ต้นปี 2558 ขณะที่ภาวะการณ์ด้านเศรษฐกิจไทยในหลายภาคส่วนที่ชะงักงันทั้งการส่งออกที่หดตัว การบริโภคในประเทศตกต่ำลง หนี้ครัวเรือนอยู่ในระดับสูงถึงกว่า 80-90% ของจีดีพี แตกต่างจากวงการอสังหาริมทรัพย์ไทย ที่สร้างปรากฎการณ์และสถิติใหม่ อาทิ การผุดของโครงการคอนโดมิเนียมระดับ Super Luxury บนพื้นที่ใจกลางเมืองหลวง กับราคากว่า 2 แสนบาท ต่อ ตร.ม.ขึ้นไป และกระแสข่าวความสนใจการสร้างอาคารสูง 100 กว่าชั้นจากหลายกลุ่มทุนอสังหาฯ
โครงการคอนโดมิเนียมหรู ระดับ Super Luxury
ปรากฎการณ์เขย่าวงการอสังหาริมทรัพย์ กับการยอดการจองโครงการคอนโดมิเนียมระดับ Super Luxury “นิมิต หลังสวน” ที่เฉลี่ยราคา 3 แสนบาท/ตร.ม. เพียง 2 วันแรกมียอดจองสูงถึง 70% จากงาน ‘ไพรเวท วีวีไอพี พรี-เซลส์’ (Private VVIP Pre-Sales) เป็นยอดขายจากชาวไทยประมาณ 90% และต่างชาติ 10% เป็นชาวแคนาดาและฮ่องกง สร้างความคึกคักให้กับอุตสาหกรรมอสังหาฯ ตั้งแต่ต้นปี 2558 โดย “นิมิต หลังสวน” มีมูลค่าโครงการ 7,500 ล้านบาท จำนวน 187 ยูนิต สูง 53 ชั้น มี ราคาขายเริ่มต้น 25 ล้านบาท
"เศรษฐี ไทยมองเห็นโอกาสการอยู่อาศัยและการซื้อเพื่อลงทุน จึงทำให้ซุปเปอร์ลักซ์ชัวรี่ คอนโดมิเนียมมียอดขายเร็วมาก โดยเห็นผลหลักที่ทำให้ขายดีนั้นมาจากชื่อเสียงของผู้ประกอบการ และราคาขายหากเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างสิงคโปร์ฮ่องกงนั้นยังมีราคาต่ำ กว่าหลายเท่าตัว" สรพจน์ เตชะไกรศรี CEO บมจ. เพซ ดีเวลลอปเมนท์ คอร์ปอเรชั่น แห่ง "นิมิต หลังสวน" กล่าว
ในเวลานี้เราจะเห็นการลงทุนจากหลายค่ายยักษ์ใหญ่อสังหาฯ ในเมืองไทย เตรียมการก่อสร้างคอนโดนิเนียม ระดับ Super Luxury อาทิ บมจ. เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น ที่ เปิดจองคอนโดนิเนียม “SALADAENG ONE” โดยมีมูลค่าโครงการ 3,700 ล้านบาท จำนวน 185 ยูนิต สูง 33 ชั้น ราคาขาย 2.8 แสนบาท/ตร.ม. ราคาขายเริ่มต้น 13 ล้านบาท, บริษัท เคพีเอ็น กรุ๊ป คอร์ปอเรชั่น จำกัด เปิดตัว “The Diplomat 39” ใกล้ BTS พร้อมพงษ์ จำนวน 156 ยูนิต สูง 31 บนที่ดินเกือบ 2 ไร่ ต้นซอยสุขุมวิท 39
จากการแข่งขันในการเปิดตัวโครงการใหม่ในตลาดอสังหาริมทรัพย์ของคอนโดมิเนียมระดับ Super Luxury กับกลุ่มเป้าหมาย A++ ข้อได้เปรียบของทำเลที่ดีที่สุดในใจกลางกรุงเทพฯ จะสร้างความได้เปรียบได้สูงสุดและไม่ได้หาได้ง่ายๆ ในใจกลางกรุงเทพฯ และเป็นตลาดใหม่และเป็นที่สนใจกับ ต่อมหาเศรษฐีไทย และกลุ่มนักลงทุนต่างชาติอย่างสิงคโปร์ ฮ่องกง ที่กำลังมองหาโอกาสการลงทุนในโครงการที่พักอาศัยระดับ Super Luxury ในประเทศไทย
10 อันดับ โครงการอาคารชุดที่มีห้องชุดขาย
AREA ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย ได้เปิดเผยรายงานเมื่อปลายเดือน มีนาคม 2558 ถึงจัดอันดับโครงการอาคารชุดที่มีห้องชุดขายในราคาสูงสุดโดย 10 อันดับแรกต่อหน่วยมีดังต่อไปนี้
อันดับที่ 1 185 Rajadamri ถนนราชดำริ ราคาหน่วยละ 274 ล้านบาท หรือตารางเมตรละ 350,000 บาท
โดย บมจ. ไรมอน แลนด์
อันดับที่ 2 Magnolias Waterfront Residences Iconsiam ถนนเจริญนคร ราคาหน่วยละ 125 ล้านบาท
หรือตารางเมตรละ 361,272 บาท โดย บริษัท ดิ ไอคอนสยาม เรสซิเดนซ์คอร์ปอเรชั่น จำกัด
อันดับที่ 3 Marque Sukhumvit ถนนสุขุมวิท 39 ราคาหน่วยละ 120 ล้านบาท หรือตารางเมตรละ 300,000 บาท
โดย บริษัท เมเจอร์ เรสซิเด้นส์ จำกัด
อันดับที่ 4 My Resort@River ถนนจรัญสนิทวงศ์ 72 ราคาหน่วยละ 119 ล้านบาท หรือตารางเมตรละ 151,786 บาท โดย บริษัท อิควิตี เรสซิเดนเชียล เจ้าพระยา จำกัด
อันดับที่ 5 The Ritz-Carlton Residences, Bangkok ถนนนราธิวาสราชนครินทร์ ราคาหน่วยละ 81 ล้านบาท
หรือตารางเมตรละ 285,000 บาท โดย บมจ. เพซ ดีเวลลอปเมนท์ คอร์ปอเรชั่น
อันดับที่ 6 Sindhorn Residence ถนนเพลินจิต ราคาหน่วยละ 72 ล้านบาท หรือตารางเมตรละ 210,000 บาท
โดย บริษัท สยามสินธร จำกัด
อันดับที่ 7 Menam Residences ถนนเจริญกรุง ราคาหน่วยละ 42 ล้านบาท หรือตารางเมตรละ 160,000 บาท
โดย บริษัท แม่น้ำ เรสซิเดนท์ จำกัด
อันดับที่ 8 M Silom ถนนนราธิวาสราชนครินทร์ 2 ราคาหน่วยละ 39 ล้านบาท หรือตารางเมตรละ 234,940
โดย บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด
อันดับที่ 9 The River (South Tower) ราคาหน่วยละ 37 ล้านบาท หรือตารางเมตรละ 177,295 บาท ถนนเจริญนคร 13 โดย บมจ. ไรมอน แลนด์
อันดับที่ 10 THE PANO panoramic river view ราคาหน่วยละ 35 ล้านบาท หรือตารางเมตรละ 145,833 บาท โดย
บริษัท ริเวอร์ไซด์ โฮมส์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด
ปรากฎการณ์อาคารสูงเสียดฟ้า
ภายหลังจาก บมจ. แกรนด์ คาแนล แลนด์ หรือ “G LAND” ได้ประกาศแผนลงทุนสร้างอาคารสูงพิเศษ “เดอะ ซุปเปอร์ ทาวเวอร์” ย่านรัชดา คิดเป็นมูลค่าโครงการ 2.2 หมื่นล้านบาท จำนวน 125 ชั้น มีความสูง 615 เมตร ซึ่งหากก่อสร้างเสร็จจะเป็นอาคารที่สูงสุดในภูมิภาคอาเซียน แซงหน้าตึกแฝดเปโตรนาส ประเทศมาเลเซีย ที่สูง 452 เมตร
ทั้ง นี้ยังมีกระแสข่าวถึงกลุ่มทุนรายใหญ่ อีก 3-4 ราย ที่เตรียมพัฒนาโครงการอาคารสูงกว่า 100 ชั้น รวมไปถึงกลุ่มสยามพิวรรธน์ ที่สนใจการสร้างอาคารสูงพิเศษ 100 กว่าชั้น เพราะจะเป็นการสร้างแลนด์มาร์คใหม่ของเมืองเลยทีเดียว
“คน ในแวดวงออกแบบกล่าวถึง 1 ใน 4 โครงการ ว่าอาจจะเป็นอาคารที่มีความสูง 777 เมตร ซึ่งหากเป็นจริงจะเป็นอาคารที่ทุบสถิติทั้งในประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียน” ประภากร วทานยกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท สถาปนิก 49 กล่าว
ทั้ง นี้การสร้างอาคารสูงเกิน 100 ชั้น ถือเป็นเรื่องใหม่ที่ต้องอาศัยความรู้และความเทคโนโลยีจากต่างประเทศเป็น หลัก และด้วยทำเลที่มีศักยภาพทางเศรษฐกิจในใจกลางเมืองกรุงเทพฯ ทั้งการเดินทาง ข้อกฎหมาย และสภาพแวดล้อม กลุ่มทุนที่มีทำเลที่ดีจึงจะสร้างมูลค่ามหาศาลและเป็นแลนด์มาร์คแห่งใหม่