ช่วงนี้มีข่าวคราวแบรนด์ธุรกิจในแวดวงอาหารหลายรายเตรียมตัวเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ฯ ประกาศวางเป้าเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้กับประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) และหนึ่งในนั้นก็คือ ‘เจ้าสัว’ แบรนด์ที่หลายคนคุ้นชื่อจากโปรดักต์แสนอร่อยอย่าง ‘ข้าวตัง’ รวมถึง ‘หมูแผ่น’ เป็นต้น
แล้วเส้นทางของเจ้าสัวเป็นไปเป็นมาอย่างไร Forbes Thailand ชวนอ่านกันในบทความนี้
จุดเริ่มต้นของแบรนด์เจ้าสัวมาจากผู้ก่อตั้ง เพิ่ม โมรินทร์ (แซ่เตีย) ที่เดิมเปิดร้านขายของชำในย่านคลองเตย ก่อนจะย้ายถิ่นฐานไปอยู่จังหวัดนครราชสีมา ที่ซึ่งเขายึดอาชีพขายอาหารแปรรูปจากเนื้อหมู เช่น กุนเชียง หมูแผ่น หมูหยอง เพราะเล็งเห็นโอกาสจากความนิยมเลี้ยงหมูจำนวนมากและมีราคาสูงบนพื้นที่ทำเลทองที่เปรียบเสมือนประตูเชื่อมต่อระหว่างกรุงเทพฯ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
นำมาสู่การก่อตั้งธุรกิจในปี 2501 ในชื่อกิจการว่า เตียหงี่เฮียง (เจ้าสัว)
ด้วยรสชาติอร่อยถูกปากจนเป็นที่ร่ำลือ สินค้าของเตียหงี่เฮียงจึงกลายเป็น ‘ของฝาก’ ที่ใครแวะเวียนผ่านมาโคราชก็เป็นต้องซื้อไปฝากคนอื่น หรือมีคนขอฝากซื้อ ทำให้เจ้าสัวเดินหน้าธุรกิจด้วยกลยุทธ์การเป็นของฝากประจำจังหวัด กระจายสินค้าขายตามแหล่งท่องเที่ยวในโคราช เช่น อนุสาวรีย์ท่านท้าวสุรนารี (ย่าโม) ในปี 2516
และได้มีการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า “สามดาว ขวานคู่” ภายใต้สโลแกน “เตียหงี่เฮียง สุดยอดของฝากจากโคราช รับประทานเองก็ถูกปาก เป็นของฝากก็ถูกใจ” ในปี 2520
จนกระทั่งถึงจุดเปลี่ยนสำคัญในยุคทายาทรุ่น 2 นำโดย ธนภัทร โมรินทร์ ซึ่งสามารถแตกไลน์ผลิตภัณฑ์อาหารควบคู่กับกลยุทธ์ธุรกิจสร้างการเติบโตในตลาดของฝากสำหรับนักท่องเที่ยว ด้วยการพัฒนาผลิตภัณฑ์ข้าวตังหน้าหมูหยองแบรนด์เจ้าสัวในปี 2531 โดยเป็นใบเบิกทางสร้างชื่อ “เจ้าสัว” ให้ได้รับการยอมรับและจดจำได้ง่าย ทำให้บริษัททยอยเปลี่ยนชื่อแบรนด์สินค้าจาก “เตียหงี่เฮียง” มาเป็นแบรนด์ “เจ้าสัว” ทั้งหมด
รวมถึงสร้างศูนย์ขายของฝากที่ใหญ่ที่สุดในโคราช หรือเรียกว่า “ศูนย์เจ้าสัว” ด้วยเนื้อที่กว่า 25 ไร่ บริเวณริมถนนมิตรภาพ ก่อนจะเพิ่มจำนวนศูนย์ในกรุงเทพฯ และเปิดช็อปขายสินค้าตัวเองตามปั๊มน้ำมัน ปตท. ทั่วประเทศ แถมพาตัวเองเข้าไปวางขายในซูเปอร์มาร์เก็ตและร้านสะดวกซื้อ
