ย้อนไปเมื่อ 48 ปีก่อน คนไทยส่วนใหญ่แทบไม่รู้จักเมนูเบอร์เกอร์เลย เพราะยังไม่มีเบอร์เกอร์แบรนด์ต่างชาติเข้ามาทำตลาดในไทย ถ้าไม่ใช่โรงแรมแล้ว การจะหาเบอร์เกอร์กินซักชิ้น เป็นเรื่องไกลตัวมาก แต่หลังจากที่บริษัท สยามสเต๊ก จำกัด ได้เริ่มเปิดตลาดนี้เป็นรายแรก ความนิยมทานเบอร์เกอร์ในไทยก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และปัจจุบันมีร้านเบอร์เกอร์ทั้งเล็กใหญ่ทั้งไทยเทศ เปิดบริการอยู่ทั่วประเทศ และมีมูลค่าตลาดราว 10,000 ล้านบาทต่อปี
ปัจจุบันตลาดอาหารในไทยมีมูลค่ากว่า 4 แสนล้านบาทต่อปี มีการแข่งขันสูงมากเพราะมีรายใหม่ๆ เข้าสู่ธุรกิจนี้อย่างต่อเนื่อง แต่ธุรกิจเบอร์เกอร์ก็ยังเติบโตเบียดตลาดอาหารประเภทอื่นๆ ได้ทุกปี นอกจากจีนและอินโดนีเซียแล้ว ไทยเป็นอีกเป้าหมายสำคัญของแบรนด์ต่างๆ ที่จะตบเท้าเข้ามาขยายการลงทุน แม้ว่าตลาดนี้จะมีผู้ประกอบการรายใหญ่อย่าง แมคโดนัลด์ และ เบอร์เกอร์คิง ครองตลาดอย่างเหนียวแน่นก็ตาม
เบอร์เกอร์ “กอร์ดอน แรมซีย์” เปิดตัวปลายปีนี้
ธนพงษ์ จิราพาณิชกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ธนจิรา รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ผู้นำธุรกิจไลฟ์สไตล์และแฟชั่นลักชัวรี่ชั้นนำในภูมิภาค และทำการตลาดและจำหน่ายแพนดอร่า แบรนด์เครื่องประดับและจิวเวลรีระดับพรีเมียมสัญชาติเดนมาร์ก, แบรนด์แฟชั่นมารีเมกโกะ และหาญสปาแบรนด์ เปิดเผยว่า บริษัทเตรียมเปิดร้าน “Gordon Ramsay Street Burger” ของกอร์ดอน แรมซีย์ เซเลบริตรี้เชฟชื่อดังจากอังกฤษ ในเมืองไทยในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ โดยเล็งทำเลทองย่านศูนย์การค้าที่เป็นเป้าหมายของนักท่องเที่ยว อาทิ สยามพารากอน ไอคอนสยาม หรือเซ็นทรัลเวิลด์ เป็นต้น
ในเดือนธันวาคม กลุ่มธนจิราได้เปิดร้านอาหารกอร์ดอน แรมซีย์ เชฟดาวมิชลินผู้ทรงอิทธิพลในแวดวงอาหาร แล้วสองสาขาที่เดอะเอ็มสเฟียร์บนถนนสุขุมวิท โดยหนึ่งสาขาภายใต้ชื่อ Bread Street Kitchen & Bar และ Street Pizza กิจการทั้งสองแห่งประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก
ธนพงษ์กล่าวว่า “Gordon Ramsay Street Burger” เป็นเบอร์เกอร์พรีเมียม สนนราคาอยู่ที่ชิ้นละ 500 บาท จับกลุ่มนักท่องเที่ยวเป็นหลัก ปัจจุบันกอร์ดอน แรมซีย์ เบอร์เกอร์ ขยายตลาดไปยังประเทศเกาหลีใต้ อาหรับเอมิเรตส์ โดยนอกจากเบอร์เกอร์แล้ว กอร์ดอน แรมซีย์ ยังมีธุรกิจอาหารประเภทอื่นๆ ภายใต้แบรนด์ที่หลากหลาย ณ เดือนมกราคม เปิดกิจการกว่า 50 สาขา ในยุโรป อเมริกาเหนือ และเอเชีย
สองเบอร์เกอร์จากอเมริกาก็มาด้วย
นอกจากนี้แล้ว ตัวแทนของแบรนด์เบอร์เกอร์จากอเมริกาสองแบรนด์ ได้แก่ Jaggers และ Tony Roma’s Bones & Burgers กำลังเดินทางมาเมืองไทย เพื่อเจรจาหาแฟรนไชส์ขยายธุรกิจเบอร์เกอร์ที่นี่ในสัปดาห์หน้า
เศรษฐพงศ์ ผดุงพิสุทธิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท จีโนซิส จำกัด มืออาชีพด้านจับคู่ธุรกิจแฟรนไชส์ เล่าให้ฟังว่า Kent Taylor ผู้ก่อตั้ง Texas Roadhouse สเต็กเฮ้าส์ชื่อดัง จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์สหรัฐอเมริกา ได้ขยายไลน์ธุรกิจมาทำเบอร์เกอร์แบรนด์ Jaggers เบอร์เกอร์สไตล์อินเดียนา ปัจจุบันมีสาขา 18 แห่งในสหรัฐอเมริกา เช่น ในเมืองอินเดียนา กวม และนิวยอร์ก และตั้งเป้าขยายสาขาเพิ่มในต่างประเทศ อาทิ ประเทศไทย เวียดนาม และฟิลิปปินส์
ทั้งนี้ Jaggers ขายเบอร์เกอร์ไก่ไร้กระดูกชุบแป้งทอด และสลัดผักสดใหม่ เสิร์ฟอาหารคุณภาพด้วยบริการที่เป็นมิตร ในบรรยากาศสบายๆ เพิ่มความสะดวกในการสั่งซื้อทางออนไลน์หรือไดร์ฟทรูได้
จุดขายสำคัญของ Jaggers burger อยู่ที่รายการอาหารทุกเมนูถูกปรุงสดใหม่ทุกวัน และใช้วัตถุดิบสดจากธรรมชาติ ลูกค้าของ Jaggers burger จะกลับมาใช้บริการซ้ำๆ ที่ร้าน เพราะอาหารที่ร้านคุณภาพสูง อย่างที่ลูกค้าไม่ได้คาดหวังว่าจะได้จากร้านอาหารแบบไดรฟ์ทรู วันนี้กิจการของ Jaggers และฐานลูกค้าได้เติบโตขึ้นเรื่อยๆ ตลอดเวลา
สำหรับผู้สนใจจะเป็นแฟรนไชส์เปิดร้าน Jaggers ในไทย จะใช้เงินลงทุนเริ่มต้นที่ 1.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ต่อสัญญามาสเตอร์แฟรนไชส์
ขณะที่ร้าน Tony Roma’s Bones & Burgers ซึ่งเป็นพรีเมียมเบอร์เกอร์นั้นจะใช้เงินลงทุนเริ่มต้น 3 แสนเหรียญต่อร้าน ทั้งนี้ Tony Roma’s Bones & Burgers เป็นธุรกิจในกลุ่มเดียวกับ Tony Roma’s ซึ่งมีประสบการณ์ในธุรกิจอาหารกว่า 50 ปี ความพิเศษของเบอร์เกอร์ร้านนี้เป็นการผสมผสานชื่อเสียงด้านซี่โครงหมูบาร์บีคิวของ Tony Roma’s เข้ากับขนมปังเบอร์เกอร์ทำใหม่กับซอสสูตรลับเฉพาะ
ทำไม...เบอร์เกอร์ยังโตได้อีก?
ธนวรรธ ดำเนินทอง ผู้จัดการทั่วไป บริษัท เบอร์เกอร์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ทำตลาดเบอร์เกอร์คิงในประเทศไทย เปิดเผยว่า ตลาดเบอร์เกอร์มีการเติบโตต่อเนื่องทุกปี มีหลายปัจจัยที่ทำให้ตลาดไทยน่าสนใจสำหรับรายใหม่ที่จะเข้ามา ด้วยขนาดของจำนวนประชากร จำนวนนักท่องเที่ยว และคนไทยยังเปิดรับการบริโภคโปรตีนทุกประเภททั้งไก่และหมู
“ความท้าทายของตลาดเบอร์เกอร์ก็คือ ผู้ประกอบการต้องมี Localized Strategy และมีเมนูซิกเนอเจอร์เพื่อเข้าถึงลูกค้า หากยังไม่ได้เป็นแบรนด์ที่อยู่ในตลาดมานาน” ธนวรรธกล่าว และว่า เบอร์เกอร์มีวิวัฒนาการจาก 30 ปีก่อนที่ต้องเข้าไปกินเมนูนี้ในห้าง แต่ปัจจุบันสามารถซื้อเมนูนี้ทั้งออนไลน์และออฟไลน์ และกินได้ตลอด 24 ชั่วโมง
“อย่างไรก็ตาม ขณะที่มีข้อเสียด้านการแข่งขันในตลาด แต่ข้อดีที่ตามมาก็คือ การเข้ามาของแบรนด์เบอร์เกอร์ใหม่ๆ จะช่วยสร้างความตื่นเต้นและขยายให้ฐานผู้บริโภคเบอร์เกอร์กว้างขึ้น” ธนวรรธกล่าว
เขายังบอกอีกว่า ในปีนี้จะเห็นเมนูที่เป็น Local Innovation มากขึ้นจากเบอร์เกอร์คิง โดยล่าสุดเบอร์เกอร์คิงได้โปรโมตเมนูใหม่ “โฟร์ชีสเลิฟเวอร์” เมนูสำหรับคนรักชีส ปักหมุดความเป็นเจ้าแห่งชีสเบอร์เกอร์ ต่อยอดกระแส The real cheese burger ผ่านสื่อโฆษณาในพื้นที่ใจกลางเมือง โดยการเปรียบเทียบเมนูใหม่ที่มีผลิตภัณฑ์เด่นอย่าง ดับเบิ้ลโฟร์ชีสเบคอนเบอร์เกอร์ ที่ประกอบด้วย เนื้อย่างด้วยไฟที่ให้ถึงสองชั้น มาพร้อมพาร์เมซานบัน เชดด้าชีสซอส อเมริกันชีส และสวิสชีส นำมาเทียบกับชีสเบอร์เกอร์ของแบรนด์อื่น ตอกย้ำความเป็นเจ้าแห่งชีส โดยเบอร์เกอร์ใหม่นี้วางจำหน่ายจนถึงสิ้นเดือนเมษายนนี้ ที่เบอร์เกอร์คิงทั้ง 123 สาขาทั่วประเทศ
“เราต้องคิดกลยุทธ์การตลาดที่แหวกแนว ไม่เหมือนใคร ถ้าเราสร้างกระแสไวรัลบนโลกออนไลน์ได้ ชื่อเบอร์เกอร์คิงจะเป็นที่จดจำของผู้บริโภคได้” ธนวรรธกล่าว
นอกจากแบรนด์ดังๆ แล้ว สยามสเต็ก เบอร์เกอร์รายแรกในไทยก็เตรียมทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่นภายในบริษัทปีนี้ ไม่ว่าจะเป็นการนำดาต้าของลูกค้ามาวิเคราะห์ การใช้เครื่องมือใหม่ๆ ไปจนถึงการทำกิจกรรมผ่านโซเชียลที่จะมีความเข้มข้นมากขึ้น เพื่อให้ลูกค้าเกิดการซื้อซ้ำเพิ่มขึ้น
สุภัค หมื่นนิกร ผู้ก่อตั้งสถาบันธุรกิจแฟรนไชส์อาหาร และผู้บริหารสยามสเต็กแฮมเบอร์เกอร์รุ่นที่ 2 กล่าวว่า สยามสเต็กมีสาขาให้บริการในสถานศึกษา 50 สาขา และผ่านแฟรนไชส์ 20 สาขา ในปีนี้จะเปิดร้านสยามสเต็กในโรงเรียนและผ่านระบบแฟรนไชส์อีกอย่างละ 5 สาขา และเริ่มขยายเมนูสเต็ก พร้อมนำเมนูที่ขายดีในโรงเรียนเข้ามาขายในร้านแฟรนไชส์ด้วย เพื่อผลักดันยอดขายในโรงเรียนเติบโต 20% ส่วนการขายผ่านแฟรนไชส์จะเพิ่มการเติบโตจากสาขาเดิมให้ได้ 30% ในปีนี้
“การมีเมนูเบอร์เกอร์ขายในร้านสะดวกซื้ออย่างเซเว่นอีเลฟเว่น ซึ่งมีสาขากว่า 14,000 สาขากระจายอยู่ทั่วประเทศ มีส่วนช่วยให้คนทั่วประเทศทั้ง Gen X, Y และ Z เข้าถึงเมนูเบอร์เกอร์มากขึ้น ประกอบกับรสชาติที่เราได้พิสูจน์ในตลาดมาแล้วเกือบ 50 ปี จะทำให้เราไปต่อได้” สุภัคกล่าว
แมคฯ ควัก 500 ล้าน เดินหน้าสาขาใหม่
ทางด้านแมคโดนัลด์ผู้นำตลาด ยังคงเดินหน้าขยายการลงทุนในไทยทุกปี ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าตลาดเบอร์เกอร์ยังมีโอกาสที่จะเติบโตได้อีก
แหล่งข่าวจาก บริษัท แมคไทย จำกัด ผู้ดำเนินกิจการแมคโดนัลด์ในประเทศไทย กล่าวว่า ในปีนี้บริษัทจะใช้เงินไม่ต่ำกว่า 500 ล้านบาท สำหรับการลงทุนรีโนเวตสาขาเดิมและเปิดสาขาใหม่ในปีนี้อีกไม่ต่ำกว่า 10 แห่ง โดยเป็นคอนเซ็ปต์ล่าสุด คือ “McDonald’s geometry” ซึ่งได้เปิดตัวแล้วที่เดอะมอลล์บางกะปิตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา และคอนเซ็ปต์ใหม่อีก 2-3 คอนเซ็ปต์ที่เหมาะกับแต่ละพื้นที่ในปีนี้ด้วย
ภาพรวมสัดส่วนรายได้ของแมคไทยใน 10 เดือนแรกของปีที่ผ่านมา มาจากร้านอาหาร 60% เดลิเวอรี่ 30% และไดรฟ์ทรูอีก 10% ขณะที่ภาพรวมสัดส่วนรายได้ในช่วงเดียวกัน มาจากเบอร์เกอร์ 52.6% และไก่ทอด 18.4% และได้เพิ่มเป็นสัดส่วน 20% แล้วในปัจจุบัน โดยนอกจากเบอร์เกอร์แล้ว บริษัทได้รุกตลาดไก่ทอดตั้งแต่ต้นปีนี้ เพื่อดึงลูกค้ากลุ่ม Gen Z มาที่ร้านมากขึ้น
ด้าน พัชนีวรรณ ตันประวัติ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มการตลาดของบริษัท กล่าวว่า จากความสำเร็จของการเปิดตัวไก่ทอดแมคในปีผ่านมา ทำให้ยอดขายไก่ทอดแมคเติบโตมากกว่า 40% ปีนี้บริษัทจึงได้เปิดตัวพรีเซ็นเตอร์คู่สำหรับไก่ทอดแมคครั้งแรกในไทย ‘ต้าห์อู๋ x ออฟโรด’ หวังดึงฐานลูกค้ากลุ่ม Gen Z มาใช้บริการมากขึ้น จากปัจจุบันที่มีสัดส่วนอยู๋ 20%
“เราเชื่อว่าพลังแห่งตัวแทนคนรุ่นใหม่อย่าง ‘ต้าห์อู๋ x ออฟโรด’ และโปรโมชั่นที่คุ้มค่าจะทำให้ไก่ทอดแมค สามารถขยายฐานเข้าถึงกลุ่มคนรุ่นใหม่และสร้างการเติบโตของยอดขายไก่ได้มากกว่า 20% จากแคมเปญซึ่งจะเริ่มจากวันนี้ถึงสิ้นเดือนมีนาคม ที่ร้านแมคโดนัลด์ทุกสาขา” พัชนีวรรณ กล่าว
เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : “แดรี่ควีน” ปี 2566 โตแรงเกินคาด เดินหน้าขยายสู่ 1,000 สาขา ลุยเสิร์ฟความอร่อยเคลื่อนที่ผ่าน EV Truck
ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine
