บีดีเอ็มเอส เวลเนส คลินิก ในเครือ BDMS เช่าที่สำนักงานทรัพย์สินฯ พัฒนา “เวลเนสซิตี้” มิกซ์ยูสคอมเพล็กซ์มูลค่า 25,000 ล้านบาท บนพื้นที่ 13 ไร่บนถนนหลังสวน คาดเปิดปี 2573 พร้อมจับมือไทยแลนด์ พริวิเลจ เพิ่มสิทธิพิเศษ ดึงต่างชาติดันไทยขึ้น Top 5 จุดหมายปลายทางท่องเที่ยวเชิงสุขภาพของโลก
นายแพทย์ตนุพล วิรุฬหการุญ ประธานคณะผู้บริหาร บีดีเอ็มเอส เวลเนส คลินิก และบีดีเอ็มเอส เวลเนส รีสอร์ท บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) หรือ บีดีเอ็มเอส เปิดเผยว่า บริษัทได้เช่าที่จากสำนักทรัพย์สินฯ เป็นระยะเวลา 30 ปีบวก 30 ปี เพื่อพัฒนาโครงการ Wellness City มูลค่า 25,000 ล้านบาท บนพื้นที่ 15 ไร่บริเวณถนนหลังสวนใกล้กับโครงการ Velaa Sindhorn Village Langsuan (เวลา สินธร วิลเลจ หลังสวน)
Wellness City ที่เรียกในขณะนี้ว่า “Hercules หรือ เฮอร์คิวลีส” เป็นโครงการมิกซ์ยูสเกี่ยวกับที่อยู่อาศัยด้านสุขภาพครบวงจร มีพื้นที่ใช้สอย 21,040.72 ตารางเมตร แบ่งเป็น 2 อาคาร ได้แก่ อาคารขนาดความสูง 46 ชั้นและชั้นใต้ดิน 5 ชั้นเพื่อใช้เป็นโรงแรมและที่อยู่อาศัย พาณิชยกรรม ที่จอดรถยนต์ความสูงประมาณ 208 เมตร
ส่วนอีกอาคาร มีขนาดความสูง 3 ชั้น และชั้นใต้ดิน 1 ชั้น เพื่อใช้เป็นพื้นที่พาณิชยกรรม มีที่จอดรถยนต์จำนวน 1,268 คัน แบ่งเป็นที่จอดรถปกติ 1,172 คัน ที่จอดรถสำหรับผู้พิการ 32 คัน และที่จอดรถอีวีจำนวน 64 คัน บริษัทเจ้าของโครงการ ได้แก่ บริษัท บีดีเอ็มเอส ซิลเวอร์ จำกัด ใช้ระยะเวลาก่อสร้างประมาณ 52 เดือน คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างประมาณต้นปี 2569 ภายหลังที่ได้รับความเห็นชอบจากสำนักงานนโยบายฯ และจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม จากบริษัท เอ็นไวรอนเมนทัล มูฟเม้นท์ จำกัด
โดยโครงการ “เฮอร์คิวลีส” เป็น Wellness Real Estate โครงการที่สองของบีดีเอ็มเอส เวลเนส คลินิก หลังจากมีโครงการอสังหาฯ เพื่อสุขภาพแห่งแรกที่ถนนวิทยุ
นายแพทย์ตนุพลกล่าวว่า อสังหาริมทรัพย์เพื่อสุขภาพเป็นเทรนด์การลงทุนในอนาคต จากข้อมูลของ Global Wellness Institute (GWI) องค์กรไม่แสวงผลกำไรที่ศึกษาและวิจัยด้านสุขภาพเชิงป้องกันและอุตสาหกรรมเวลเนสทั่วโลก พบว่า ในปี 2023 ธุรกิจเกี่ยวกับสุขภาพมีมูลค่าสูงถึง 6.3 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ และคาดว่าในปี 2028 จะมีมูลค่าสูงขึ้นเป็น 9 ล้านล้านเหรียญ หรือเติบโตเฉลี่ยปีละ 7.3% สูงกว่า GDP โลกซึ่งอยู่ที่ 4.8% สะท้อนให้เห็นว่าผู้บริโภคให้ความสำคัญกับเรื่องสุขภาพมากขึ้น
นอกจากนี้ ยังพบว่าธุรกิจในอุตสาหกรรมเวลเนส ที่มีอัตราการเติบโตสูงสุด 3 อันดับแรกของ ได้แก่ อสังหาริมทรัพย์เพื่อสุขภาพ (Wellness Real Estate) เติบโต 15% ต่อปี อันดับสอง คือการดูแลสุขภาพจิต (Mental Health) เติบโต 12% ต่อปี และอันดับ 3 การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Wellness Tourism) เติบโต 10.2% ต่อปีไปอีก 5 ปีข้างหน้า
นายแพทย์ตนุพลกล่าวว่า ก่อนเกิดการระบาดของโควิด ประเทศไทยเคยมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมาท่องเที่ยวเชิงสุขภาพสูงถึง 15 ล้านคนต่อปี ติดอันดับ 7 ของโลก แต่ลดลงมาอยู่ที่ 13.5 ล้านคนในปี 2566 เป็นอันดับ 15 ของโลก และคาดว่าปีนี้ตัวเลขนักท่องเที่ยวเชิงสุขภาพจะกลับไปสูงกว่าก่อนเกิดโควิดอย่างแน่นอน
ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศยุทธศาสตร์ด้านธุรกิจท่องเที่ยวที่สำคัญของโลก และมีปัจจัยหลักในการดึงดูดชาวต่างชาติคุณภาพสูงให้เข้ามาพำนักระยะยาว ได้แก่ ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่งดงาม อาหารไทยที่มีเอกลักษณ์ วัฒนธรรมไทยและการบริการที่มีคุณภาพ การแพทย์แผนไทยที่ผสานสมุนไพรอย่างมีประสิทธิภาพ และความก้าวหน้าด้านการแพทย์ที่เทียบเท่ามาตรฐานสากล เพื่อสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันของประเทศ
บีดีเอ็มเอส เวลเนส คลินิก จึงได้ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) กับ บริษัท ไทยแลนด์ พริวิเลจ คาร์ด จำกัด ผู้ให้บริการบัตรสมาชิกไทยแลนด์ พริวิเลจ เอกสิทธิ์วีซ่าพำนักระยะยาว ภายใต้การกำกับดูแลของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เพื่อนำเสนอบริการพร้อมสิทธิประโยชน์พิเศษแก่ชาวต่างชาติระดับสูง อีกทั้งยังเป็นการส่งเสริมภาพลักษณ์ด้านศักยภาพการแพทย์ไทยสู่กลุ่มชาวต่างชาติที่มีกำลังซื้อสูงและมีคุณภาพส่งผลให้ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางสำคัญสำหรับการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและการพำนักระยะยาว
“ความร่วมมือครั้งนี้ เป็นก้าวสำคัญที่จะช่วยผลักดันให้ประเทศไทยขึ้นแท่น Top 5 จุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพของโลก” นายแพทย์ตนุพลกล่าว
ปัจจุบัน 5 ประเทศที่เป็นจุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพของโลกได้แก่ อเมริกา เยอรมนี จีน ฝรั่งเศส และญี่ปุ่น
นายมนาเทศ อันนวัฒน์ เพรสซิเดนท์ บริษัท ไทยแลนด์ พริวิเลจ คาร์ด จำกัด กล่าวว่า ความร่วมมือกับ บีดีเอ็มเอส เวลเนสคลินิก ครั้งนี้ เพื่อนำเสนอบริการแก่สมาชิกชาวต่างชาติกว่า 37,000 คน ซึ่งสมาชิกผู้ถือบัตร 5 อันดับแรก ได้แก่ จีน อเมริกา ญี่ปุ่น อังกฤษ และรัสเซีย เป็นการนำเสนอศักยภาพของการแพทย์และบริการด้านสุขภาพไทยผ่านการให้บริการสิทธิประโยชน์ของบริษัท
นอกจากนี้ ความร่วมมือยังครอบคลุมการพัฒนาแพ็กเกจบริการพิเศษที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ชาวต่างชาติระดับสูง ซึ่งเป็นการผสานจุดแข็งของทั้งสองบริษัท เพื่อมอบประสบการณ์ด้านสุขภาพและการพำนักระยะยาวในไทยพร้อมสิทธิประโยชน์ด้านไลฟ์สไตล์อื่นๆ ในมิติที่หลากหลาย ซึ่งบริษัทมีการเปิดรับพันธมิตรใหม่ๆ ทุกปีจากทุกด้านที่เกี่ยวกับเทรนด์ ไลฟ์สไตล์ เทคโนโลยี รถยนต์ หรือการกิน เพื่อเติมเต็มสิทธิประโยชน์แก่ผู้ถือบัตรที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นปีละ 5,000-6,000 คน
“ความร่วมมือในครั้งนี้ จะถือเป็นก้าวสำคัญที่จะส่งเสริมภาพลักษณ์ด้านศักยภาพการแพทย์ไทยสู่กลุ่มชาวต่างชาติที่มีกำลังซื้อสูงและมีคุณภาพ ส่งผลให้ประเทศไทยก้าวสู่การเป็นจุดหมายปลายทางอันดับต้น ๆ ของโลกสำหรับการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ หรือ Wellness Destination of the World อย่างยั่งยืนและแข็งแกร่ง” นายมนาเทศ กล่าว
เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : เครือ BDMS เปิดตัว Longevity Card บัตรสมาชิกดูแลสุขภาพใบละ 1 ล้านบาท รุกตลาด Ultra Luxury Wellness
ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine