อานิสงส์เทรนด์เคลื่อนย้ายลงทุน! WHA ลุ้นปี 67 ทำแฮตทริกนิวไฮ มอง 5 ปีรายได้แตะแสนล้าน - Forbes Thailand

อานิสงส์เทรนด์เคลื่อนย้ายลงทุน! WHA ลุ้นปี 67 ทำแฮตทริกนิวไฮ มอง 5 ปีรายได้แตะแสนล้าน

เทรนด์เคลื่อนย้ายลงทุน จากความขัดแย้งภูมิรัฐศาสตร์ หนุน WHA ทำรายได้นิวไฮ ลุ้นปี 2567 ทำแฮตทริกอีกครั้ง เตรียมงบเฉียด 80,000 ล้านบาทใน 5 ปี ขยายการลงทุนทั้งไทยและเวียดนาม สร้างความแข็งแกร่ง 4 ธุรกิจหลัก ตั้งเป้าก้าวสู่ Tech Company มุ่งเศรษฐกิจหมุนเวียน คาดรายได้แตะแสนล้านบาทในปี 2570 ลั่นพร้อมลุยแลนด์บริดจ์ ส่งผลดีต่อเศรษฐกิจของไทย


    จรีพร จารุกรสกุล ประธานคณะกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดับบลิวเอเช คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ WHA เปิดแผนธุรกิจในปี 2567 เชื่อมั่นว่าจะมีรายได้สูงสุดเป็นประวัติการณ์ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 หลังจากปี 2565 และ 2566 ทุบสถิติรายได้นิวไฮต่อเนื่อง

    โดยปี 2566 มีรายได้ 17,200 ล้านบาท เติบโต 11% จากปี 2565 ที่มีรายได้ 15,000 ล้านบาท โดยปัจจัยที่สนับสนุนการเติบโตของ WHA มาจากเทรนด์การเคลื่อนย้ายฐานลงทุนครั้งใหญ่ของโลกที่ยังต่อเนื่องในปีนี้ พร้อมเตรียมจัดสรรงบลงทุนภายใน 5 ปี (ปี 2567 – 2571) ที่ 78,700 ล้านบาท เพื่อผลักดันรายได้รวม 5 ปีข้างหน้าสู่ระดับ 1 แสนล้านบาท


    “เพียงแค่ช่วงครึ่งแรกของเดือนมกราคม มีความต้องการพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมจากนักลงทุนมากกว่าที่คิด บางรายมีความต้องการพื้นที่พันไร่ บางราย 500-600 ไร่ ซึ่งมาจากเทรนด์การเคลื่อนย้ายฐานผลิตของโลก จากความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ ความกังวลของนักลงทุนจีนที่ว่าโดนัลด์ ทรัมป์จะกลับมา และผลการเลือกตั้งในไต้หวันที่ทำให้เกิดความไม่เชื่อมั่นของนักลงทุน มองหาฐานการผลิตใหม่ ซึ่งไทยมีความโดดเด่นในการเป็นศูนย์กลางของภูมิภาคและเป็นเซฟโซนของนักลงทุน เช่นเดียวกับเวียดนาม มีแนวโน้มเติบโตเช่นเดียวกัน ทำให้ธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมยังเติบโตได้ต่อเนื่อง ลุ้นทำแฮตทริกนิวไฮอีกครั้งในปีนี้” จรีพรกล่าว

    จากเทรนด์การเคลื่อนย้ายฐานผลิตของโลก WHA ผู้ดำเนินธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมจึงเติบโตต่อเนื่อง ปี 2566 มียอดขายที่ดินสูงสุดเป็นประวัติการณ์ 2,767 ไร่ แบ่งเป็นไทย 1,986 ไร่ เวียดนาม 781 ไร่ ไฮไลต์สำคัญคือการลงนามในสัญญาซื้อขายที่ดินกับฉางอาน ออโต้ เซ้าท์อีส เอเชีย หนึ่งในกลุ่มยานยนต์ชั้นนำ 4 กลุ่มของจีน จำนวน 250 ไร่ ในนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ อีสเทิร์นซีบอร์ด 4 และการลงนามในสัญญาเช่าที่ดินในเวียดนามกับฟู่ วิง อินเตอร์คอนเนค เทคโนโลยี (เหงะอาน) ในเครือฟ็อกซ์คอนน์ อินเตอร์คอนเนค เทคโนโลยี ผู้ผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์รายใหญ่ที่สุดของโลก จำนวน 300 ไร่


ก้าวสู่ Tech Company เสริมแกร่ง 4 กลุ่มธุรกิจ

    จรีพร กล่าวว่า ในปี 2567 นี้ ยังคงเดินหน้าพัฒนาโซลูชันทางธุรกิจและอุตสาหกรรมเพื่อเสริมขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ดึงดูดการลงทุนใหม่ๆ และร่วมสร้างอนาคตที่ยั่งยืนให้ประเทศไทย โดยมีภารกิจสำคัญคือการบรรลุเป้าหมายที่จะเป็น Technology Company อย่างเต็มตัว ด้วยกลยุทธ์ AI Transformation มุ่งสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่พร้อมรับการเปลี่ยนแปลงด้านดิจิทัล ยกระดับการดำเนินงานด้วยข้อมูลและปัญญาประดิษฐ์ เพื่อคงความเป็นผู้นำในสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และต่อยอดโครงการ Digital Transformation ที่มีอยู่กว่า 38 โครงการ

    สำหรับ 4 กลยุทธ์สำคัญของดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป ในปี 2567 ประกอบด้วย Extend Leadership เร่งขยายธุรกิจต่อเนื่องทั้งในประเทศและตลาดภูมิภาค Embrace Innovation and Technology นำเทคโนโลยีดิจิทัลมาสร้างสรรค์ธุรกิจใหม่ๆ ที่เป็น New S-curve ให้กับองค์กร Enhance the Prominence on Green and Sustainability เพื่อบรรลุเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้เป็นศูนย์ในปี 2593 (Net-Zero 2050) และ Build High-Performance Organization ด้วยการพัฒนายกระดับด้านเทคโนโลยีดิจิทัลให้เป็นองค์กรสมรรถนะสูง โดยมีแผนขยายธุรกิจทั้ง 4 กลุ่ม ดังนี้

    ธุรกิจโลจิสติกส์ ในปี 2566 มีการลงนามสัญญาเช่าโครงการ Built-to-Suit และโรงงาน/คลังสินค้าเพิ่มเติมรวมทั้งสิ้น 242,000 ตร.ม. สูงสุดเป็นประวัติการณ์ ส่งผลให้มีพื้นที่คลังสินค้าภายใต้การถือครองและบริหารทั้งหมด 2,945,000 ตร.ม. สำหรับปี 2567 นี้ บริษัทฯ วางเป้าหมายส่งมอบโครงการและสัญญาใหม่เพิ่มขึ้น 200,000 ตร.ม. แบ่งเป็นประเทศไทย 165,000 ตร.ม. และเวียดนาม 35,000 ตร.ม. และคาดว่าสินทรัพย์รวมภายใต้กรรมสิทธิ์และการบริหารจะเพิ่มถึงระดับ 3,145,000 ตร.ม.


    นอกจากนี้ ยังมีแผนการขายสิทธิการเช่าทรัพย์สินให้กับกองทรัสต์ WHART และ WHAIR รวมทั้งสิ้นประมาณ 213,000 ตร.ม. คิดเป็นมูลค่าประมาณ 5,290 ล้านบาท

    กลยุทธ์ในการเติบโตของธุรกิจโลจิสติกส์ยังคงมุ่งเน้นการเดินหน้าขยายธุรกิจในการพัฒนาโครงการ Built-to-Suit และโรงงาน/คลังสินค้าทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ เน้นสร้างพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ การเสริมศักยภาพด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยี และการส่งเสริมแนวปฏิบัติเพื่อความยั่งยืน โดยมีโครงการ Green Logistics ที่พัฒนาขึ้นเพื่อสนับสนุนและเร่งการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าในภาคขนส่งของประเทศ ซึ่งกลุ่มบริษัทฯ จะมีการให้บริการยานยนต์ไฟฟ้า สถานีชาร์จ และพัฒนาแอปพลิเคชั่นที่นำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการบริหารจัดการยานยนต์ไฟฟ้ารวมถึงแบตเตอรี่

    ทั้งนี้ ในปี 2566 มีลูกค้าเซ็นสัญญาเช่าซื้อยานยนต์ไฟฟ้า จำนวน 25 คัน และตั้งเป้าหมายที่จะเซ็นสัญญาเพิ่มอีก 1,000 คัน ในปี 2567 และขยายสถานีชาร์จ 100 แห่ง

    ธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม ในปี 2566 บริษัทฯ มียอดขายที่ดินรวมสูงสุดเป็นประวัติการณ์ 2,767 ไร่ แบ่งเป็นประเทศไทย 1,986 ไร่ และเวียดนาม 781 ไร่ ในปี 2567 บริษัทฯ มีโครงการพัฒนานิคมฯ ใหม่และขยายนิคมฯ ในประเทศไทยรวม 7 โครงการ บนพื้นที่รวมเกือบ 10,000 ไร่ ในช่วง 4 ปีข้างหน้า ซึ่งจะส่งผลให้มีพื้นที่นิคมฯ รวมกว่า 52,000 ไร่ ในปี 2570

    สำหรับเป้าหมายในปี 2567 บริษัทฯ ตั้งเป้ายอดขายที่ดินทั้งในประเทศไทยและเวียดนามรวม 2,275 ไร่ ในประเทศเวียดนาม นอกจากเขตอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล โซน 1 – เหงะอาน ซึ่งเฟส 1 มีผู้เช่าไปแล้วกว่า 77% และอยู่ระหว่างการพัฒนาเฟส 2 บริษัทฯ ยังมีแผนการที่จะขยายเขตอุตสาหกรรมอีก 3 โครงการ บนที่ดินรวมกว่า 22,813 ไร่


    ธุรกิจสาธารณูปโภค (น้ำ) มีการเติบโตขึ้นจากปีที่ผ่านมา โดยมีปริมาณยอดขายน้ำและบำบัดน้ำเสียในประเทศไทยรวม 121 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นการเติบโต 4% ปริมาณยอดขายน้ำดิบ 32 ล้านลูกบาศก์เมตร และปริมาณจำหน่ายผลิตภัณฑ์น้ำมูลค่าเพิ่ม 6 ล้านลูกบาศก์เมตร ขณะที่ปริมาณยอดขายและบริหารน้ำในเวียดนามอยู่ที่ 34 ล้านลูกบาศก์เมตร เติบโตขึ้นจากปีที่ผ่านมาถึง 18%

    ปี 2567 ตั้งเป้ายอดการจำหน่ายและบริหารจัดการน้ำรวมที่ 178 ล้านลูกบาศก์เมตร แบ่งเป็น ภายในประเทศ 142 ล้านลูกบาศก์เมตร และในเวียดนาม 36 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นอัตราการเติบโตกว่า 14% จากการขยายการให้บริการน้ำทุกประเภทในโครงการนิคมใหม่ๆ ของ WHA และนอกนิคมของ WHA รวมถึงความต้องการน้ำของลูกค้าในเวียดนามที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง

    ทั้งนี้ บริษัทฯ ยังคงมุ่งเน้นธุรกิจผลิตภัณฑ์น้ำมูลค่าเพิ่ม โดยมีเป้าหมายอยู่ที่ 10 ล้านลูกบาศก์เมตร รวมถึงเดินหน้าพัฒนา Smart Water Platform และมองหาโอกาสขยายธุรกิจใหม่ๆ อาทิ โซลูชันสิ่งแวดล้อม และสาธารณูปโภคสำหรับอุตสาหกรรมอื่นๆ

    ธุรกิจไฟฟ้า ยังคงเดินหน้าขยายการลงทุนในการพัฒนาโซลูชันด้านพลังงาน โดยเฉพาะพลังงานหมุนเวียน โดยในปี 2566 ที่ผ่านมาบริษัทฯ มีการเซ็นสัญญาโครงการโซลาร์รูฟท็อปเพิ่ม 42 สัญญา หรือเท่ากับ 50 เมกะวัตต์ นอกจากนี้ ยังได้รับการคัดเลือกจากคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ได้สิทธิ์เป็นผู้พัฒนาโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในรูปแบบ Feed-in Tariff (FiT) เฟส 1 จำนวน 5 โครงการ โดยมีกำลังผลิตไฟฟ้าตามสัดส่วนการถือหุ้น 125.4 เมกะวัตต์

    สำหรับปี 2567 บริษัทฯ จะเดินหน้าพัฒนานวัตกรรมและโซลูชันพลังงาน ได้แก่ สถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า แพลตฟอร์มการซื้อขายพลังงานไฟฟ้า (Peer-to-Peer Energy Trading) และการซื้อขายใบรับรองเครดิต การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน (I-REC) รวมทั้งศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุนในธุรกิจ New S-Curve เช่น ระบบกักเก็บพลังงานด้วยแบตเตอรี่ (Battery Energy Storage System: BESS) และเทคโนโลยีการดักจับ การใช้ประโยชน์ และการกักเก็บคาร์บอน (Carbon Capture, Utilization and Storage : CCUS) เป็นต้น พร้อมตั้งเป้าเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าสะสมที่ลงนามแล้วเป็น 1,000 เมกะวัตต์ ซึ่งจะมาจากพลังงานหมุนเวียน 453 เมกะวัตต์ โดยเป็นพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Energy) 283 เมกะวัตต์

    ธุรกิจดิจิทัล มุ่งยกระดับองค์กรในทุกมิติเพื่อบรรลุเป้าหมายในการก้าวสู่การเป็น Technology Company ในปี 2567 นี้ ภายใต้ภารกิจ “Mission To The Sun” ตั้งแต่โครงการทรานสฟอร์มธุรกิจสู่ดิจิทัลต่างๆ การสร้างผลิตภัณฑ์ และมูลค่าเพิ่มใหม่ๆ เพื่อตอบโจทย์ลูกค้า เสริมศักยภาพของระบบนิเวศทางธุรกิจของดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป ให้ครบวงจรยิ่งขึ้น

    นอกจากนี้ ยังมุ่งเน้นการพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัลสำหรับโครงการ Green Logistics โดยอยู่ระหว่างการพัฒนาแอปพลิเคชันที่รวมบริการต่าง ๆ (Super Driver App) สำหรับลูกค้ายานยนต์ไฟฟ้าภาคธุรกิจ เช่น การบริหารยานพาหนะ (Fleet Management) การวางแผนเส้นทาง (Route Optimization) และการเชื่อมโยงโครงข่ายสถานีอัดประจุยานยนต์ไฟฟ้า (EV Roaming) เป็นต้น

    นอกจากนี้ บริษัทตั้งเป้าที่จะดำเนินธุรกิจตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียนอย่างสมบูรณ์ภายในปี 2593 (100% Circularity by 2050) ผ่านการดำเนินงานภายใต้ 3 หลักการ ได้แก่ Design & Resource, Green Products และ Operation Excellence โดยในปี 2566 กลุ่มธุรกิจทั้ง 4 ได้มีการนำเสนอโครงการ Circular Economy ไม่น้อยกว่า 40 โครงการ และมี 18 โครงการที่พัฒนาเป็นธุรกิจใหม่ในปีนี้


ลั่นพร้อมลุยแลนด์บริดจ์

    จรีพร กล่าวว่า สำหรับโครงการแลนด์บริดจ์ WHA พร้อมสนับสนุนและไปลงทุนอย่างแน่นอน หากมีการพัฒนาโครงการขึ้นจริง ซึ่งอยากให้สังคมมองในภาพใหญ่กับประโยชน์ที่ประเทศจะได้รับไม่ใช่แค่การมีท่าเรือ 2 ฝั่งอันดามัน แต่หมายถึงการเติบโตและทำให้เกิดการลงทุนของอุตสาหกรรมต่างๆ ในพื้นที่ เช่นเดียวกับโครงการพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ อีอีซี นอกจากนี้หากสามารถเชื่อมโยงกับโครงการข้อริเริ่มสายแถบและเส้นทาง (Belt and Road Initiative: BRI) ของจีนจะยิ่งเกิดประโยชน์มากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการส่งออกของไทย

    “อยากให้มองโครงการแลนด์บริดจ์ในภาพใหญ่ ไม่ใช่แค่การสร้างท่าเรือ 2 ฝั่งทะเล แต่เป็นการพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจใหม่เช่นเดียวกับอีอีซีที่ก่อให้เกิดการลงทุนมหาศาล WHA พร้อมซัพพอร์ตโครงการแลนด์บริดจ์เต็ม 100 เพราะส่งผลดีต่อประเทศชาติ เราพร้อมไปลงทุนอย่างแน่นอน”

    สำหรับภาพรวมการเติบโตของไทยในปี 2567 จรีพร มองว่า จีดีพีไทยจะขยายตัว 3-3.5% โดยเฉพาะในช่วงครึ่งหลังของปี การท่องเที่ยว และการส่งออกจะกลับมาฟื้นตัวได้ดี ขณะที่การลงทุนจากต่างประเทศจะเข้ามาเสริมให้เกิดการจ้างงาน สร้างรายได้ให้กับประเทศมากขึ้น และสนับสนุนการเติบโตของ WHA ในอีก 5 ปีข้างหน้า



เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : เปิด 4 ธุรกิจอาณาจักร WHA เจ้าของนิคมฯ ที่วงการ “รถยนต์” เข้าไปสร้างโรงงาน

ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine