ส่องผลประกอบการ “เอ็มเค-ตี๋น้อย” รายได้โตแต่กำไรหด จับตาสงครามบุฟเฟต์สุกี้-ชาบู เพิ่มอุณหภูมิเดือด เมื่อเซ็นทรัล เรสตอรองส์ โดดร่วมวงด้วยการส่ง "ลัคกี้" ชิงส่วนแบ่งตลาด 2.5 หมื่นล้าน
ตลาดสุกี้ชาบูที่ปัจจุบันมีมูลค่ากว่า 2.5 หมื่นล้านบาท ยังคงแข่งขันกันอย่างดุเดือดไม่แพ้อุณหภูมิในหม้อน้ำซุป โดยเฉพาะสองแบรนด์เจ้าตลาดอย่าง เอ็มเค และ สุกี้ตี๋น้อย ที่ห้ำหั่นกันด้วยโปรโมชั่นตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา เพื่อแย่งชิงกลุ่มลูกค้าตลาดแมส
ถึงแม้คนที่ได้รับประโยชน์สูงสุดคือผู้บริโภค แต่อาจไม่ใช่สำหรับผู้ประกอบการ เนื่องจากผลประกอบการไตรมาสล่าสุด และของ 9 เดือนแรกในปีนี้ต่างก็ลดลงเช่นเดียวกัน สะท้อนถึงความหนักหน่วงที่ต้องเผชิญ
เท่านั้นไม่พอ ผู้เล่นเจ้าใหม่หน้าเก่าอย่าง เซ็นทรัล เรสตอรองส์ กรุ๊ป (CRG) ยังกระโดดเข้ามาร่วมวงในสมรภูมินี้ ด้วยการทุ่มเม็ดเงินกว่า 940 ล้านบาท ซื้อหุ้น ลัคกี้ สุกี้ 40% จากบริษัท มิราเคิล แพลนเนท จำกัด ตอกย้ำว่าธุรกิจนี้เป็น Red Ocean อย่างแท้จริง
เอ็มเค รายได้เพิ่ม แต่กำไรหด
เอ็มเค เรสโตรองต์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เจ้าตลาดสุกี้ซึ่งปัจจุบันครองส่วนแบ่งในตลาดกว่า 60% ได้รายงานผลประกอบการล่าสุด พบว่าไตรมาส 3 ปี 2568 มีรายได้ 3,884 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 202 ล้านบาท หรือ 5.5% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า และยอดขายสาขาเดิมก็ได้ปรับเพิ่มขึ้น 5.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า
รายได้ที่เพิ่มขึ้นนี้ เป็นผลมาจากการจัดทำโปรโมชั่นบุฟเฟต์ในราคา 299 บาท ซึ่งได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี โดยเฉพาะในเดือนกันยายนที่ผ่านมา ได้มีการปรับเพิ่มเมนูบุฟเฟต์ให้มีความหลากหลายมากขึ้น ส่งผลให้ยอดขายสาขาเดิมในเดือนกันยายนเติบโตถึง 12%
อย่างไรก็ตาม แม้รายได้ของเอ็มเคจะเพิ่มขึ้นเนื่องจากการทำโปรโมชั่น และสามารถทำกำไรขั้นต้นได้ 2,482 ล้านบาท แต่ก็ลดลง 0.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยสัดส่วนกำไรขั้นต้นต่อรายได้จากการขายและบริการก็ได้ปรับลดลงจาก 67.8% ในไตรมาส 3 ของปี 2567 เป็น 63.9% ในไตรมาสนี้ ซึ่งเอ็มเคระบุว่าสาเหตุหลักเป็นผลมาจากการจัดทำโปรโมชั่นบุฟเฟต์เช่นกัน
สำหรับกำไรสุทธิของเอ็มเคนั้น ปรับลดลงเช่นกัน จาก 341 ล้านบาท ในไตรมาส 3 ของปี 2567 เป็น 226 ล้านบาท ในไตรมาสนี้ ลดลง 115 ล้านบาท หรือคิดเป็น 33.7%
ขณะที่ตัวเลข 9 เดือนแรกของปี 2568 เอ็มเคทำรายได้ 11,218 ล้านบาท ลดลง 4.4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า และยอดขายสาขาเดิมก็ได้ปรับลดลง 4.1% จากปีก่อนหน้าเช่นกัน เนื่องจากเศรษฐกิจที่ชะลอตัว และกำลังซื้อของผู้บริโภคที่อ่อนตัวลง อีกทั้งในช่วงเดือนมกราคม-พฤษภาคม ยังไม่ได้มีการจัดทำโปรโมชั่นบุฟเฟต์ ส่งผลให้ในช่วงเวลาดังกล่าว ยอดขายสาขาเดิมมีการปรับตัวลดลงค่อนข้างมาก
สำหรับกำไรงวด 9 เดือนแรกของปี 2568 เอ็มเคทำได้ 735 ล้านบาท ลดลง 353 ล้านบาท หรือลดลงคิด 32.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าที่เคยทำได้ 1,088 ล้านบาท
ตี๋น้อยโกยรายได้ 8,000 ล้าน แต่กำไรไตรมาส 3 น้อยกว่าเอ็มเค
มาดูทางด้าน สุกี้ตี๋น้อย ภายใต้บริษัท บีเอ็นเอ็น เรสเตอรองท์ กรุ๊ป จำกัด ที่เพิ่งประกาศว่ายอดขาย 9 เดือนแรกของปี 2568 ได้ทะลุ 8,000 ล้านบาทเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ล่าสุด JMART ที่ถือหุ้นใน บีเอ็นเอ็น เรสเตอรองท์ กรุ๊ป อยู่ 30% ก็ได้ประกาศผลประกอบการของสุกี้ตี๋น้อยออกมาเช่นกัน โดยระบุว่า ณ วันที่ 30 ตุลาคม 2568 สุกี้ตี๋น้อยมีสาขาทั้งหมด 86 สาขา, Teenoi BBQ (บุฟเฟต์ปิ้งย่าง) 7 สาขา และ Teenoi Gold (บุฟเฟต์พรีเมียม) 1 สาขา รวมทั้งหมด 96 สาขา
โดยกำไรสุทธิ 9 เดือนแรกของปี 2568 อยู่ที่ 803 ล้านบาท ลดลง 9.77% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่ทำได้ 890 ล้านบาท และหากดูเฉพาะไตรมาส 3 ปีนี้ สุกี้ตี๋น้อยทำกำไรได้ 221 ล้านบาท ลดลง 21% จากปีก่อนหน้า ที่ทำได้ 280 ล้านบาท โดยกำไรไนไตรมาส 3 ปีนี้ยังกลับมาน้อยกว่าเอ็มเคอีกด้วย และลดลงทุกไตรมาสในปีนี้เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า
- ไตรมาส 1 กำไร 271 ล้านบาท ลดลง 2.1% จากปี 2567 ที่ 277 ล้านบาท
- ไตรมาส 2 กำไร 311 ล้านบาท ลดลง 6.7% จากปี 2567 ที่ 333 ล้านบาท
- ไตรมาส 3 กำไร 221 ล้านบาท ลดลง 21% จากปี 2567 ที่ 280 ล้านบาท
- 9 เดือนแรก กำไร 803 ล้านบาท ลดลง 9.77% จากปี 2567 ที่ 890 ล้านบาท
CRG เพิ่มอุณหภูมิเดือด ส่ง ลัคกี้ ชิงตลาด
มาที่ล่าสุดอย่าง ลัคกี้สุกี้ ซึ่งเซ็นทรัล เรสตอรองส์ กรุ๊ป (CRG) จากกลุ่มเซ็นทรัล ทุ่มเงิน 940 ล้านบาท ซื้อหุ้น 40% จากเจ้าของแบรนด์คือ บริษัท มิราเคิล แพลนเนท โดยเล็งเห็นว่าธุรกิจร้านสุกี้ในรูปแบบบุฟเฟต์ยังเป็นมีศักยภาพและมีโอกาสการเติบโตในอนาคต
โดย CRG ระบุว่า ปัจจุบัน ณ วันที่ 31 ตุลาคม 2568 มีสาขาที่เปิดดำเนินกิจการทั้งหมด 38 สาขา ซึ่งประกอบด้วยร้านลัคกี้สุกี้ จำนวน 27 สาขา และลัคกี้บาร์บีคิว จำนวน 11 สาขา
ที่สำคัญคือ CRG จะนำความเชี่ยวชาญทางด้านการบริหารจัดการด้านธุรกิจอาหารและเทคโนโลยี ตลอดจนเครือข่ายพันธมิตรทางการค้าในปัจจุบันมาสนับสนุนให้ลัคกี้สุกี้และลัคกี้บาร์บีคิวเติบโตในด้านผลการดำเนินงานและการขยายธุรกิจให้เป็นไปตามเป้าหมายในอนาคต
มาดูตัวเลขของ มิราเคิล แพลนเนท กันบ้าง ข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ระบุว่า ในปี 2565 มีรายได้รวม 79,744,413 บาท ปี 2566 มีรายได้รวม 409,193,214 บาท เพิ่มขึ้น 413% และปี 2567 มีรายได้รวม 1,015,456,241 บาท เพิ่มขึ้น 148%
ในส่วนของกำไร ปี 2565 มีกำไร 2,668,055 บาท ปี 2566 มีกำไร 46,307,067 บาท เพิ่มขึ้น 1,635% และปี 2567 กำไร 108,433,400 เพิ่มขึ้น 134%
จะเห็นได้ว่าทั้งเอ็มเคและสุกี้ตี๋น้อยต่างก็มีรายได้ที่เพิ่มขึ้นจากการทำโปรโมชั่น แต่กำไรก็ลดลงจากการทำโปรโมชั่นเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะในไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ที่ทั้งสองแบรนด์เริ่มทำสงครามราคากัน
น่าจับตามองเป็นอย่างยิ่งว่าตลาดบุฟเฟต์สุกี้-ชาบูจะเป็นอย่างไรต่อไป โดยเฉพาะเมื่อมีกลุ่มเซ็นทรัลที่ตัดสินใจเสริมพอร์ตด้วยลัคกี้สุกี้มาเป็นอีีกตัวแปรสำคัญ
อ้างอิง
- MK GROUP เปิดกลยุทธ์ Value Strategy พิชิตใจลูกค้า สร้างการเติบโตปี 68 ด้วย ‘ความเข้าใจ’
- คำอธิบายและวิเคราะห์ของฝ่ายจัดการ ไตรมาสที่ 3 สิ้นสุดวันที่ 30 ก.ย. 2568 บริษัท เอ็มเค เรสโตรองต์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)
- คำอธิบายและวิเคราะห์ของฝ่ายจัดการ ไตรมาสที่ 3 สิ้นสุดวันที่ 30 ก.ย. 2568
เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : CRG เครือเซ็นทรัล กระโดดร่วมวงสงครามหม้อเดือด เข้าซื้อหุ้น 40% ใน ‘ลัคกี้ สุกี้’
ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine


