‘เครือสหพัฒน์’ ยักษ์ใหญ่สินค้าอุปโภคบริโภค พร้อมแล้วร่วมวงธุรกิจสัตว์เลี้ยง ส่งสินค้าแบรนด์ตัวเองและแบรนด์นำเข้าลุยตลาดปีนี้ หวังเสริมแกร่ง Portfolio และช่วยดันรายได้โตมั่นคงระยะยาว
หากเอ่ยชื่อ ‘สหพัฒน์’ ของตระกูลโชควัฒนา หลายคนคงนึกถึงอาหารขวัญใจคนจนอย่างมาม่า ผงซักฟอกเปา เครื่องสำอางบีเอสซี หรือวาโก้ แอร์โร่ ที่อยู่คู่ครัวเรือนไทยมาหลายสิบปี และสร้างรายได้กว่าปีละ 3 แสนล้านบาทจากธุรกิจอาหาร แฟชั่น อสังหาริมทรัพย์ และสินค้าที่หลากหลายสำหรับคน
ระยะหลังไม่กี่ปี ‘บุณยสิทธิ์ โชควัฒนา’ ประธานเครือสหพัฒน์ เริ่มขยายกิจการไปยังธุรกิจใหม่ๆ มากขึ้น อาทิ ธุรกิจทองคำ ธุรกิจบริการ ทั้งที่ลงทุนเองและร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ในวงการแพทย์ ค้าปลีก และโรงแรม
และล่าสุด ถึงเวลาที่ของเครือที่จะกระโดดเข้ามาชิมลางธุรกิจที่เกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงเป็นครั้งแรก เพื่อหาโอกาสในตลาดใหม่ๆ ไม่เพียงเพราะตลาดนี้จะมีมูลค่าหลายหมื่นล้านบาทต่อปี แต่ Pet Lover ทั้งหลายที่เลี้ยงสัตว์เป็นลูก ยังพร้อมจับจ่ายตรงนี้ และที่สำคัญที่สุด สหพัฒน์มีธุรกิจใน Ecosystem ที่แข็งแรงมาก ทั้งโรงงานผลิต ช่องทางกระจายสินค้าทั้งออนไลน์และออฟไลน์ และประสบการณ์ในการทำตลาดสินค้าอุปโภคบริโภคมามากกว่า 80 ปีในเมืองไทยและต่างประเทศ
สหพัฒน์เปิดตัวสินค้าสัตว์เลี้ยงภายใต้ยี่ห้อ “Ora pet care” อย่างเป็นทางการในงานสหกรุ๊ปแฟร์เมื่อปลายเดือนมิถุนายน 2567 ที่ผ่านมา โดยมีบริษัทในเครือทั้งหมด 5 แห่งแบ่งกันทำหน้าที่ผลิตและจำหน่ายสินค้าเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยง ภายใต้ยี่ห้อ Ora pet care ได้แก่ International Laboratories Corp,. Ltd (ILC), บริษัท เอช แอนด์ บี อินเตอร์เท็กซ์ (H&B), บริษัท ราชาอูชิโน จำกัด บริษัท ไทยวาโก้ จำกัด (มหาชน) และ ไอ.ดี.เอฟ. ออนไลน์ จำกัด
นอกจากนี้ยังมีอีก 2 บริษัท ได้แก่ บริษัท โอ.ซี.ซี จำกัด (มหาชน) จำกัด และบริษัท ไลอ้อน (ประเทศไทย) จำกัด ยังได้เข้าสู่ธุรกิจสัตว์เลี้ยงด้วยเช่นเดียวกัน แต่ทำภายใต้แบรนด์ของตนเองและนำเข้าจากต่างประเทศ
สหพัฒน์ส่ง Ora pet care ชิมลางปีนี้
บุษบง มิ่งขวัญยืน กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไอดีเอฟ ออนไลน์ จำกัด ซึ่งดูแลการจำหน่ายสินค้าเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงภายใต้ยี่ห้อ “Ora pet care” กล่าวว่า บริษัทได้มีการเปิดตัวสินค้าแบรนด์ Ora pet care อย่างไม่เป็นทางการในงานสหกรุ๊ปแฟร์เมื่อปลายเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา และเริ่มทดลองจำหน่ายสินค้าดังกล่าวในช่องทางอีคอมเมิร์ซ เพื่อเข้าถึงลูกค้าโดยตรง
“ตลาดสินค้าเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงมีการเติบโตต่อเนื่องมา 5 ปี โดยเฉพาะหลังโควิด ทั้งในและต่างประเทศ และเชื่อว่าจะยังเติบโตต่อไปในอนาคต” บุษบงกล่าว และว่า ตลาดรวมของสินค้าเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงในเมืองไทยมีมูลค่าประมาณ 50,000 ล้านบาท เติบโตเป็นตัวเลขสองหลักต่อปี
โดยมีปัจจัยหลายอย่างที่จะทำให้ตลาดนี้เติบโตต่อเนื่อง ได้แก่ ไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่เปลี่ยน การแต่งงานแต่ไม่อยากมีลูกเพราะมองว่าเป็นภาระ และเลือกที่จะเลี้ยงสัตว์ทดแทน ขณะที่คนโสดก็เลี้ยงสัตว์เป็นลูกมากขึ้น รวมถึง Gen X ที่เข้ามาอยู่ในเมือง ก็ซื้อสัตว์เลี้ยงให้พ่อแม่ปู่ย่าตายายที่อยู่ต่างจังหวัดดูแลเพื่อคลายความเหงา
สำหรับ Ora pet care เป็นผลิตภัณฑ์สินค้าสำหรับสุนัขและแมวภายใต้แนวคิด “เลี้ยงเหมือนน้อง ดูแลเหมือนลูก ใส่ใจเหมือนคนรัก” มีทั้งหมด 4 กลุ่มได้แก่
-สินค้ากลุ่มทำความสะอาด อาทิ ครีมอาบน้ำ แชมพู มีทั้งในรูปแบบใช้กับน้ำและแบบอาบแห้งเพิ่มความสะดวกเมื่อพาน้องเที่ยว ทั้งยังมีสบู่แบบก้อนรูปมังคุด (เท้าเด็กๆ) สเปรย์ดับกลิ่นที่อยู่อาศัย โดยกลิ่นของคอลเลกชันนี้เป็นแนวแป้งเด็ก สูตรสินค้าปลอดภัย ด้วยจุดเด่น Gentle & Organic ผลิตโดยบริษัท ILC ฐานผลิตสินค้ามาตรฐานส่งออกของเครือ
-กลุ่มอาหารขบเคี้ยว ที่เลือกสรรวัตถุดิบเนื้อไก่สด อุดมด้วยโปรตีนคุณภาพสูง ผลิตจากโรงงานชั้นนำ โซเดียมต่ำ ไขมันน้อย ย่อยง่าย เสริมสร้างกล้ามเนื้อได้ดี
-เครื่องใช้สำหรับน้องหมา น้องแมว อาทิ เบาะรองนอน เบาะรองนั่งที่ใช้ได้ดีกับการท่องเที่ยว มีจุดเด่นคือกันลื่นและกันเลื่อนจากเบาะรถ ผ้ารองกันการขับถ่ายแบบกันน้ำ ผ้าขนหนู ของเล่นเด็กๆ เพื่อความผ่อนคลายและเสริมสร้างการเรียนรู้และพัฒนาการของเด็กๆ ผลิตโดยบริษัท H&B
-ชุดนอนดีไซน์พิเศษ สีสันสวยงาม เน้นการใช้ผ้าคุณภาพดี นอกจากนี้ยังมีชุดที่ลดการหลุดร่วงของเส้นขนของน้องๆ เพื่อลดความกังวลใจเรื่องการแพ้ของคนในครอบครัว ผลิตโดยบริษัท ไทยวาโก้
กลุ่มเป้าหมายหลักของ Ora pet care คือ ครอบครัวใหม่ที่ไม่มีเด็กเล็กและเลี้ยงสัตว์แทนลูก รวมถึงคุณพ่อคุณแม่ คุณตาคุณยายที่เหงาเพราะลูกๆ เข้ามาทำงานในเมือง จึงมีน้องๆ อยู่เป็นเพื่อนหรือเป็นตัวแทนความรักของลูกหลาน
ราคาสินค้า Ora Pet Care มีราคาระดับกลางไม่สูงเกินไป เพื่อให้คนกลุ่มกว้างเข้าถึงได้ง่าย จัดจำหน่ายผ่านช่องทาง E-commerce & Live commerce และหาซื้อได้ที่ www.bigxshow.com
“เนื่องจากเรามีพันธมิตรจากญี่ปุ่นซึ่งเป็นเจ้าแห่งนวัตกรรม และมีฐานลูกค้าในมือของสหพัฒน์ พร้อมประสบการณ์ในสินค้าอุปโภคบริโภคมากว่า 80 ปี เราเชื่อว่าสินค้าของเราจะตอบโจทย์ลูกค้าได้ทุกไลฟ์สไตล์” บุษบงกล่าว
โอซีซี นำเข้าแบรนด์ เวทเทรสก้า (Vetreska) วางตลาด พ.ค. 67
ธีรดา อำพันวงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โอซีซี จำกัด (มหาชน) ผู้จัดจำหน่ายเครื่องสำอาง เสื้อผ้า ผลิตภัณฑ์แฮร์แคร์ ภายใต้แบรนด์คัพเวอร์มาร์ค, KMA, Wella, กีลาโรช และ BSC กล่าวว่า คุณพ่อ (บุณยสิทธิ์ โชควัฒนา) ได้พูดในที่ประชุมกับผู้บริหารว่า อยากให้แต่ละบริษัทพยายามมองหาโอกาสใหม่ๆ และอยากเข้าไปอยู่ในธุรกิจสัตว์เลี้ยง เพราะสหพัฒน์มีศักยภาพ มีธุรกิจตั้งแต่ต้นน้ำจนปลายน้ำ ประกอบกับเราเองก็ชอบสัตว์เลี้ยง และมองหาสินค้าคุณภาพเข้าพอร์ตโอซีซีอยู่แล้ว จึงเข้าสู่ธุรกิจตั้งแต่เดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา
ธีรดาเล่าว่า ได้รู้จักกับเจ้าของแบรนด์เวทเทรสก้า (Vetreska) ตั้งแต่สมัยเรียนด้านแฟชั่นที่ต่างประเทศ และมีโอกาสได้ลองใช้สินค้าแบรนด์นี้ ด้วยความโดดเด่นของดีไซน์ คุณภาพการตัดเย็บ และประโยชน์ใช้สอยที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของสัตว์เลี้ยงและเจ้าของ รวมถึงการแก้ pain point ของคนเลี้ยงสัตว์หลายๆ อย่างได้ จึงตัดสินใจนำเข้าแบรนด์นี้มาทำตลาด โดยเปิดตัวครั้งแรกในงาน Pet Expo ที่อิมแพค เมืองทองธานี ในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา
“เราไปออกบูธที่นี่ เอาของมาไม่เยอะมาก เพราะเป็นแบรนด์ใหม่ จึงยังไม่แน่ใจตลาดจะตอบรับแค่ไหน แต่ด้วยสินค้ามีเอกลักษณ์ ใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติ คุณภาพดี จึงได้รับการตอบรับที่ดีจากทั้งเจ้าของสัตว์เลี้ยงและร้านเพ็ทช็อป” ธีรดากล่าว
ทั้งนี้ สินค้าภายใต้แบรนด์เวทเทรสก้า มีให้เลือกหลากหลายตั้งแต่ ของเล่น ชามข้าว ปลอกคอ สายจูง เบาะที่นอน คาร์ซีท กระเป๋าใส่น้องหมาน้องแมว คอนโดฯ และบ้านน้องแมว และถุงเก็บมูลสัตว์ เป็นต้น ราคาจำหน่ายอยู่ระหว่าง 300-6,000 บาท นอกจากนี้ยังมีแผนที่จะนำเข้าสินค้าอื่นๆ เข้ามาจำหน่ายมากขึ้น รวมทั้งเจรจาเพื่อนำสินค้ามาผลิตภายใต้แบรนด์และดีไซน์ของเจ้าของแบรนด์ในอนาคตด้วย
“เราเห็นเทรนด์การใช้จ่ายต่อหัวกับสินค้าเกี่ยวกับสัตว์เติบโตอย่างต่อเนื่อง ไม่มี sign อะไรที่จะบอกว่าธุรกิจนี้จะขาลงเหมือนสินค้าอื่นๆ ที่มักจะตัดทิ้งยามเศรษฐกิจไม่ดี หรือมีกำลังซื้อลดลง นอกจากซื้อสินค้าให้สัตว์เลี้ยงของตนเองแล้ว ปัจจุบันคนยังซื้อสินค้าเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงให้เป็นของขวัญมากขึ้น ซึ่งเทรนด์ pet parent ช่วยเร่งการโตของอุตสาหกรรมนี้ด้วย” ธีรดาบอก
เวทเทรสก้า จำหน่ายในช่องทางออนไลน์เป็นหลัก และมีในร้านเพ็ทช็อปบางแห่ง อาทิ PET’N ME และ Loft ในบางสาขา และอยู่ระหว่างพูดคุยกับเชนอื่นๆ อีกหลายแห่ง
ไลอ้อนฯ เพิ่มพอร์ตเน้น oral care
อรรถพร ไผ่หยกงาม ผู้จัดการแผนสินค้าใหม่และออนไลน์ บริษัท ไลอ้อน (ประเทศไทย)จำกัด ผู้ผลิตสินค้า Personal care, Oral Care และสินค้าครัวเรือนภายใต้ยี่ห้อซิสเท็มมา เปา และโชกุบุสซึ เปิดเผยว่า เนื่องจากไลอ้อนฯ ทำตลาดสินค้าเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงในญี่ปุ่นมานาน ไลอ้อน (ประเทศไทย) เห็นว่าตลาดสินค้าเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงเป็นเทรนด์ทั่วโลกและเติบโตต่อเนื่อง จึงได้ตัดสินใจนำเข้ามาทำตลาดในเมืองไทยตั้งแต่ 3 ปีที่ผ่านมา เริ่มจากสินค้าเพอร์ซันนัลแคร์ภายใต้แบรนด์ ไลอ้อนเพ็ทแคร์ เน้นขายผ่านช่องทางออนไลน์เป็นหลัก
“ช่วงโควิดช่องทางออนไลน์บูม คนใช้ชีวิตอยู่บ้านมากขึ้น และใช้เวลาอยู่กับสัตว์เลี้ยงมากขึ้น และคนรุ่นใหม่หันมาเลี้ยงสัตว์เหมือนลูกมากขึ้น จึงยินดีจะดูแลสัตว์เลี้ยงตัวเอง สินค้าเราเป็นสินค้าพรีเมียม ประกอบกับภาพลักษณ์ของแบรนด์ไลอ้อนในเรื่องคุณภาพและนวัตกรรม ทำให้ไลอ้อนเพ็ทแคร์เข้าถึงลูกค้ากลุ่มนี้ได้” อรรถพรบอก
ไลอ้อนเพ็ทแคร์ มีจุดเด่นที่เป็นสินค้าธรรมชาติ ปลอดภัยกับสัตว์เลี้ยงหากมีการเลียขนเข้าปาก ในช่วงแรกบริษัทจะนำเข้าเฉพาะสินค้าที่ขายดีในญี่ปุ่นมาวางตลาด อาทิ โฟมอาบแห้ง ทำความสะอาดน้องหมาและแมวโดยไม่ต้องล้างออก นอกจากนี้ยังมีแชมพูน้ำ ทิชชูเปียก จากเริ่มต้นในปีแรก 8 รายการ ปัจจุบันมีสินค้าจำหน่ายกว่า 20 รายการ ยอดขายจากหลักแสนก็เพิ่มเป็นหลักหลายล้านในปีต่อมา และคาดว่าจะเป็น 10 ล้านในปีนี้
“กำลังซื้อของ pet lover ที่จ่ายให้กับสัตว์เลี้ยงของตัวเองไม่เคยตก เชื่อหรือไม่ว่าคนกลุ่มนี้ยอมจ่ายให้กับหมาแมวมากกว่าค่าใช้จ่ายอาหารการกินของตัวเอง” อรรถพรบอก
ด้วยผลตอบรับที่ดีขึ้นเรื่อยๆ ของไลอ้อนเพ็ทแคร์ในแต่ละปี จากสินค้าเพอร์ซันนัลแคร์ ปีนี้ไลอ้อนจะเพิ่มความสำคัญในการทำตลาดสินค้า oral care สำหรับสัตว์เลี้ยงมากขึ้น โดยวางจำหน่ายในช่องปากสำหรับสัตว์เลี้ยง 4-5 รายการในกลางปีนี้ ได้แก่ แปรงสวมนิ้วชี้ช่วยทำความสะอาดฟันสัตว์เลี้ยง ยาสีสัน และเม้าท์สเปรย์สำหรับผสมน้ำให้น้องดื่มเพื่อกลิ่นปากที่สดชื่น พร้อมกับสร้างแบรนด์ไลอ้อนเพ็ทแคร์กับ pet parent ในช่องทางออนไลน์ อาทิ ช้อปปี้ ลาซาด้า และการจัดอีเวนต์สัตว์เลี้ยงตามสถานที่ต่างๆ อาทิ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ไบเทคบางนา และเมืองทองธานี เป็นต้น
เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : กางแผน ‘ไมเนอร์ ฟู้ด’ เดินหน้าสู่ Global Company เตรียมเปิดแฟรนไชส์ ‘เดอะ พิซซ่า’ ที่สิงคโปร์
ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine