสาม รองจาก
JS Asset Management ซึ่งถือหุ้น 21.40% และ
จิรวุฒิ คุวานันท์ (ประธานบริษัท โค้วยู่ฮะ กรุ๊ป ดีลเลอร์รถยนต์อีซูซุ) ผู้ถือหุ้นสัดส่วน 16.58% โดยเคพีเอ็น แลนด์จะมีกรรมการ 2 ท่านเข้าร่วมในบอร์ดหลังจากนี้
“เราไม่ได้เทกโอเวอร์เคพีเอ็นกรุ๊ปทั้งบริษัท เป็นการซื้อทรัพย์สินของเคพีเอ็น แลนด์ และเพื่อความชัดเจน เราไม่ได้ถูก Back Door Listing โดยเคพีเอ็น แลนด์อย่างที่มีข่าวก่อนหน้านี้ อย่างที่เห็นโครงสร้างผู้ถือหุ้นเมื่อมีการขายหุ้นแล้วเคพีเอ็น แลนด์จะถือหุ้น 14.31% เท่านั้น” Lee กล่าว
สำหรับกระบวนการต่อไปไรมอน แลนด์จะมีประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น และคาดว่าจะมีการโอนสินทรัพย์แล้วเสร็จภายในเดือนพฤศจิกายน 2561
เดอะ ดิโพลแมทดันรายได้ปี 2561 ของ RML เป็น 4.6 พันล้านบาท
Lee กล่าวว่า จากการเข้าซื้อคอนโดมิเนียมเดอะ ดิโพลแมททั้งสองแห่งมีข้อดีต่อรายได้ประจำปีของบริษัท เนื่องจากเดอะ ดิโพลแมท 39 กำลังอยู่ในช่วงโอนกรรมสิทธิ์ และเดอะ ดิโพลแมท สาทร ยังมียูนิตเหลือขาย ทำให้ปีนี้เชื่อว่าจะมีรายได้เพิ่มจากสองคอนโดฯ นี้อีก 1.8 พันล้านบาท จึงปรับเป้าหมายรายได้ปี 2561 ของไรมอน แลนด์ขึ้นเป็น 4.6 พันล้านบาท
ส่วนแผนการพัฒนาโครงการ ปี 2561 จะยังเป็นไปตามแผนเดิม คือโครงการร่วมทุน 2 แห่งกับ
Tokyo Tatemono ย่านสุขุมวิท 26 กับ สาทร 12 มูลค่ารวมทั้งหมด 8 พันกว่าล้านบาท ซึ่งจะเปิดตัวช่วงปลายปีนี้
ขณะที่ปี 2562 บริษัทมีแผนพัฒนาที่ดินอีก 2 โครงการ มูลค่ารวม 8-9 พันล้านบาท ซึ่งเป็นที่ดินเดิมที่ไรมอน แลนด์มีอยู่แล้วในย่านทองหล่อกับราชเทวี ดังนั้น ที่ดินจากเคพีเอ็น แลนด์ซึ่งอยู่ในย่านสุขุมวิททั้ง 2 แปลงจึงไม่จำเป็นต้องรีบพัฒนาเพราะบริษัทมีโครงการอื่นๆ ทยอยเปิดขายไปก่อนแล้วในทำเลใกล้เคียงกัน
โดยเฉพาะที่ดินสุขุมวิท 28 ซึ่งมีการต่อต้านโครงการจากคนในพื้นที่ หลังรับมอบแล้วบริษัทจะเร่งเข้าไปดูแลปัญหาที่เกิดขึ้นแต่เชื่อว่าจะเริ่มเปิดตัวโครงการได้น่าจะใช้เวลาราว 3 ปี
เป้าต่อไป: Recurring Income
Lee แจกแจงว่า
ขณะนี้บริษัทได้สร้างความเข้มแข็งให้กับพอร์ตรายได้ฝั่งที่อยู่อาศัยเพื่อขายเพียงพอแล้ว ในระยะใกล้จะยังไม่มีการเทกโอเวอร์สินทรัพย์ประเภทนี้อีก แต่จะหันมาเน้นรายได้ประจำ (Recurring Income) แทน โดยกำลังมองหาโอกาสอยู่
ทั้งนี้ แหล่งข่าวจากไรมอน แลนด์เปิดเผยว่า ปี 2561 ไรมอน แลนด์คาดว่าจะมีรายได้จากอสังหาริมทรัพย์ให้เช่า ได้แก่ คอมมูนิตี้ มอลล์ Vue และเซอร์วิส อะพาร์ตเมนต์บนคอนโดฯ เดอะ ริเวอร์ รวมกับรายได้ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มที่ลงทุนกับ
บ้านหญิงกรุ๊ป รวมรายได้ส่วนนี้ประมาณ 100 กว่าล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ไรมอน แลนด์มีเป้าหมายจะเพิ่มรายได้ประจำให้มีสัดส่วน 30% ในรายได้รวมหรือประมาณ 3 พันล้านบาทภายในปี 2566 ดังนั้น จึงมีการลงทุนพัฒนาออฟฟิศบิลดิ้งย่านเพลินจิตตรงข้ามเซ็นทรัล เอ็มบาสซีไปเมื่อปี 2560 โดยเป็นสำนักงานให้เช่าพื้นที่ 1 แสนตารางเมตรและพื้นที่รีเทล 4-5 พันตารางเมตร มูลค่าลงทุนก่อสร้างและค่าเช่าที่ดินราว 6-7 พันล้านบาท ซึ่งจะเก็บรายได้ค่าเช่าได้เต็มในปี 2565 เมื่อโครงการสร้างเสร็จสมบูรณ์
แต่เพื่อจะไปให้ถึงเป้าหมายรายได้ประจำ 3 พันล้านบาท คาดว่าบริษัทจะมีการขยายธุรกิจส่วนนี้อย่างต่อเนื่องทั้งกลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม และบริษัทกำลังมองแนวทางพัฒนาธุรกิจโรงแรมด้วย