จนปี 2563 เจ้าสัวมีสาขาทั้งหมดกว่า 15 สาขา และมีช็อปในปั๊ม ปตท. มากกว่า 90 แห่ง แถมยังเปิดขายผ่านช่องทางออนไลน์อีกด้วย
และที่สร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ คือการปรับ Brand Positioning ของตัวเองในปี 2564 ทรานส์ฟอร์มจากของฝาก เข้าสู่การเป็นแบรนด์ขนมขบเคี้ยว ภายใต้การนำทัพของรุ่น 3 อย่าง “ณภัทร โมรินทร์” ซึ่งเป็นบุตรสาวของธนภัทร
“พื้นฐานสำคัญที่ทุกคนต้องการไม่ว่าจะยุคสมัยไหนคือ การได้กินดีอยู่ดี และเพราะเราต้องการให้ทุกคนได้กินดีอยู่ดี สืบสานสิ่งที่ครอบครัวเชื่อมั่นมาโดยตลอด จึงได้ปรับกลยุทธ์จากการเป็นร้านของฝากจากโคราชที่เข้าถึงกลุ่มคนจำนวนไม่มากนักมาทำการตลาดระดับ mass พร้อมกระจายสินค้าเข้าสู่ซูเปอร์มาร์เก็ตและร้านสะดวกซื้อทั่วประเทศ เพื่อเข้าถึงกลุ่มคนในวงกว้างให้ได้
“กินดี-กินของดี ของอร่อย และได้อยู่ดี ที่ไม่ว่าแต่ละวันจะวุ่นวายแค่ไหน ไม่มีเวลาปรุงอาหารแค่ไหน ก็ยังสามารถหาซื้อได้ง่าย พวกหมูหยอง กุนเชียง ก็นำมาทำเป็นเมนูอาหารได้ง่ายๆ หรือของทานเล่นอย่างข้าวตัง หมูแผ่น หมูแท่ง ที่อร่อยและมีประโยชน์จากโปรตีน ที่สำคัญคือ อบกรอบ ไม่ทอด จึงดีต่อสุขภาพ” ณภัทร โมรินทร์ ให้สัมภาษณ์กับ Forbes Thailand ในฉบับเดือนกุมภาพันธ์ 2565
- อ่านบทสัมภาษณ์: ณภัทร โมรินทร์ เปลี่ยนเกมรุกชั้นวางขนม “เจ้าสัว”
และในปีนี้ เจ้าสัวได้กำลังก้าวเข้าสู่จังหวะสำคัญ คือการจดทะเบียนเป็น บมจ. เจ้าสัว ฟู้ดส์ อินดัสทรี หรือ CHAO และเตรียมเสนอขาย IPO จำนวนไม่เกิน 87.7 ล้านหุ้น เข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) โดยล่าสุดทางสำนักงาน ก.ล.ต. นับหนึ่ง Filing แล้ว
โดยเป้าหมายของการ IPO ครั้งนี้คือมีแผนนำเงินจากการระดมทุนส่วนหนึ่งใช้พัฒนาระบบอัตโนมัติและการปรับปรุงระบบควบคุมคุณภาพ ขยายกำลังการผลิต การก่อสร้างโรงงานโฮลซัมแห่งที่ 2 การลงทุนเพื่อการประหยัดพลังงานและรักษาสิ่งแวดล้อม และการปรับปรุงระบบความปลอดภัยและสภาพแวดล้อมในการทำงาน รวมทั้งใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนและการดำเนินการต่างๆ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อกิจการ และใช้ชำระคืนเงินกู้ยืมให้แก่สถาบันการเงิน
เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : แบรนด์ “เจ้าสัว” หรือ CHAO เตรียมเสนอขาย IPO ใน SET เผย ก.ล.ต. นับหนึ่ง Filing แล้ว
ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine