MALEE ปรับวิสัยทัศน์ใหญ่ ตั้งเป้าสู่บริษัทสุขภาพระดับโลก ลุยสร้างสินค้า ขยายตลาดใหม่ ตั้งเป้าโต 10-15% ในปี 2026-2028 - Forbes Thailand

MALEE ปรับวิสัยทัศน์ใหญ่ ตั้งเป้าสู่บริษัทสุขภาพระดับโลก ลุยสร้างสินค้า ขยายตลาดใหม่ ตั้งเป้าโต 10-15% ในปี 2026-2028

MALEE ประกาศวิสัยทัศน์ ‘Beyond Fruit to Global Wellbeing’ เดินหน้าทรานส์ฟอร์มครั้งใหญ่ ก้าวสู่ ‘Global Wellbeing Company’ พร้อมลุยสร้างแบรนด์ตัวเองเตรียมเปิดตลาดสินค้าเซ็กเมนต์ใหม่ และขยาย territory ใหม่ ปักหมุดจีน ตะวันออกกลาง อินโดนีเซีย และเกาหลีใต้ ตั้งเป้าเติบโตธุรกิจปีละ 10-15% ในปี 2026-2028


    เอกรินทร์ พินิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มาลี กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ MALEE ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ เปิดเผยว่า ภายหลังจากสร้าง foundation ของธุรกิจที่แข็งแกร่งให้กับบริษัท ด้วยการ Redefining Brand and Prioritize Portfolio ด้วยการเพิ่มการเติบโตสัดส่วนรายได้ของแบรนด์มาลี มีการขยายตลาดทั้งในและต่างประเทศ และทำองค์กรให้ lean ในปี 2025

    “บริษัทฯ พร้อมเดินหน้าสร้างบริบทครั้งใหม่ในปี 2026 ด้วยวิสัยทัศน์ ‘Beyond Fruit to Global Wellbeing’ เป็นการทรานส์ฟอร์มองค์กรครั้งสำคัญสู่ ‘Global Wellbeing Company’ เพื่อการเติบโตที่มั่นคง ด้วยการขยายสินค้าภายใต้แบรนด์มาลีในตลาดต่างประเทศเพิ่มขึ้น ผ่าน 3 กลยุทธ์คือ 1.Brand Building Activities 2. Selecting Strategic Markets to Penetrate และ 3. Enter Markets with Relevant Portfolio

    “เป็นการสร้างแบรนด์ด้วยกิจกรรมต่างๆ และการทำการโฆษณาในประเทศเดิม พร้อมส่งสินค้านวัตกรรมเข้าไปแข่งขันใน Categories ที่มาลีไม่เคยเข้าไปทำตลาดมาก่อน รวมทั้งขยายเข้าไปใน territories ใหม่ๆ ในตลาดที่มีศักยภาพสูง เน้นจังหวัดหรือเมืองระดับ 1-2 tier ได้แก่ จีน, เกาหลีใต้ ตะวันออกกลาง และอินโดนีเซีย

เอกรินทร์ พินิจ


    “โดยในประเทศจีนและเกาหลีใต้ จะเน้นทำตลาดน้ำมะพร้าวเป็นหลัก ส่วนตะวันออกกลาง และอินโดนีเซีย จะทำตลาดน้ำผลไม้พรีเมียม สำหรับตลาดในตะวันออกกลางนั้น บริษัทเข้าไปทำตลาดที่สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์และคูเวตแล้ว และกำลังจะขยายตลาดไปยังซาอุดีอาระเบีย การ์ต้า และจอร์แดนในอนาคต”

    “เราจะยกระดับแบรนด์ Malee สู่การเป็น Wellness Lifestyle Brand ระดับภูมิภาค ซึ่งเป็นก้าวสำคัญสู่การเป็นแบรนด์ระดับโลก โดยใช้นวัตกรรมเป็นหัวใจหลักในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ตอบโจทย์ผู้บริโภคในแต่ละประเทศ พร้อมรุกตลาดใหม่” เรืองรัตน์ ว่องสุวรรณเลิศ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส สายงานการตลาด บริษัท มาลี กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ MALEE กล่าว

    นอกจากนี้ยังขยายพอร์ตโฟลิโอสู่การเป็นผู้พัฒนาผลิตภัณฑ์และรับจ้างผลิตไปในสินค้าที่ครบวงจรและหลากหลาย เช่น เครื่องดื่มน้ำมะพร้าว นมจากพืช (Plant-based milk), ผลิตภัณฑ์ที่นำนมวัวเป็นวัตถุดิบหลักไปแปรรูป (Dairy milk), ชาและกาแฟ พร้อมทั้งมุ่งสร้างความมั่นคงกับพันธมิตรหลักและสนับสนุนโซลูชันที่ยั่งยืน เพื่อขยายฐานลูกค้าใหม่เพิ่มโอกาสทางการตลาดและเป็นพันธมิตรที่ลูกค้าเลือกเป็นอันดับแรก (Becoming the ‘Partner of Choice’)

    ในส่วนของ Malee Applied Science (MAS) หน่วยงานวิจัยและพัฒนานวัตกรรมที่เน้นผลิตภัณฑ์มีมูลค่าเพิ่มสูงในด้านอาหาร อาหารเสริม และผลิตภัณฑ์ดูแลความงาม ที่มีความเชี่ยวชาญเทคโนโลยีที่หลากหลาย ทั้ง Agri Tech, Food Tech, Nano Tech, Bio Tech MAS จะเป็นอาวุธลับอันใหม่ของมาลีที่จะคิดค้นนวัตกรรมที่สอดคล้องกับแนวโน้มความต้องการของผู้บริโภค และขยายขอบเขตธุรกิจของบริษัทเพื่อสร้างโอกาสเติบโตและแหล่งรายได้ใหม่ ที่จะเป็น New S Curbe เพิ่มเติมนอกเหนือจากธุรกิจหลักที่ดำเนินอยู่

เรืองรัตน์ ว่องสุวรรณเลิศ


    กลยุทธ์ทั้งหมดนี้จะทำให้สัดส่วนรายได้ของแบรนด์มาลี เพิ่มขึ้นจากเดิม 35% เป็น 55% ในอีก 3 ปีข้างหน้า และทำให้สัดส่วนรายได้ของบริษัทในต่างประเทศเพิ่มจาก 40% เป็น 55% ของรายได้รวมในปี 2028 เช่นเดียวกัน

    “ไม่เพียงแต่สัดส่วนรายได้จากต่างประเทศจะเพิ่มขึ้น ในปี 2028 แต่แบรนด์มาลีจะกลายเป็นแบรนด์ที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในระดับภูมิภาค (Regional Trusted brand & Business Partner) รายได้ของมาลีจะเติบโตเฉลี่ยปีละ 10-15% ในปี 2026-2028 จากยอดขาย 8,456 ล้านบาทในปี 2024” เอกรินทร์กล่าว

    ส่วนการขยายตลาดในประเทศ บริษัทจะขยาย Coverage และ Market Segment ด้วยการรักษาฐานช่องทางการจัดจำหน่ายเดิม พร้อมเร่งการเติบโตในช่องทาง Food Service อาทิ ร้านอาหาร ร้านฟาสต์ฟู้ด คาเฟ่ เพื่อให้ผู้บริโภคได้รับประสบการณ์ใหม่จากสินค้าแบรนด์มาลีที่เข้าไปเป็นส่วนประกอบของอาหารและเครื่องดื่มต่างๆ

    ส่วนในช่องทางซูเปอร์มาร์เก็ตและไฮเปอร์มาร์เก็ต บริษัทจะเพิ่มจำนวนรายการสินค้า แคมเปญพิเศษ และเพิ่มการมองเห็นบนเชลฟ์สินค้า ขณะเดียวกันก็จะขยายครอบคลุมผู้บริโภคในช่องทางร้านสะดวกซื้อทั่วประเทศ

    ปัจจุบันตลาดน้ำผลไม้ในเมืองไทยมีมูลค่าประมาณ 12,000 ล้านบาท แบ่งเป็นตลาดน้ำผลไม้พรีเมียม 4,000 ล้านบาท และตลาดน้ำมะพร้าว 1,000 ล้านบาท ที่เหลือเป็นอื่นๆ แบรนด์มาลีเป็นผู้นำตลาดทั้ง 2 Categories ด้วยส่วนแบ่งตลาดกว่า 30% โดยน้ำมะพร้าวของมาลีเพิ่งจะขึ้นมาเป็นผู้นำตลาดเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา เป็นครั้งแรกที่เปิดตัวสู่ตลาดใน 10 ปีที่ผ่านมา


    “ปี 2025 ถือว่าเป็นปีที่สาหัสมากสำหรับธุรกิจน้ำผลไม้พร้อมดื่มหลายแบรนด์ เพราะการส่งออกสะดุดอันเนื่องมาจากปัญหาประเทศเพื่อนบ้านทั้งในกัมพูชาและเมียนมาในไตรมาส 2-3 ที่ผ่านมา ประกอบกับออร์เดอร์จากสินค้ารับจ้างผลิตที่ลดลง คิดว่าปัญหาจากเพื่อนบ้านน่าจะเกิดในระยะสั้นและคงจะเริ่มคลี่คลายลงหลังจากการพูดคุยเจรจากันเมื่อเร็วๆ นี้” เอกรินทร์กล่าว

    เขาบอกอีกว่า บริษัทได้พูดคุยและอัพเดทสถานการณ์กับตัวแทนจำหน่ายในกัมพูชาทุกวัน และขณะนี้มาลีได้ชะลอการทำตลาดและการออกสินค้าใหม่ๆ แต่พร้อมกลับไปทำตลาดอีกครั้งเมื่อสถานการณ์ดีขึ้น อย่างไรก็ตามสัดส่วนรายได้จากกัมพูชามีเพียง 4% เท่านั้น

    “เราอยู่ในวงการสินค้าเกษตร ขณะนี้ยังไม่เห็นสัญญาณลบที่จะมีผลกระทบกับต้นทุนของบริษัท ส่วนเรื่องภาษีส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐฯ 19% ไม่น่าจะมีผลกระทบกับเรา เพราะเพื่อนบ้านก็มีภาษีอยู่ในระดับใกล้เคียงกัน ในเชิงการแข่งขันจึงไม่ได้แย่ลง ประกอบกับเรา diversify พอร์ตที่หลากหลาย จากน้ำผลไม้ น้ำผัก น้ำมะพร้าว ผลไม้กระป๋องมาลี และผลิตภัณฑ์นมตราฟาร์มโชคชัย และสินค้ารับจ้างผลิต อาทิ กาแฟ ชา จนถึงน้ำอัดลม ทำให้เราสามารถบริหารผลกระทบได้ดีกว่าบริษัทที่ขายสินค้าเพียงอย่างเดียว” เอกรินทร์กล่าว

    สำหรับแผนลงทุนในอนาคต จะใช้งบประมาณการตลาดในต่างประเทศมากกว่าในประเทศ เพื่อสร้างการรับรู้แบรนด์มาลี และงบบางส่วนในต่างประเทศจะใช้ปรับปรุงเครื่องจักรให้เป็นออโตเมชั่นมากขึ้น และลงทุนนำ AI และไอทีมาทำงานมากขึ้น เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจ ส่วนเรื่องสินค้าใหม่ ในอนาคตบริษัทวางแผนจะพัฒนาสินค้าใหม่ออกสู่ตลาด 2-3 รายการต่อปี เพื่อตอบสนองเทรนด์สุขภาพ

    ปัจจุบัน มาลีมีโรงงานทั้งหมด 3 แห่ง คือ ที่ปากช่อง ผลิตนม UHT น้ำผลไม้ และนมพาสเจอร์ไรซ์ มีกำลังผลิต 177 ล้านลิตร ที่สามพราน นครปฐม ผลิตน้ำผลไม้กระป๋อง กล่อง UHT และขวดเพ็ท และอื่นๆ มีกำลังผลิต 250 ล้านลิตร ส่วนโรงงานในเวียดนามมีกำลังการผลิต 300 ล้านลิตร ผลิตขวดเครื่องดื่ม น้ำอัดลม และอื่นๆ นอกจากนี้ยังมีฟาร์มโคนมที่บึงกาฬ ผลิตน้ำนมดิบ 3.3 ล้านลิตรต่อปี

    บริษัทมีผลประกอบการในครึ่งปีแรกอยู่ที่ 3,824 ล้านบาท แบ่งเป็น รายได้จากสินค้าแบรนด์ของมาลี 35% ธุรกิจรับจ้าง 64% และที่เหลืออีก 1% เป็นธุรกิจจากนม



ภาพ: MALEE



เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : MK เผย ความสำเร็จ 'โมเดลบุฟเฟต์ 299 บาท' ดันยอดขายรวมโต 14.3% ลูกค้าใช้บริการซ้ำมากถึง 41%

ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine