อัปเดต ณ 13 เม.ย. 2568 “เนสกาแฟ” ขาดตลาดชั่วคราว โดยเฉพาะ “เรดคัพ” สินค้าบนชั้นวางในซูเปอร์มาร์เก็ต-ไฮเปอร์มาร์เก็ต-ค้าปลีกและค้าส่งในกรุงเทพฯ โหรงเหรงต่อเนื่อง 3-5 วัน หลังข้อพิพาทเนสท์เล่-ตระกูลมหากิจศิริบานปลาย ล่าสุดค้าปลีกบางค่ายเริ่มจำกัดปริมาณซื้อแล้ว ด้านผู้ประกอบการร้านกาแฟรายย่อยลุ้นตัวโก่ง หลังศาลทรัพย์สินทางปัญญาตัดสินให้เนสท์เล่ขายต่อ แต่ยังมีศาลแพ่งที่ลุ้นผลไต่สวน 17 เมษายนนี้
ภายหลังจากเกิดความขัดแย้งระหว่าง เนสท์เล่ บริษัทอาหารยักษ์ใหญ่จากสวิตเซอร์แลนด์กับ “มหากิจศิริ” ตระกูลการเมืองผู้กว้างขวาง ซึ่งเป็นผู้ร่วมทุนฝ่ายไทยตั้งโรงงานผลิตเนสกาแฟที่จังหวัดฉะเชิงเทรา ภายใต้บริษัท ควอลิตี้ คอฟฟี่ โปรดักท์ส จำกัด และศาลแพ่งมีนบุรีได้ออกคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว ห้ามไม่ให้เนสท์เล่ทำการผลิต จ้างผลิต และจำหน่ายเนสกาแฟในเมืองไทยเมื่อต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา
ซึ่งส่งผลทำให้สต๊อกสินค้าเนสกาแฟหลายชนิด โดยเฉพาะสินค้ายอดนิยมอย่าง “เนสกาแฟเรดคัพ” ที่วางขายบนเชลฟ์ของซูเปอร์มาร์เก็ตรายใหญ่ ทั้งท็อปส์และกูร์เมต์ และที่ไฮเปอร์มาร์เก็ตและร้านค้าปลีกและส่งอย่างโลตัสและแม็คโครในกรุงเทพฯ หลายสาขาหมดลงชั่วคราวเป็นเวลาเกือบสัปดาห์จนถึงวันนี้ (13 เมษายน 2568) จากที่เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา ทางค่ายค้าปลีกยังแจ้งกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ระหว่างหารือร่วมกันทางออนไลน์ว่า ยังมีสต๊อกสินค้าเนสกาแฟพอที่จะรองรับลูกค้าได้ประมาณ 1-2 เดือน
ณ วันที่ 11 เมษายน 2568 พนักงานขายที่แม็คโคร สาขาจรัญสนิทวงศ์ เล่าว่า ภายหลังจากที่มีข่าวความขัดแย้งของสองบริษัทเกิดขึ้น สินค้าเนสกาแฟบางชนิดหมดสต๊อกในเวลาไม่กี่วัน
“แม้ว่าจะคุ้นเคยกับพฤติกรรมของลูกค้าของแม็คโคร ที่มาซื้อของคราวละมากๆ แต่ครั้งนี้สังเกตเห็นความผิดปกติที่เกิดขึ้นได้ ลูกค้ามาซื้อจำนวนมาก และมาซื้อในเวลาใกล้เคียงกัน ซึ่งที่ผ่านมาไม่ค่อยเห็นปรากฏการณ์แบบนี้เกิดขึ้น คาดว่าสาเหตุคงมาจากความกังวลว่าจะไม่มีสินค้าไว้ขาย ดังนั้นเพื่อให้บริการลูกค้าได้ทั่วถึง แม็คโครจึงจำกัดให้ซื้อได้เพียง 2 ชิ้นต่อครอบครัวเท่านั้น นอกจากเนสกาแฟเรดคัพ สินค้าเนสกาแฟประเภทอื่น ยังพอมีเหลืออยู่ในสต๊อกแต่ก็ไม่ได้มากนัก
“ลูกค้าไม่ได้เกิดการ panic เฮโลกันมาซื้อของเพื่อกักตุนสินค้าของจำเป็นกันอย่างหนัก เหมือนช่วงที่โควิดระบาด หรือตอนน้ำท่วมหนักๆ เมื่อ 10 กว่าปีที่ผ่านมา ดูจากปริมาณการซื้อ คนที่มาซื้อน่าจะเป็นผู้ประกอบการรายย่อย ร้านขายกาแฟ รถเข็นขายกาแฟมากกว่า” พนักงานแม็คโครอธิบาย และบอกว่ายังไม่ทราบว่าสินค้าจะเข้ามาส่งได้เมื่อไร แต่บริษัทก็มีสินค้ายี่ห้ออื่นๆ ไว้เป็นทางเลือกอยู่แล้ว
ไม่ใช่เพียงแม็คโครเท่านั้น จากการสำรวจในช่วงวันที่ 12-13 เมษายน 2568 พบว่า กูร์เมต์มาร์เก็ต ท็อปส์ และโลตัส มีสินค้าเนสกาแฟเรดคัพขนาดบรรจุ 200 กรัม เหลืออยู่ประมาณ 7-24 ขวด ส่วนขนาดบรรจุอื่นๆ และกาแฟชนิดอื่นๆ ก็ยังพอมีให้เห็นแต่ไม่ได้เต็มชั้นเรียงของเหมือนตามปกติ

“ตอนนี้สต๊อกของเนสกาแฟเรดคัพขนาด 200 กรัมที่กูร์เมต์ท่าพระเป็นศูนย์แล้ว ส่วนที่สาขาบางกะปิยังเหลืออีกประมาณ 20 ขวด และสาขางามวงศ์วานมีประมาณ 7-8 ขวด แต่หลังจากที่เราคุยกันไม่รู้ว่าสต๊อกจะยังอยู่ครบหรือเปล่า เห็นข่าวว่าศาลฯ ให้เนสท์เล่กลับมาขายได้แล้ว สถานการณ์อาจจะดีขึ้น” พนักงานกูร์เมต์มาร์เก็ตสาขาบางแค กล่าว

ส่วนทางด้านบริษัท เซ็นทรัล ฟู้ด รีเทล จำกัด ผู้บริหารท็อปส์ ซูเปอร์มาร์เก็ต ได้นำป้ายเล็กๆ มาปิดประกาศบนเชลฟ์บริเวณที่ขายเนสกาแฟเรดคัพที่ท็อปส์ซูเปอร์มาร์เก็ตบางสาขาว่า “ขออภัย สินค้าขาดส่งจากผู้ผลิต” และขออภัย! สินค้าขาดชั่วคราว


“ไม่รู้ว่าสถานการณ์จะยืดเยื้อแค่ไหน แต่เนสท์เล่คงจะดำเนินการเต็มที่ เพื่อจะหยุดผลกระทบในห่วงโซ่ของเนสท์เล่ ซึ่งมีทั้งผู้ประกอบการรายเล็ก ร้านค้าปลีก เกษตรกรผู้ปลูกกาแฟจำนวนมาก” พนักงานท็อปส์ สาขาซีคอนบางแค กล่าว

แม้ว่าศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง ในคดีหมายเลขดำที่ ทป 58/2568 ได้มีคำสั่งออกมาเมื่อวันที่ 11 เมษายน 2568 ยืนยันว่าบริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด เจ้าของเครื่องหมายการค้า “Nescafé” และ “เนสกาแฟ” สามารถกลับมาดำเนินธุรกิจเนสกาแฟในไทยได้ตามปกติ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป และเนสท์เล่ได้แจ้งลูกค้าและพันธมิตรทางธุรกิจให้ทราบว่าเนสท์เล่สามารถกลับมารับคำสั่งซื้อผลิตภัณฑ์เนสกาแฟได้ตามปกติแล้ว
แต่จนถึงขณะนี้สินค้าเนสกาแฟเรดคัพยังคงขาดสต๊อกชั่วคราวเหมือนเดิม ส่วนสินค้าที่มีราคาสูง อย่างเช่น เนสกาแฟ โกลด์ หรือเครื่องดื่มสำเร็จรูปเนสกาแฟกระป๋องยังไม่ได้เกิดปัญหาแต่อย่างใด
Forbes Thailand สอบถามไปยังบริษัท เนสท์เล่ ว่าเนสกาแฟที่ทางค้าปลีกสามารถกลับมาสั่งซื้อได้แล้วนั้น เป็นสินค้าที่ผลิตจากโรงงานในไทย หรือนำเข้าจากโรงงานของเนสท์เล่ ที่มีอยู่หลายแห่งในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะเวียดนามและฟิลิปปินส์ ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าโรงงานในประเทศไทยมาก และเป็นการลงทุนของเนสท์เล่เอง 100 เปอร์เซ็นต์ แต่ผู้บริหารไม่ได้ให้คำตอบที่ชัดเจนกลับมา
ตามสัญญาการร่วมทุน โรงงานในเมืองไทยดังกล่าวจะผลิตสินค้าเนสกาแฟ 3 ประเภทเท่านั้น ได้แก่ กาแฟผง กาแฟสำเร็จรูปผสม Blend & Blue และเนสกาแฟกระป๋องพร้อมดื่ม แต่จากการสำรวจพบว่า เนสกาแฟที่ขายในร้านโมเดิร์นรีเทลทั้งหลาย มีหลากหลายประเภท และมีทั้งที่ผลิตจากโรงงานในไทยและเนสท์เล่นำเข้าจากเวียดนาม และมาเลเซีย
ผู้ประกอบการรถเข็นลุ้นระทึก สต๊อกใหม่เร็วๆ นี้
นางสาวมุกดา ผู้ประกอบการรถเข็นขายเครื่องดื่มย่านหนองแขมรายหนึ่งเล่าว่า เมื่อก่อนเคยสั่งซื้อเนสกาแฟจากช่องทางออนไลน์ได้ แต่ตอนนี้ซื้อไม่ได้แล้ว จึงแวะมาดูที่กูร์เมต์ เพราะไปหลายที่แล้วของขาด ไม่รู้ว่าปัญหาจะจบอย่างไร กังวลเล็กน้อย เพราะลูกค้าชินกับรสชาติและกลิ่นของเนสกาแฟมานาน ถ้าไม่มีเนสกาแฟขาย คงต้องหาแบรนด์อื่นสำรอง แต่ก็ไม่รู้ว่าลูกค้าจะตอบรับมากแค่ไหน เพราะคนที่ดื่มกาแฟมานานก็จะติดรสชาติเดิมๆ หากเปลี่ยนไปใช้แบรนด์อื่นแทนก็มีความเสี่ยงเหมือนกัน อย่างไรก็ตาม จากคำสั่งศาลอาจจะได้ซื้อขายตามปกติเร็วๆ นี้

“เนสท์เล่ ขอยืนยันว่าเราเคารพกฎหมายเสมอมาและได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขในสัญญากับบริษัทควอลิตี้ คอฟฟี่ โปรดักส์ท อย่างเคร่งครัดมาโดยตลอด เนสท์เล่ได้พยายามทำทุกวิถีทางเพื่อแก้ไขสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เรารู้สึกยินดีที่ได้รับการยืนยันจากศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง ซึ่งทำให้เรากลับมาดำเนินธุรกิจเนสกาแฟได้ตามปกติ” คำกล่าวตามแถลงการณ์บริษัท

“หากไม่มีเนสกาแฟขายในเมืองไทย ก็อาจจะต้องหาแบรนด์อื่นมาทดแทน บ้านเรามีกาแฟสารพัดชนิด บางแบรนด์ก็กลิ่นหอมดี และคิดว่ารสชาติคงไม่แตกต่างกันมาก ถ้าเปิดใจลองก็คงจะรับได้ เท่าที่คุยกับเพื่อนๆ บางคนที่ดื่มแบรนด์อื่นๆ เขาก็บอกเราว่าแบรนด์ที่เขาดื่มก็เด้งดีเหมือนกัน หรือบางทีก็อาจจะเปลี่ยนไปลองกาแฟผสมโสมไปเลย เราเชื่อว่าปัญหาคงจะจบลงได้ และเนสท์เล่คงไม่ยอมถอนตัวจากเมืองไทย ซึ่งเป็นหนึ่งใน strategic country ของเขาไปได้ง่ายๆ” ลูกค้าเนสกาแฟที่แม็คโคร สาขาจรัญสนิทวงศ์ บอก
เนสท์เล่ยืนยันลงทุนในไทยต่อเนื่อง
ปัจจุบัน ประเทศไทยเป็นตลาดที่มีความสำคัญระดับต้นๆ ของโลก เพราะส่วนแบ่งตลาดที่สูง ขนาดตลาดกาแฟในเมืองไทยที่มีมูลค่ากว่า 30,000 ล้านบาทต่อปี และเคยถูกคาดการณ์ว่าเคยมีมูลค่าอยู่ที่ 60,000 ล้านบาทก่อนโควิดระบาด
ความสำคัญของเนสกาแฟในเมืองไทย ยังสะท้อนจากการเลือกเปิดตัวสินค้าใหม่ของเนสกาแฟเป็นที่แรกของโลก อาทิ Nescafe Triple Espresso หรือ Nescafe Gold in Cappuccino, Latte Macchiato and White Espresso ที่พัฒนาเพื่อตลาดเมืองไทยโดยเฉพาะ
ดังนั้น เนสท์เล่ยังยืนยันที่จะขยายการลงทุนในไทยอย่างต่อเนื่องในอนาคตด้วยการส่ง เรมี เอเจล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มประเทศในภูมิภาคเอเชีย โอเชียเนีย และแอฟริกา ของเนสท์เล่ เข้าหารือกับนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ระหว่างที่ได้เดินทางไปเข้าร่วมประชุม World Economic Forum ประจำปี 2568 ที่ดาวอส ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ในปลายเดือนมกราคมที่ผ่านมา ถึงแนวทางการส่งเสริมการลงทุนในประเทศไทย โดยเฉพาะการสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนให้กับอุตสาหกรรมกาแฟไทย
สำหรับในปีนี้เนสท์เล่ มีแผนจะลงทุนเพิ่มเติมเพื่อขยายสายการผลิต สินค้าเนสกาแฟ และสนับสนุนเกษตรกรไทยในการขยายพื้นที่เพาะปลูกกาแฟ จากที่ก่อนหน้านี้เนสท์เล่ ได้ใช้เงินลงทุนในประเทศไทยไปกว่า 22,800 ล้านบาทตั้งแต่ปี 2561-2567 เพื่อขยายสายการผลิตสินค้าต่างๆ ทั้งกลุ่มผลิตภัณฑ์กาแฟ เครื่องดื่ม UHT และสินค้าอื่นๆ
ภาพ: พิชญ์สินี จิตรพลีชีพ
เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : สรุปประเด็น ทำไม เนสท์เล่ ถึงไม่สามารถขายผลิตภัณฑ์ ‘เนสกาแฟ’ ให้รายย่อยได้ และเรื่องนี้กระทบกับใคร?
ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine