“พลอย-พอลลี่ เฮสันต์” สานต่อความสำเร็จ “เจี้ยนชา” ล่าสุดแตกแบรนด์น้องใหม่ “Polly Tea” ชาใส-ชานมพรีเมียม ปักหมุดสาขาแรกที่สยามพารากอน ยึดโมเดลธุรกิจตามเจี้ยนชา เติบโตไปพร้อมกัน ปูพรมแฟรนไชส์ ตั้งเป้า 1,000 สาขาทั่วโลก พร้อมแผนส่งสองแบรนด์ IPO สหรัฐฯ ใน 5 ปี ภายใต้บริษัทเดียวกัน
หากพูดถึงร้านชาที่กำลังเป็นกระแส เชื่อว่าชื่อที่หลายคนจะเอ่ยขึ้นมาคือ เจี้ยนชา (JIAN CHA) แบรนด์ชาผลไม้พรีเมียมโดยเจ้าของคนไทยอย่าง พลอย-พอลลี่ เฮสันต์ ซึ่งเปิดตัวได้ 1 ปี 8 เดือน แต่ปัจจุบันขยายสู่ 50 สาขาแล้วในเวลาอันรวดเร็ว
พลอย เติบโตมาในครอบครัวที่ทำธุรกิจรถมือสอง ตัวเธอเองในวัย 30 ปี เคยผ่านการทำธุรกิจมาแล้วหลากหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นอาหารเสริม เสื้อผ้า รวมถึงเบเกอรี่ที่ขายอยู่ในร้านกาแฟดังอย่าง Cafe Amazon จนกระทั่งมาพบกับเพื่อนชาวจีนที่มีร้านชาอยู่ในชนบท ก่อนจะลงมือรีแบรนด์ใหม่ทั้งหมดและเกิดเป็นเจี้ยนชาอย่างที่ทุกคนรู้จักในประเทศไทย โดยปี 2567 ที่ผ่านมาสามารถทำรายได้รวมกว่า 78 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ด้วยความที่ตลาดอาหารและเครื่องดื่ม โดยเฉพาะร้านชานั้นเป็น Red Ocean ทำให้พลอยไม่ได้มองแค่ตลาดในประเทศไทยเท่านั้น แต่เล็งเห็นโอกาสในระดับโลก โดยทยอยเปิดสาขาเจี้ยนชาในต่างประเทศควบคู่กันไป ที่เมลเบิร์น สิงคโปร์ สเปน และเตรียมเปิดที่ลอสแอนเจลิส สหรัฐอเมริกา เดือนกุมภาพันธ์ปีหน้า สู่เป้าหมายเป็น Global Brand ที่มี 1,000 สาขาทั่วโลกภายในปี 2573
ล่าสุด เมื่อเจี้ยนชาติดตลาดในประเทศ และกำลังไปได้สวยในต่างแดน พลอย จึงต่อยอดความสำเร็จนี้แบบไม่รีรอ แตกไลน์ธุรกิจใหม่ในชื่อว่า Polly Tea (Polly Atelier Tea) แบรนด์ชานมและชาใสระดับพรีเมียมสไตล์ยุโรป โดยปักหมุดสาขาแรกที่สยามพารากอนได้ราว 3 สัปดาห์ ท่ามกลางกระแสตอบรับที่ดี ทำยอดขายเฉลี่ย 500 แก้วต่อวัน พร้อมตั้งเป้าให้เติบโตควบคู่กันไปกับเจี้ยนชา
แบรนด์น้องใหม่ Polly Tea ต่อยอดความสำเร็จเจี้ยนชา
“แรงบันดาลใจของ Polly Tea มาจากยุคที่ชาเริ่มเข้าสู่ยุโรป เมื่อเจ้าหญิงแคทเธอรีนแห่งโปรตุเกสนำวัฒนธรรมการดื่มชาสู่อังกฤษ จนเกิดเป็นธรรมเนียม Afternoon Tea ที่กลายเป็นสัญลักษณ์ของสังคมผู้หญิงยุโรป แบรนด์จึงอยากถ่ายทอดเสน่ห์แห่งยุคนั้นขึ้นมาใหม่” พอลลี่ กล่าว
ส่วนสาเหตุที่ตั้งชื่อแบรนด์ว่า Polly Tea นั้น ดัดแปลงมาจากชื่อ “พลอย” ด้วยความตั้งใจที่อยากนำแบรนด์ออกต่างประเทศ ต้องทำให้ต่างชาติที่ทำธุรกิจด้วยจำชื่อได้ง่าย POLLY จึงเป็นอะไรที่เก๋ และ POLLY ก็เป็นชื่อแทนของสาวยุโรปในยุคนั้นได้
เธอเปรียบเทียบให้เห็นถึงข้อแตกต่างระหว่างเจี้ยนชา และ Polly Tea ว่า Polly Tea เป็นแบรนด์ชานมและชาใส ตอบโจทย์คนรักสุขภาพ พร้อมทั้งมี Oat milk เพื่อเป็นทางเลือกให้กับลูกค้าที่แพ้นมวัว ขณะที่เจี้ยนชาเป็นชาผลไม้ ถ้าให้เปรียบคือ เจี้ยนชาจะเป็นผู้หญิงเอเชียในยุคแรกที่บุกเบิกการดื่มชาขึ้น ส่วน Polly Tea จะเป็นตัวแทนของผู้หญิงยุโรป โดยวางตำแหน่งให้เป็นชาพรีเมียม ราคาเริ่มต้นตั้งแต่ 95-165 บาท
นอกจากนี้ พลอยยังมองว่า การแตกแบรนด์เป็นเรื่องปกติ จะให้ทุกคนกินเจี้ยนชาทุกวันก็คงไม่ได้ มากไปกว่านั้น Longevity กำลังเป็นเทรนด์โลก การดื่มชาเพื่อสุขภาพกำลังมาแรง ในอนาคตผู้คนจะยอมจ่ายเพื่อสุขภาพ และคุณภาพชีวิตมากขึ้น
“Polly Tea จึงไม่ใช่แค่ชาแก้วหนึ่ง แต่คือ Tea with Personality หรูแต่ไม่เย่อหยิ่ง ละมุนแต่มั่นใจ เหมือนผู้หญิงที่เข้าใจตัวเองดีพอ และรู้ว่าความงามที่แท้จริง คือการได้เป็นตัวเองที่สุด”
สำหรับเมนูชาของ Polly Tea มีให้เลือกมากมาย อาทิ Lychee Milk Tea, Velvet Crimson Milk Tea, Sticky Rice Milk Tea, Green Grape Tea, Lychee Tea และ Maple Tea เป็นต้น
ตลาดชาพรีเมียมทั่วโลกโต 1.1 หมื่นล้าน ดัน Polly Tea โตพร้อมเจี้ยนชา
พลอย กล่าวว่า ตลาดชาพรีเมียมทั่วโลกเติบโตค่อนข้างมาก คาดว่าจะแตะ 326 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 1.1 หมื่นล้านบาท ภายในปี 2573 และเทรนด์ทุกๆ ประเทศก็กำลังเติบโต ไม่ว่าจะเป็นไทย ยุโรป และอเมริกา แม้จะมาพร้อมการแข่งขันที่รุนแรง และเป็น Red Ocean แต่นั่นหมายถึงการเติบโต ยิ่งมีคู่แข่งเยอะยิ่งดี เพราะลูกค้าจะได้เรียนรู้มากขึ้น ถ้าทำอยู่แบรนด์เดียวอาจจะใหม่เกินไป แต่ถ้าลูกค้าเคยกินร้านอื่นมาแล้ว ก็จะมีภาพจำ และมาเข้าร้านของเธอด้วย
โมเดลธุรกิจของ Polly Tea ยังคงยึดตามเจี้ยนชาเป็นหลัก นั่นคือการเดินหน้าขยายสาขาด้วยระบบแฟรนไชส์ 80% ผ่านการคัดเลือกพาร์ตเนอร์ที่เข้มข้น ลงทุนสาขาละประมาณ 5-6 ล้านบาทแล้วแต่ขนาด และอีกส่วนคือแบรนด์เปิดเอง 20% ทั้งโลเคชั่นที่เป็น สแตนด์ อโลน ช็อปปิ้งมอลล์ และปั๊มน้ำมัน โดย พอลลี่ ตั้งเป้าขยายสาขา 20-30 แห่งภายในประเทศช่วงไตรมาส 1 และสาขาแรกที่ต่างประเทศ ภายในไตรมาส 2 ปี 2569 ตามโลเคชั่นที่เจี้ยนชาไปบุกตลาดก่อนแล้ว แม้ Polly Tea และจะเป็นแบรนด์น้องใหม่ แต่ก็อยากให้เติบโต 1,000 สาขาทั่วโลก ภายใน 5 ปี
“อันที่จริง เรามองว่า Polly Tea มีโอกาสเติบโตได้ไวกว่าเจี้ยนชา เพราะด้านโอเปอร์เรชั่นค่อนข้างง่ายกว่าและสามารถทำซ้ำได้ ที่สำคัญแบรนด์เป็นเครื่องดื่มพรีเมียมยุคใหม่ มี Identity ไม่ซ้ำแบรนด์อื่นในตลาด ซึ่งเราคิดว่ายังไม่มีคู่แข่งทางตรง โดยจะโฟกัสตัวเองเป็นหลัก สู่เป้าหมายในระดับ Global”
ในต่างประเทศ Polly Tea จะเลือกทำตลาดประเทศที่มี GDP ค่อนข้างสูง สอดคล้องกันไปกับเจี้ยนชาที่เมลเบิร์น สิงคโปร์ และสเปน แน่นอนว่าเป็นความท้าทาย ทั้งเรื่องการค้า การนำเข้า ตลอดจนใบอนุญาตต่างๆ แต่ก็ยากที่จะมีคู่แข่งทำตามได้เช่นกัน โดยคาดว่าจะได้เห็น Polly Tea สาขาแรกที่เมลเบิร์น ช่วงไตรมาส 2 ปีหน้า เนื่องจากที่นีมีนักเรียนเอเชียและวัยรุ่นค่อนข้างเยอะ มีร้านอาหารไทยจำนวนมาก ทำให้มีฐานลูกค้าที่เป็นคนเอเชียมากถึง 60%
สำหรับตลาดในยุโรป พลอย ตั้งเป้าการเติบโตของ Polly Tea ไว้ใกล้เคียงกับเจี้ยนชา นั่นคือ มี 5 สาขาที่สเปนภายใน 2 ปี และหลังจากนั้นจะขยายทั่วยุโรป โดยมี 200 สาขาภายใน 5 ปี แม้จะมีบางแรนด์เข้าไปทำตลาดก่อนแล้ว แต่ก็มั่นใจว่าจะชนะในตลาดนี้
แม้จะวางเป้าหมายให้ Polly Tea เป็น Global Brand ในอนาคตอันใกล้นี้ แต่ พลอย กล่าวว่า จะต้องเข้าใจความเป็น Local ให้ได้มากที่สุด โดยจะคงเมนูเดิมไว้ 80% และอีก 20% เป็นเมนูที่ต้องปรับไปตามประเทศหรือพื้นที่นั้นๆ ในทางกลับกัน ไอเดียและความรู้ที่ได้จากต่างประเทศก็สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในไทยได้เช่นกัน
“ยิ่งเราทำงานยากกว่าคนอื่นมากเท่าไร โอกาสที่จะเกิดการทำตามก็ยากขึ้น ความแข็งแรงในตลาดก็จะมีมากกว่า ประเทศแถบยุโรปดื่มชากันมานานแล้ว ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เราอยากเข้าไปปลุก Culture เพราะแบรนด์อย่าง Polly Tea เป็นสิ่งที่ค่อนข้างใหม่ในยุโรป ก่อนหน้านี้เป็นยุคชานมไต้หวัน ปัจจุบันเป็นยุคชาจีน ตลาดชาก็เหมือนแฟชั่นที่จะหมุนไป เราต้องมองไปข้างหน้า 5-15 ปี จากนี้จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ต้องปรับตัวให้ทัน ที่สำคัญคือ Word of Mouth ทำอย่างไรให้ลูกค้าบอกต่อ ตกหลุมรักและไม่นอกใจ”
ทั้งนี้ พลอย กล่าวอีกว่า ปัจจุบันบริษัท เจี้ยนชา จำกัด ในประเทศไทย อยู่ภายใต้บริษัทโฮลดิงที่ฮ่องกง ในอนาคตมีแผนจะรวมบริษัท โอ้ พอลลี่ จำกัด เข้าไปด้วย เพื่อให้ทั้งสองแบรนด์เติบโตไปพร้อมๆ กัน โดยตั้งเป้าหมายว่าจะ IPO ในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในอีก 5 ปีข้างหน้า
เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : แลนด์มาร์กใหม่ต้องเช็กอิน! เปิดแล้ว POP LAND กลางกรุง เนรมิตพื้นที่สุดป๊อป 1,000 ตร.ม. เอาใจสาวกคาแร็กเตอร์ POP MART รับเทศกาล
ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine


