เปิดแผนสยามเฮลท์กรุ๊ป รีแบรนด์ ‘สมูทอี’ เจาะกลุ่ม Gen Z ส่วนเดนทิสเต้เตรียมเปิดตัว ‘ยาสีฟันแบบเม็ด’ - Forbes Thailand

เปิดแผนสยามเฮลท์กรุ๊ป รีแบรนด์ ‘สมูทอี’ เจาะกลุ่ม Gen Z ส่วนเดนทิสเต้เตรียมเปิดตัว ‘ยาสีฟันแบบเม็ด’

“สยามเฮลท์กรุ๊ป” เผยแผนธุรกิจ รีแบรนดิ้ง “สมูทอี” พร้อมดึงมือดีนีเวียร่วมวางกลยุทธ์ ส่วน “เดนทิสเต้” จับมือยักษ์ใหญ่ชื่อดังวงการยาญี่ปุ่น เปิดตัวยาสีฟันแบบเม็ดทั่วโลกปลายปีนี้ พร้อมเตรียมเปิดตลาดยาสีฟันในรัสเซียครั้งแรก ก่อนลุยบราซิล แคนาดา และเม็กซิโก


    สมูทอี เป็นแบรนด์เวชสำอางที่ดังมากในตลาดเมื่อกว่า 30 ปีที่ผ่านมา และยังเป็นเวชสำอางเพียงไม่กี่แบรนด์ที่ยังแข่งขันกับแบรนด์ใหญ่ข้ามชาติได้ แต่ลูกค้าส่วนใหญ่ของสมูทอียังเป็นกลุ่ม Gen X และ Y ที่มีอายุระหว่าง 28-57 ปี ขณะที่สัดส่วนลูกค้า Gen Z อายุระหว่าง 12-27 ปียังมีเพียง 10% เท่านั้น

    เนื่องจากพฤติกรรมการใช้สกินแคร์ของคนรุ่นใหม่เปลี่ยนแปลงไปจากอดีต ไม่ได้ใช้สกินแคร์แค่เรื่องความอ่อนโยน แต่มองหาประสิทธิภาพสินค้าและเห็นผลเร็วจึงจะตัดสินใจซื้อสินค้า สมูทอีจึงได้ปรับกลยุทธ์ตลาดอย่างมีนัยสำคัญ เพื่อขยายฐานลูกค้า Gen Z ที่มีอยู่เพียง 10% เป็น 30% ในระยะ 5 ปีข้างหน้า

    เพื่อบรรลุเป้าหมายดังกล่าว นอกจากจะตั้ง “ธนชัย ชัยกิตติวนิช” มือดีการตลาดจากนีเวีย เป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหาร แบรนด์สมูทอี บริษัท สยามเฮลท์ กรุ๊ป จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่าย “สมูทอี” ตั้งแต่ต้นปีนี้แล้ว บริษัทยังทำการ “รีแบรนดิ้ง” สมูทอี ปรับภาพลักษณ์แบรนด์ให้ทันสมัย ผ่านแพคเกจจิ้งที่ตอบโจทย์ Gen Z ด้วยโลโก้ที่มีสีสันชัดเจนขึ้น พร้อมเน้นข้อความที่บ่งบอกประสิทธิภาพของสินค้าบนบรรจุภัณฑ์ รวมทั้งเน้นสื่อสารในช่องทางออนไลน์ ทั้งเรื่อง Position และ Innovation ของสินค้า


    “เราเปลี่ยนการสื่อสารของผลิตภัณฑ์ใหม่หมดทั้ง Offline และ Online เมื่อก่อนเราใช้เวลานานในการโฆษณา วันนี้เราต้องสื่อสารให้ชัดเจนขึ้นด้วยคำพูดสั้นๆ และจบภายใน 3 วินาที เช่น หน้าไม่ใช่จาน ทำไมใช้โฟมที่มีค่า PH เท่ากับน้ำยาล้างจาน หรือจากสมูทอี โฟมไม่มีฟอง เป็น โฟมไม่มีสบู่ ไม่ทำให้ผิวเอี๊ยด PH5 สร้างสมดุลผิว ลดมัน ลดสิว เราจะไม่ใช้เวลาสื่อสารนานเหมือนในอดีต แค่โฆษณา 15 วินาที เราจะเหลือคนดูเพียงแต่ 5 % เท่านั้น” ธนชัยกล่าว

    เหตุผลที่สมูทอีมาเน้นขยายฐานกลุ่มลูกค้าจากวัยทำงานสู่วัยรุ่นมากขึ้น โดยเฉพาะ Gen Z เพราะลูกค้ากลุ่มนี้ศึกษาข้อมูลของสินค้าและต้องการสินค้าที่มีนวัตกรรมที่ใช้แล้วเห็นผลเร็ว มีประสิทธิภาพในการดูแลผิวอย่างอ่อนโยน ประกอบกับ Gen Z กล้าทำหัตถการ เช่น ฉีดหน้า เพื่อให้ตัวเองดูดี และ 4 ใน 10 ของลูกค้ามักจะมีปัญหาผิวบอบบาง บริษัทจึงเห็นโอกาสที่จะขยายฐานลูกค้ากลุ่มนี้มากขึ้น


    โดยปีนี้สมูทอี ได้ทุ่มงบกว่า 200 ล้านบาท ทำการตลาดของผลิตภัณฑ์กลุ่มรักษาสิว นอกจากนี้ยังมีการพัฒนานวัตกรรมและบรรจุภัณฑ์ให้มีความสดใสโมเดิร์น พร้อมใช้ “ใบปอ-ธิติยา จิระพรศิลป์” เป็นพรีเซนเตอร์ ช่วยสะท้อนภาพลักษณ์แบรนด์ที่ทันสมัยเข้าถึงได้ พร้อมกับจะออกสินค้าใหม่ที่ช่วยแก้ปัญหาสิวอย่างครบวงจร

    ปัจจุบัน ตลาดรวมสินค้าสกินแคร์ในเมืองไทยมีมูลค่าประมาณ 20,000-30,000 ล้านบาท โดย 15% เป็นตลาดเวชสำอาง มีแบรนด์ใหญ่ๆ อยู่ในตลาดประมาณ 4-5 แบรนด์ ส่วนใหญ่เป็นแบรนด์ข้ามชาติ ทั้งนี้ สินค้าดูแลผิวหน้าเติบโต 10% ส่วนผิวกายเติบโต 5% และผลิตภัณฑ์กันแดด 26%

    ธนชัยกล่าวว่า ในครึ่งปีหลัง บริษัทจะสร้างความแข็งแกร่งให้กลุ่มสินค้าหลัก ได้แก่ โฟมล้างหน้าและครีมบำรุง ด้วยการรีลอนช์ผลิตภัณฑ์ในรูปโฉมบรรจุภัณฑ์ใหม่ อาทิ Smooth E Cream ครีมลดรอยแผลเป็น ริ้วรอยและจุดด่างดำจากสิว

    ศุภาพิชญ์ พิทยานุกุล ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาด บริษัท สยามเฮลท์ กรุ๊ป จำกัด กล่าวว่า เพื่อเป็นการสร้างการรับรู้เกี่ยวกับแบรนด์ควบคู่กับการสร้างประสบการณ์จริง และให้เกิดการทดลองใช้สินค้าในกลุ่มนักเรียน นักศึกษา พร้อมกับตอกย้ำความเป็นแบรนด์เวชสำอางสกัดจากธรรมชาติ

    บริษัทจึงจัดแคมเปญ “Smooth E Mobile Clinic” นำผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังลงพื้นที่ตรวจสุขภาพผิววิเคราะห์ปัญหาและให้คำแนะนำเรื่องการใช้ผลิตภัณฑ์ให้ตรงกับผิวเฉพาะบุคคล เจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ในกรุงเทพฯ ปริมณฑล และจังหวัดหัวเมืองใหญ่ อาทิ เชียงใหม่ ขอนแก่น ชลบุรี สงขลา ฯลฯ

    บริษัทตั้งเป้าขายสมูทอีในประเทศ 1,000 ล้านบาทในปีนี้ นอกจากนี้บริษัทยังส่งออกสินค้าไปขายในประเทศต่างๆ อีก อาทิ เกาหลี ญี่ปุ่น อินโดนีเซียและเวียตนาม เป็นต้น


เดนทิสเต้จับมือบริษัทยาชื่อดังญี่ปุ่น ผลิต “ยาสีฟันแบบเม็ด” วางทั่วโลกปีนี้

    ศิวกร พิทยานุกุล ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายกลยุทธ์ บริษัท สยามเฮลท์ กรุ๊ป ผู้ผลิตและจำหน่ายยาสีฟันเดนทิสเต้ กล่าวว่า บริษัทได้จับมือกับบริษัทผู้ผลิตยาและอาหารเสริมชื่อดังในญี่ปุ่น ผลิตยาฟันเดนทิสเต้ในรูปแบบแท็บเล็ต หรือแบบเม็ด ออกสู่ตลาดพร้อมกันทั่วโลกเป็นครั้งแรกในไตรมาส 4 ของปีนี้

    “เราร่วมมือกับบริษัทนี้เพราะมีลักษณะการทำธุรกิจคล้ายกับเรา ในเรื่องการผลิตสินค้าคุณภาพและนวัตกรรม เราเชื่อว่าการวางตลาดเดนทิสเต้รูปแบบแท็บเล็ตในราคาที่เข้าถึงได้และเป็นสินค้า food grade ในครั้งนี้จะทำให้คนไทยแปรงฟันได้ง่ายขึ้น เดนทิสเต้ไม่ได้ขายสินค้า แต่เราขาย health solution สอดคล้องกับกลยุทธ์ธุรกิจที่เน้นนวตกรรมและจะเห็นต่อเนื่องในอีก 10 ปีข้างหน้า” ศิวกรระบุ

    สำหรับตลาดรวมสินค้าสุขภาพช่องปากในเมืองไทยมีมูลค่าประมาณ 20,000 ล้านบาทต่อปี และมีการเติบโตปีละ 5%

    นอกจากในประเทศแล้ว ปัจจุบันเดนทิสเต้ยังจำหน่ายในกว่า 30 ประเทศทั่วโลก และบริษัทกำลังจะตั้งบริษัทจัดจำหน่ายสินค้าของเดนทิสเต้ในมอสโก รัสเซีย เป็นครั้งแรกในปีนี้ เพราะคนรัสเซียมีสุขภาพช่องปาก ลักษณะอาหารการกินคล้ายกับคนไทย และมีขนาดตลาดที่น่าสนใจ

    “เดนทิสเต้เป็นสินค้านวัตกรรม เราคิดว่าเราแข่งขันได้ในรัสเซียแม้จะมีคู่แข่งข้ามชาติที่เหนียวแน่น เราไม่ได้ทำตลาดแมส เราต้องการลูกค้าที่มีปัญหาจริงๆ เพียง 1 ใน100 คน หรือลูกค้า elite เท่านั้น” ศิวกรกล่าว

    ขณะเดียวกันบริษัทก็เตรียมจดทะเบียนตั้งสำนักงานใหญ่ในสหรัฐอเมริกา เพื่อเข้าไปทำตลาดอย่างจริงจัง จากปัจจุบันที่มีตัวแทนจำหน่ายอยู่แล้ว 2-3 ราย ส่วนบราซิล เม็กซิโก แคนาดา และเวียดนาม ก็อยู่ในแผนที่บริษัทจะขยายตลาดในอนาคตด้วย โดยเฉพาะบราซิลซึ่งรสชาติอาหารจัดจ้านคล้ายๆ ประเทศไทย


    นอกจากนี้จะเน้นโปรโมทเดนทิสเต้พรีเมียมแคร์มากขึ้น ผ่านการตลาดแนวทางใหม่ๆ ให้ลูกค้ามี touch & feel ที่พรีเมียมขึ้น ปรับสูตรยาสีฟันดีขึ้น บรรจุภัณฑ์โฉมใหม่ ทำให้ลูกค้าสนุกกับการแปรงฟันที่มีความเป็น personalize มากขึ้นในเร็วๆ นี้ เพื่อเพิ่มสัดส่วนการขายเดนทิสเต้พรีเมียมแคร์ให้มากกว่า 10% ของพอร์ตสินค้าดูแลสุขภาพในช่องปาก โดยในปีที่ผ่านมายอดขายของเดนทิสเต้ทั้งหมดเติบโต 25% สูงกว่าตลาดรวมซึ่งเติบโตเพียง 7% เท่านั้น


    ทั้งนี้ บริษัทตั้งเป้ายอดขายเติบโต 20% ในปีนี้ จากการทำตลาดโมเดลใหม่ๆ สินค้าที่เหมาะกับเฉพาะบุคคลแต่ละกลุ่ม และสินค้าพรีเมียมแคร์ที่ดึง หมาก-ปริญ สุภารัตน์ และ คิมเบอร์ลี่-แอน โวลเทมัส เทียมศิริ มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ในภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่ล่าสุด


หมายเหตุ: ภาพประกอบเดนทิสเต้ยังไม่ใช่โปรดักต์แบบเม็ดที่จะวางจำหน่าย และปัจจุบันเดนทิสเต้ระบุว่ายังไม่สามารถเผยแพร่ภาพโปรดักต์ดังกล่าวได้



เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : ‘เครือสหพัฒน์’ ร่วมวงธุรกิจสัตว์เลี้ยง ส่งสินค้าตัวเอง-แบรนด์นำเข้า ลุยตลาดปีนี้

ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine