ในยุคหนึ่งครอบครัว ‘อิสสระ’ คือผู้นำเข้า-ส่งออกสินค้าและค้าน้ำมันรายใหญ่ในภาคใต้ ยุคต่อมาเป็นบริษัทเรียลเอสเตทที่สร้างตึกระฟ้าอาคารแรกๆ ของกรุงเทพฯ และยุคปัจจุบันทายาทรุ่นหลานได้ปลุกปั้นที่ดินในจังหวัดภูเก็ตจนเป็นโรงแรมชื่อดัง และบริษัทก้าวสู่รายได้ 3,100 ล้านบาทในปีที่ผ่านมา
ปี 2560 เป็นโอกาสครบรอบ 65 ปีกลุ่มชาญอิสสระ
สงกรานต์ อิสสระ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ
บมจ.ชาญอิสสระ ดีเวล็อปเมนท์ จึงได้ฤกษ์จัดทำหนังสือชีวประวัติของตนในชื่อ
“คิดนอกกรอบ ทำในกรอบ” โดยมีภรรยาคู่ชีวิต
ศรีวรา อิสสระ เป็นผู้เขียนและเรียบเรียงให้
เล่ม preview ของหนังสือชีวประวัติที่แจกแก่สื่อมวลชน รวมถึงปรัชญาการทำงานและใช้ชีวิตที่สงกรานต์แถลงเพิ่มเติม เป็นการสรุปอย่างย่นย่อยิ่งจากนักธุรกิจใหญ่ในแวดวงอสังหาริมทรัพย์ที่ทำงานมาร่วม 40 ปี
สงกรานต์เป็นชาวอำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา มีคุณพ่อคุณแม่คือ
ชาญ-มาลี อิสสระ ซึ่งทำธุรกิจนำเข้า-ส่งออกสินค้าระหว่างไทยกับปีนัง รวมถึงค้าน้ำมันในภาคใต้ ทำให้เขาชื่นชอบการค้าขายมาแต่เด็ก หลังจบม.ศ.3 สงกรานต์เข้าเรียนเกรด 10 ต่อที่โรงเรียนมัธยมปลายใน California สหรัฐอเมริกา
ในช่วงวัยนี้เองที่สงกรานต์ได้พบเห็นโลกกว้าง จากการแวะพักเครื่องที่เกาะฮ่องกงและเรียนภาษาก่อนเข้าไฮสกูลที่ San Francisco จึงได้เห็นความงามของเมืองใหญ่ และเกิดความฝันที่จะเป็นนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ให้กับประเทศไทย
หลังจากนั้นเขาเลือกเรียนปริญญาตรีและโทในสหรัฐอเมริกา จบปริญญาด้านเศรษฐศาสตร์ การเงินและการบัญชี เมื่อกลับประเทศไทย จึงทำงานด้านผู้ตรวจสอบบัญชีและที่ปรึกษาในบริษัท เอส จี วี ณ ถลาง ก่อนจะผ่านด่านรับสมัครงานเข้าทำงานที่ธนาคารซิตี้แบงก์ (สำนักงานตัวแทนในขณะนั้น) เป็นผลสำเร็จ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญในการบ่มเพาะความรู้และประสบการณ์
แม้จะไปได้สวยในการทำงานเป็นแบงเกอร์ แต่เขายังรักษาความฝันที่จะเป็นนักพัฒนาจัดสรรไว้ หลังจากทำงานได้ 2 ปี สงกรานต์ลาออกกลับมาช่วยกิจการของครอบครัว ที่ขณะนั้น
ชาญ อิสสระ ได้ขยายการลงทุนสู่กรุงเทพฯ ทำการค้ายางมะตอย สร้างถนน และเดินรถเมล์เหลืองฝั่งธนบุรี
ไม่นานจากนั้น สงกรานต์เตรียมที่ดินจะขึ้นโครงการอสังหาฯแห่งแรก เป็นสำนักงานให้เช่าบนถนนเพชรบุรีตัดใหม่ แต่มีเหตุให้ชะงักไปก่อน ต่อมาจึงได้โอกาสซื้อที่ดินจาก ปัญญา ควรตระกูล นักพัฒนาจัดสรรยุคแรก เพื่อรวมแปลงกับตึกแถวของครอบครัวที่อยู่ด้านหน้าติดถนนพระราม 4
บริษัท ซี.ไอ.พร๊อพเพอร์ตี้ จำกัด กัดฟันก่อสร้างโครงการแรกบนที่ดินดังกล่าว คืออาคาร
ชาญอิสสระ ทาวเวอร์ 1 สำเร็จ เป็นตึกมิกซ์ยูส สำนักงานให้เช่า-รีเทล-คอนโดมิเนียม สูง 27 ชั้น ถือเป็น 1 ใน 3 อาคารระฟ้าในสมัยนั้น ร่วมกับอาคารสำนักงานใหญ่ธนาคารกรุงเทพ ถนนสีลม และโรงแรมดุสิตธานี
จากอาคารแห่งแรกที่เป็นแลนด์มาร์กเมืองกรุง ซี.ไอ.ฯ ขยายการลงทุนบ้านพักตากอากาศที่จังหวัดเพชรบุรี ในนามจินดารักษ์วิลล่า และขยายโครงการจัดสรรจำนวนมากอย่างในปัจจุบัน อาทิ ทิวทะเลเอสเตท ชะอำ-หัวหิน, บ้านสีตวัน ปากช่อง, ดิ อิสสระ เชียงใหม่, ดิ อิสสระ ลาดพร้าว หรือฝั่งโรงแรมมี ศรีพันวา จังหวัดภูเก็ต และบาบา บีช คลับ จังหวัดภูเก็ต พังงา และหัวหิน และบางโครงการเป็นการร่วมทุนกับพันธมิตรหลากหลายสัญชาติ ทั้งไทย ญี่ปุ่น และจีน
“เรามีพาร์ตเนอร์มาตั้งแต่สมัยคุณพ่อ เช่น ฤทธา มารูเบนี่ สหพัฒนพิบูล ล่าสุดมีจุนฟาและเทียนหยวนจากจีน” สงกรานต์กล่าว “การมีพาร์ตเนอร์สำคัญต่อบริษัทมาก และต้องพัฒนารูปแบบการร่วมทุน ทำอย่างไรให้ยั่งยืน ร่วมทั้งสุขและทุกข์กัน เราพบว่ารูปแบบที่ดีคือต้องมีกัปตันเป็นผู้นำในการลงทุนนั้น”
ถึงวันนี้ คาดว่าชาญอิสสระพัฒนาอสังหาฯไปแล้วกว่า 50 โครงการ มูลค่ารวมกันนับ 5 หมื่นล้านบาท โดยในยุคหลัง 10 กว่าปีที่ผ่านมาได้
วรสิทธิ อิสสระ และ
ดิฐวัฒน์ อิสสระ ทายาทรุ่นที่ 3 เข้ามาช่วยบริหาร
“การทำงานไม่ใช่ประสบความสำเร็จตลอด บางช่วงที่ย่ำแย่ก็มี ช่วงวิกฤตเคยมีเงินเหลือจ่ายพนักงานทั้งบริษัทได้แค่ 5 เดือนเท่านั้น ผมต้องยอมตัดเงินเดือนตนเองรอบแรก 35% รอบต่อมา 50% และพนักงานทุกคนก็ยอมร่วมทุกข์กับเราเพื่อให้บริษัทยืนระยะได้นานที่สุด เพราะปรัชญาสำคัญขององค์กรเราคือความสามัคคี และให้บุคลากรเติบโตในองค์กร” สงกรานต์กล่าว
ฝั่ง
วรสิทธิ อิสสระ กรรมการผู้จัดการ
บริษัท ชาญอิสสระ เรสซิเดนซ์ จำกัด ลูกชายคนโต เข้ามาทำงานในชาญอิสสระช่วงที่สงกรานต์กำลังเริ่มพัฒนาโครงการจัดสรรที่แหลมพันวา จังหวัดภูเก็ต วรสิทธิเสนอแนวคิดว่าพื้นที่นี้ควรจะพัฒนาเป็นโรงแรมร่วมด้วย
“ตอนนั้นไปเรียนการโรงแรม เวลาว่างชอบไปดูโรงแรมในต่างประเทศ พอกลับมาที่ไทยพบว่าเมืองไทยก็เด่นเรื่องการโรงแรมและบริการ มีโรงแรมที่ราคาเกิน 1,000 เหรียญสหรัฐฯต่อคืน แต่จะเป็นรูปแบบเดียวกันคือเสนอความเป็นไทย จึงคิดว่าโรงแรมที่สนุกตื่นเต้นยังขาดอยู่ ซึ่งเราทำที่แหลมพันวาได้ ทำให้เป็นเมืองๆ หนึ่งเลย” วรสิทธิกล่าวถึงที่มาของการก่อตั้งโรงแรมศรีพันวา
นอกจากนี้วรสิทธิยังรับหน้าที่ช่วยบริหารการขายที่พักอาศัย เป็นอีกครั้งที่มีเลือดใหม่เข้ามาในองค์กร ซึ่งสงกรานต์กล่าวว่า “ต้องยอมรับว่ารูปแบบการขายของคนรุ่นใหม่ช่วยให้บริษัทประสบความสำเร็จได้”
ปัจจุบันโรงแรมในเครือชาญอิสสระ กำลังต่อยอดส่งแบรนด์ให้พันธมิตรชาวจีนลงทุนในประเทศจีน และชาญอิสสระเป็นผู้บริหารโครงการตั้งแต่เริ่มออกแบบถึงการบริหารโรงแรม และบริษัทยังมองหาลู่ทางลงทุนซื้อกิจการในยุโรปอีกด้วย
ส่วน
ดิฐวัฒน์ อิสสระ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานพัฒนาธุรกิจ
บมจ.ชาญอิสสระ ดีเวล็อปเมนท์ ลูกชายคนรอง กลับมาทำงานในส่วนสำนักงานใหญ่ที่กรุงเทพฯ และรับหน้าที่พัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยเพื่อขายในยุคใหม่ๆ เช่น บ้านชานทะเล, อิสสระ เรสซิเดนซ์ พระราม 9, บ้านอิสสระ บางนา
“บริษัทพัฒนาจากเคยมีโครงการระหว่างขาย 4 โครงการต่อปี จนปัจจุบันมี 11-12 โครงการต่อปี แปลว่าเราต้องพัฒนาระบบให้ดีขึ้น เพราะผู้บริหารหนึ่งคนจะดูแลทุกไซต์งานได้ไม่ทั่วถึงอีกต่อไป” ดิฐวัฒน์กล่าวถึงแผนงานในอนาคตที่จะพัฒนาองค์กรให้ดียิ่งขึ้น
คุณพ่อ-สงกรานต์จึงฝากความหวังไว้ให้เจนเนอเรชั่นที่ 3 ได้สานต่อ โดยมองว่านี่คือห้วงเวลาที่ชาญอิสสระแข็งแกร่งที่สุดทั้งด้านการเงินและบุคลากร มั่นใจว่าจะสามารถส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่นได้อย่างภาคภูมิ