สูตรอสังหาฯ ฉบับ ‘ออริจิ้น’ เกิดจากคอนโดฯ โตด้วยแนวราบ-ค่าเช่า - Forbes Thailand

สูตรอสังหาฯ ฉบับ ‘ออริจิ้น’ เกิดจากคอนโดฯ โตด้วยแนวราบ-ค่าเช่า

ออริจิ้นกางแผนเป้าหมายการเติบโตถึงปี 2565 หวังทำรายได้ 27,500 ล้านบาท เบ่งพอร์ตโครงการแนวราบ-อสังหาฯ เพื่อเช่าเร่งการเติบโต กลยุทธ์สำคัญพัฒนา Mixed-use เพิ่มมูลค่า สำหรับปี 2561 เตรียมเปิดตัว 14 โครงการใหม่ 30,000 ล้านบาท

แม้ บมจ.ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ เพิ่งก่อตั้งบริษัทเมื่อปี 2552 เริ่มต้นจากการพัฒนาคอนโดมิเนียมระดับกลาง-ล่างในย่านแบริ่ง-ลาซาลเลยไปจนถึง จ. สมุทรปราการ แต่เพียง 6 ปีให้หลังออริจิ้นมีความพร้อมมากพอที่จะเปิดขายหุ้น IPO และช็อกวงการอีกครั้งเมื่อเข้าเทกโอเวอร์กิจการ บริษัท พราวด์ เรสซิเดนซ์ จำกัด ในปี 2560 เป็นการเรียนลัดเข้าสู่ตลาดอสังหาฯ ระดับบน อีกทั้งได้พันธมิตรต่างชาติคือ บริษัท โนมูระ เรียลเอสเตท ดีเวลล็อปเมนท์ จำกัด จากญี่ปุ่นเข้ามาร่วมลงทุน ในอีก 5 ปีจากนี้ ออริจิ้นยังวางแผนการเติบโตแบบก้าวกระโดดต่อเนื่อง โดย พีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ กางกราฟทิศทางการเติบโตของรายได้บริษัทช่วงปี 2561-2565 (ไม่รวมโครงการร่วมทุน) วางเป้ารายได้ปีนี้ที่ 15,500 ล้านบาท และต้องการเติบโต 10-23% ทุกปีสู่เป้า 27,500 ล้านบาทในปี 2565 ทั้งนี้ พีระพงศ์ชี้ให้เห็นว่าเมื่อถึงปลายทางที่ปี 2565 “ทุกเครื่องยนต์ของบริษัทจะเดินไปด้วยกัน” จากเดิมที่ออริจิ้นเคยพัฒนาเฉพาะโครงการแนวสูง แต่ตั้งแต่ปีก่อน บริษัทเริ่มเปิดโครงการแนวราบแห่งแรกคือ “บริทาเนีย ศรีนครินทร์” และพอร์ตโครงการแนวราบจะกลายเป็นพอร์ตสำคัญที่ขยายตัวทุกปีจนถึงหลักหมื่นล้านในปี 2565 คิดเป็นสัดส่วน 36% ของรายได้รวม รวมถึงพอร์ตรายได้จากอสังหาฯ เพื่อเช่า เช่น โรงแรม อะพาร์ตเมนต์ ออฟฟิศบิลดิ้ง หรือโกดังที่กำลังศึกษาร่วมกับโนมูระ และธุรกิจบริการ เช่น นิติบุคคล แม่บ้าน เอเย่นต์ขาย-เช่า จะมีสัดส่วนราว 5-6% ของรายได้ทั้งหมด ในขณะที่โครงการร่วมทุนกับโนมูระจะเริ่มรับรู้รายได้ในปี 2563 เมื่อถึงปี 2565 คาดว่ารายได้ส่วนนี้จะอยู่ที่ 14,500 ล้านบาท แต่การบันทึกในบัญชีจะรับรู้ในรูปของกำไรสุทธิ
(จากซ้าย) จตุพร ผิวขาว กรรมการผู้จัดการ บริษัท ออริจิ้น วัน จำกัด, พีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้, ปิติพงษ์ ไตรนุรักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บมจ.ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ และศุภลักษณ์ จันทร์พิทักษ์ กรรมการผู้จัดการโครงการแนวราบ บมจ.ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้
 

รอโอกาสผุด Mixed-use อีก 2 ทำเล

สำหรับกลยุทธ์สู่เป้าหมาย พีระพงศ์กล่าวถึงการพัฒนาโครงการในรูปแบบ Mixed-use โดยเริ่มจากปีก่อนที่ออริจิ้นซื้อกิจการพราวด์ เรสซิเดนซ์ ทำให้ได้โครงการคอนโดมิเนียม “พาร์ค 24” ย่านพร้อมพงษ์ไว้ในมือ และยังเช่าที่ดินโดยรอบเพิ่มเติม รวมเนื้อที่ทั้งหมด 17 ไร่ บริเวณพาร์ค 24 จึงเป็น Mixed-use แห่งแรกของออริจิ้น จากคอนโดฯ 2 อาคารเดิมของพราวด์ฯ ที่เริ่มโอนกรรมสิทธิ์ปี 2560-61 และที่บริษัทจะก่อสร้างเพิ่มเป็นโรงแรมและอะพาร์ตเมนต์ในชื่อ “ออริจิ้น 24” และคอมมูนิตี้มอลล์ คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างไตรมาส 3/61 รวมมูลค่าโครงการนี้ 23,000 ล้านบาท
โครงการพาร์ค 24
  ในปีเดียวกัน ออริจิ้นซื้อที่ดินจาก ตัน ภาสกรนที บริเวณโครงการอารีนา 10 ในซอยทองหล่อ ที่ดินขนาด 13 ไร่ เตรียมพัฒนารูปแบบ Mixed-use แบบเดียวกับพาร์ค 24 เริ่มเฟสแรกก่อสร้างคอนโดมิเนียมระดับลักชัวรีภายใต้แบรนด์พาร์คในปีนี้ และจะตามด้วยโรงแรม อะพาร์ตเมนต์ คอมมูนิตี้มอลล์ในเฟสต่อไป รวมมูลค่าโครงการ 37,000 ล้านบาท วางแผนก่อสร้างเสร็จทั้งหมดภายในปี 2566 สุดท้ายคือแปลงที่ดิน 4 ไร่บริเวณริมถนนพญาไท จะก่อสร้าง Mixed-use คอนโดฯ ออฟฟิศบิลดิ้ง และโรงแรม มูลค่าโครงการ 10,000 ล้านบาท คาดว่าจะเริ่มลงทุนได้ช่วงปลายปี นอกจากนี้ บริษัทยังซื้อแปลงที่ดินย่านใจกลางเมืองอีก 2 แปลงเตรียมพัฒนาเป็นคอนโดฯ แบรนด์พาร์คในปีหน้า และมีความต้องการจะขยายเป็นโครงการ Mixed-use ต่อไป “พาร์คอีก 2 โครงการจะเริ่มจากพัฒนาเป็นคอนโดฯ เป็นฐานไว้ก่อน ถ้าสามารถขยายหาที่ดินรอบๆ ได้ก็จะพัฒนาอสังหาฯ อื่นๆ ต่อไป เช่น ถ้าเป็นอสังหาฯ เพื่อเช่าจะเป็นที่ดินเช่าก็สามารถทำได้” พีระพงศ์กล่าว  

โครงการแนวราบขยายสู่ EEC

ด้าน ศุภลักษณ์ จันทร์พิทักษ์ กรรมการผู้จัดการโครงการแนวราบ บมจ.ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ เปิดเผยว่า สำหรับโครงการแนวราบของบริษัทจะเปิดโครงการทั้งหมด 4 โครงการ มูลค่ารวม 4,000 ล้านบาท
บริทาเนีย ศรีนครินทร์ โครงการแนวราบแห่งแรกของออริจิ้น
โดยจะมีทั้งทำเลโซนกรุงเทพฯ ตะวันออก ถนนบางนา-ตราดและถนนศรีนครินทร์ รวมถึงจะมีโครงการแนวราบในต่างจังหวัดแห่งแรกที่ จ. ระยอง ซึ่งอยู่ในเขตโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) ที่ภาครัฐสนับสนุน และพอร์ตโครงการแนวราบใน EEC จะเป็นส่วนสำคัญของบริษัทต่อไป กลุ่มสินค้าและราคาโครงการแนวราบที่ออริจิ้นจะพัฒนาประกอบด้วย ทาวน์เฮาส์และโฮมออฟฟิศ ราคา 3-5 ล้านบาท บ้านเดี่ยวและบ้านแฝดราคา 5-8 ล้านบาท และบ้านเดี่ยวราคา 8-20 ล้านบาท เพื่อให้ครอบคลุมความต้องการลูกค้าทุกระดับ  

ปี 2561 ยังเป็นตลาดบน ปีหน้ากำลังซื้อกลาง-ล่างจะกลับมา

ด้านแผนธุรกิจปี 2561 พีระพงศ์ กล่าวว่าบริษัทตั้งเป้าเปิดตัวโครงการที่อยู่อาศัย 14 โครงการ มูลค่ารวม 30,000 ล้านบาท แบ่งเป็นคอนโดฯ 10 โครงการ มูลค่ารวม 26,000 ล้านบาท และโครงการแนวราบ 4 โครงการ มูลค่ารวม 4,000 ล้านบาท ตั้งเป้ายอดขาย 20,000 ล้านบาท และเป้าหมายรายได้ 15,500 ล้านบาท โดยมีแบ็กล็อกรอโอนกรรมสิทธิ์ภายในปีนี้แล้ว 12,000 ล้านบาท ในปีนี้สัดส่วนโครงการเปิดตัวใหม่จะเน้นเจาะกำลังซื้อระดับบนเป็นหลัก ผ่านแบรนด์พาร์คซึ่งเป็นคอนโดฯ ระดับลักชัวรี ราคามากกว่า 2 แสนบาท/ตร.ม. สัดส่วน 60% ของมูลค่าโครงการเปิดตัวทั้งหมด และแบรนด์ไนท์บริดจ์ คอนโดฯ ระดับบนราคา 1.2-2 แสนบาท/ตร.ม. สัดส่วน 21% อย่างไรก็ตาม ปี 2562 บริษัทจะกลับมาเน้นหนักกลุ่มคอนโดฯ กลางและล่างอีกครั้ง โดยคาดว่าสัดส่วน 50-60% ของพอร์ตโครงการเปิดใหม่จะเป็นแบรนด์เคนซิงตันและน็อตติ้ง ฮิลล์ ราคา 8 หมื่น-1.2 แสนบาท/ตร.ม. และแบรนด์บีลอฟท์ราคาต่ำกว่า 8 หมื่นบาท/ตร.ม. “เชื่อว่ากลางปีหน้า คอนโดฯ ห้องละ 1 ล้านกว่าบาทจะกลับมาเป็นกระแสอีกครั้ง เพราะมีหลายสำนักคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจไทยแล้วว่าจะโตราว 4% ติดต่อกัน 2 ปี ซึ่งจะทำให้เงินหมุนถึงมือประชาชนกลุ่มกลางล่างในช่วงปีหน้า ส่วนปีนี้บริษัทยังเกาะกลุ่มกำลังซื้อคอนโดฯ ห้องละ 5-10 ล้านบาทก่อน โดยมีอานิสงส์ดอกเบี้ยผ่อนบ้านต่ำ 2-3% เกื้อหนุนให้คนซื้อของได้คำใหญ่ขึ้น สมมติคอนโดฯ ราคา 7 ล้านบาทในยุคนี้ ลูกค้ามีรายได้ 7 หมื่นบาท/เดือนก็สามารถซื้อได้แล้ว” พีระพงศ์กล่าว