Wardian London คอนโดมิเนียมริมแม่น้ำเทมส์ใน London เปิดพอร์ตขายเศรษฐีไทยเริ่มต้นยูนิตละ 28 ล้านบาท ชูจุดเด่นทำเลใน Canary Wharf ย่านเศรษฐกิจใหม่ ราคาถูกกว่าใจกลางเมือง เชื่อพื้นฐานอสังหาฯ อังกฤษรับมือ Brexit ได้
Dato ‘Teow Leong Seng ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท
EcoWorld International จากประเทศมาเลเซีย เปิดเผยว่า บริษัทได้ร่วมลงทุนกับบริษัทอสังหาริมทรัพย์
Ballymore ในประเทศอังกฤษ เพื่อพัฒนาโครงการ
Wardian London มูลค่าโครงการ 550 ล้านปอนด์ มีทั้งหมด 2 อาคาร จำนวนห้องชุดรวม 624 ยูนิต โดยนับเป็นโครงการที่ 3 แล้วในอังกฤษที่ EcoWorld มีการพัฒนา
ด้าน
Emma Colin หัวหน้าฝ่ายขายของ
Ballymore กล่าวว่า โครงการ Wardian London มีจุดเด่นด้านทำเลที่ตั้งริมแม่น้ำเทมส์ ในย่านที่เรียกว่า
Canary Wharf ของ London ทำให้โครงการนี้สามารถรับวิวที่สวยงามทั้งวิวแม่น้ำและวิวอาคารต่างๆ ใน Canary Wharf นอกจากนี้การดีไซน์รูปแบบห้องทุกห้องจะมีสวนขนาดใหญ่บนระเบียงเป็นส่วนตัว และมีสิ่งอำนวยความสะดวกจำนวนมาก อาทิ สระว่ายน้ำยาว 25 เมตรพร้อมเครื่องทำความร้อน สวนเรือนกระจก โรงภาพยนตร์ส่วนตัว สตูดิโอโยคะ เป็นต้น
โดย Wardian London จะเปิดให้ผู้ที่สนใจชมข้อมูลโครงการที่โรงแรม เดอะ เซนต์ รีจิส กรุงเทพฯ ระหว่างวันที่ 26-27 สิงหาคม 2560 ราคาเริ่มต้น ห้องแบบสตูดิโอพื้นที่ใช้สอย 420 ตารางฟุต ราคา 6.5 แสนปอนด์ (ประมาณ 28 ล้านบาท อัตราแลกเปลี่ยน 1 ปอนด์=43.12 ปอนด์) หรือคิดเป็นราคาเฉลี่ย 1,250 ปอนด์ต่อตารางฟุต
ไนท์แฟรงค์ชี้โอกาสใน Canary Wharf
Raul Cimesca พาร์ทเนอร์
ไนท์แฟรงค์ ลอนดอน เอเย่นต์ขายโครงการ Wardian London กล่าวว่า Canary Wharf เป็นย่านธุรกิจใหม่ที่เกิดขึ้นช่วงยุค 1990s เริ่มแรกเน้นธุรกิจการเงิน ธนาคารเป็นหลัก แต่ระยะหลังเริ่มมีส่วนผสมของบริษัทสื่อและไอทีมากขึ้น และเริ่มเป็นย่านชุมชนมีประชากรย้ายเข้าไปอาศัยสูงขึ้น ในช่วงปี 2001-2011 ประชากรใน Canary Wharf เพิ่มขึ้น 89% ปัจจุบันมีพนักงานกว่า 1 แสนคนที่ทำงานในย่านนี้
อีกแรงกระตุ้นที่จะส่งผลดีให้กับ Canary Wharf คือโครงการรถไฟ
Crossrail ที่จะเชื่อมต่อระหว่างฝั่งตะวันออกและตะวันตกของ London เตรียมเปิดบริการในปี 2019 ทำให้การเดินทางจาก Canary Wharf เข้าสู่ใจกลางเมืองเก่าของ London สะดวกขึ้น ย่นระยะเวลาการเดินทางลงครึ่งหนึ่งจากปกติ โดยจากโครงการ Wardian London สู่ Bond Street ใช้เวลาเพียง 13 นาที
นอกจากนี้
ย่าน Canary Wharf ซึ่งถือว่าเป็นย่านที่ไม่ใช่ไพรม์ใจกลางกรุงแต่เป็นย่านขอบเมือง ยังพบว่า
เป็นบริเวณที่มีความผันผวนของราคาน้อยกว่าใจกลางเมือง ยกตัวอย่างเช่น หลังเหตุการณ์ลาออกจากการเป็นสมาชิกสหภาพยุโรปของอังกฤษหรือ Brexit เมื่อปี 2016 ขณะที่อสังหาริมทรัพย์ย่านไพรม์ของ London เคยราคาตกต่ำมากที่สุด -4% แต่ Canary Wharf ลดลงต่ำสุด -1.5% เท่านั้น อย่างไรก็ดี ในปี 2017 อสังหาฯ ใน London ทั้งหมดกลับมาสู่ช่วงราคาทรงตัวแล้ว
สำหรับราคาของย่าน Canary Wharf ยังถือว่าน่าสนใจกว่ากลางเมือง ด้วยราคาที่ต่ำกว่า ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 1,500 ปอนด์ต่อตารางฟุต ขณะที่ใจกลางเมืองราคาเฉลี่ยสูง 2,000 ปอนด์ต่อตารางฟุต
Brexit กดดันอังกฤษแค่ไหน?
Raul กล่าวต่อว่า สำหรับข้อกังวลว่า
Brexit จะทำให้อังกฤษสูญเสียตำแหน่งการเป็นศูนย์กลางทางการเงินโลกหรือไม่นั้น ขณะนี้ยังไม่ชัดเจนเนื่องจากข้อตกลงระหว่างสหภาพยุโรปกับอังกฤษยังไม่สิ้นสุด อย่างไรก็ตาม ถึงแม้สถาบันการเงินต่างๆ จะมีการเตรียมแผนสำรองไว้แต่ก็ยังไม่มีแห่งใดที่ประกาศย้ายฐานกลับสู่ยุโรปฝั่งแผ่นดินใหญ่ และบางแห่งเช่น Deutsche Bank ของเยอรมนี กลับมีการเปิดสำนักงานใหม่ใน London พื้นที่ถึง 4.69 แสนตารางฟุตหลังเหตุการณ์ Brexit
Raul ยังมองว่าอังกฤษคือฐานการทำงานสำคัญของผู้จัดการความมั่งคั่ง (wealth manager) จำนวนมาก ซึ่งการจะย้ายออกและเปลี่ยนแปลงโครงสร้างนี้น่าจะเกิดขึ้นได้ไม่ง่าย
รวมถึงสภาวะซัพพลายที่ไม่เพียงพอของ London จะทำให้อสังหาฯ ยังเติบโตอย่างมั่นคง โดย London มีดีมานด์ที่อยู่อาศัยปีละกว่า 5 หมื่นยูนิตจากการย้ายเข้าของทั้งชาวอังกฤษจากเมืองอื่นและชาวต่างชาติ แต่มีการสร้างซัพพลายเพิ่ม 30,390 ยูนิตต่อปีเท่านั้น เนื่องจากการขออนุญาตก่อสร้างและกระบวนการก่อสร้างค่อนข้างยุ่งยากและใช้เวลานาน เฉพาะการก่อสร้างอาคารไฮไรส์จะใช้เวลาเฉลี่ย 4-5 ปีซึ่งทำให้มีซัพพลายเข้าสู่ตลาดไม่มากในแต่ละปี
ดังนั้นการคาดการณ์ของไนท์แฟรงค์ยังเห็นว่าอังกฤษมีโอกาสฟื้นตัวกลับมา เฉลี่ยการเติบโตของราคา (Capital Gain) รวม 5 ปี (2017-2021) ของ London อยู่ที่ 12% ขณะที่ Canary Wharf คาดว่าจะเติบโต 11.4% และมีผลตอบแทนการปล่อยเช่า (rental yield) ประมาณ 4-5% ต่อปี
อ่านเพิ่มเติม: ราคาอสังหาฯ London ติดลบหลัง Brexit
อ่านเพิ่มเติม: “ดิ เอเจ้นท์” ชวนคนไทยซื้ออสังหาฯ อังกฤษ