ครั้งแรกของลักชัวรี่ ซาลอนไทย “KIKI Beauty Space” ปิดดีลแฟรนไชส์มูลค่า 20 ล้านบาท สู่นครเวียงจันทน์ สปป.ลาว ขณะเดียวกันในไทยคาดว่าปีนี้จะทำรายได้ราว 110 ล้านบาท แม้ไม่มีแผนขยายสาขา แต่เร่งพัฒนาโปรดักต์เพื่อเพิ่มสัดส่วนรายได้ ตั้งเป้าปี 2569 เติบโตก้าวกระโดด 200%
ใครเคยเดินแถวสยามสแควร์ เชื่อว่าต้องเคยเห็น KIKI Beauty Space (กีกี้ บิวตี้ สเปซ) ที่ตั้งเด่นอยู่ตรงหัวมุมซอย 3 ลักชัวรี่ ซาลอน แห่งนี้ก่อตั้งโดย ก้องภพ เอื้อศิริทรัพย์ ผู้บริหารรุ่นใหม่ไฟแรงของ บริษัท นับเงินไม่ทัน จำกัด ที่ล่าสุดฉลองเข้าสู่ปีที่ 5 ด้วยการขยายสาขาไปต่างประเทศได้สำเร็จ เตรียมปักหมุดสาขานครหลวงเวียงจันทน์ สปป.ลาว ในเดือนมีนาคม 2569 ด้วยมูลค่าแฟรนไชส์กว่า 20 ล้านบาท
โดย KIKI Beauty Space สาขานครหลวงเวียงจันทน์ จะตั้งอยู่ที่ถนนคูเวียง ย่านธุรกิจและแฟชั่น ใกล้ Parkson Laos ห้างหรูใจกลางเมืองที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของ สปป.ลาว ด้วยโมเดลให้บริการความงามแบบ One Stop Service บนพื้นที่แฟล็กชิป สโตร์ 4 ชั้นเหมือนสาขาสยามสแควร์ พร้อมสร้างจุดขายด้วยการเปิดคาเฟ่ให้บริการอาหารและเครื่องดื่ม
ลักชัวรี่ซาลอนไทยแบรนด์แรกที่ขยายสู่ 'ลาว'
ก้องภพ กล่าวว่า การที่ KIKI Beauty Space ขยายแฟรนไชส์สู่ สปป.ลาว ได้สำเร็จถือเป็นปรากฎการณ์ครั้งสำคัญในแวดวงซาลอนของไทย เพราะเป็นการขยายแฟรนไชส์ธุรกิจลักชัวรี่ บิวตี้ ซาลอน สู่ต่างแดนได้เป็นรายแรก
โดยแบรนด์ได้ให้สิทธิ์ผู้ถือมาสเตอร์แฟรนไชส์ที่ลาวสามารถขายแฟรนไชส์ในประเทศลาวต่อได้ และแบ่งโมเดลให้สามารถเปิดสาขาได้เป็น 2 แบบ แบบแรก คือ Full Service มีทั้งแผนกทำผม ตัด ดัด ยืด ทำสีผม ทำทรีทเมนท์ ต่อผม แวกซ์คิ้ว ต่อขนตา ทำเล็บ รวมถึงให้บริการสปามือเท้า ทาสีเจล และแบบที่สองคือ Hair Salon อย่างเดียว พร้อมกับนำโปรดักต์ของ KIKI Beauty ไปให้บริการในร้านด้วย อาทิ แชมพู ทรีทเมนท์ หรือ Hair Oil รวมถึงโปรดักต์ Hair Care ของแบรนด์ต่างประเทศกว่า 10 แบรนด์ที่เป็นพาร์ตเนอร์

“ลาวถือเป็นโอกาสสำคัญ ผู้ที่ติดต่อซื้อแฟรนไชส์เป็นลูกค้าของ KIKI อยู่แล้ว และใช้บริการเป็นประจำในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ทุกครั้งที่เดินทางมาประเทศไทยต้องแวะมาที่ร้านเรา จึงรู้สึกว่าทำไมที่ลาวไม่มีร้านแบบนี้ กลายเป็นจุดเริ่มต้นให้อยากมีบิวตี้ ซาลอน มาตรฐานแบบนี้ในประเทศเขา คล้ายกับวันแรกที่ KIKI เริ่มก่อตั้งขึ้นในประเทศไทย” ก้องภพ กล่าว
ด้าน จินดาวร เพชรหลวงศรี ผู้บริหารบริษัท Miracle Lao Sol ในฐานะผู้บริหาร กีกี้ บิวตี้ สเปซ สปป.ลาว กล่าวว่า จุดเริ่มต้นในการติดต่อซื้อแฟรนไชส์มาจากการเป็นลูกค้าที่ KIKI Beauty Space มาก่อน ทุกครั้งที่มากรุงเทพฯ จะพักใกล้ย่านสยาม และมักมาใช้บริการเป็นเวลา 2 ปีแล้ว เห็นถึงศักยภาพในการให้บริการบิวตี้ ซาลอนที่ครบวงจร จึงตัดสินใจติดต่อขอซื้อแฟรนไชส์
โดยตั้งเป้าเปิดในย่านธุรกิจ เพราะเป็นโซนที่มีธนาคารเปิดให้บริการเยอะเป็นสิบแห่ง มีทั้งกลุ่มลูกค้า พนักงานบริษัท นักธุรกิจ กลุ่มลูกค้าต่างชาติ กลุ่ม Expat และคณะทำงานสถานทูตต่างๆ ในลาว อีกทั้งจะมีจุดขายด้วยการเปิดคาเฟ่ชั้นล่างด้วย ให้บริการทั้งเครื่องดื่ม เค้ก และอาหารคาว ซึ่งจะถือเป็นลักชัวรี่ บิวตี้ ซาลอนรายแรกในลาวที่มีบริการครบครันในรูปแบบนี้
ดันโปรดักต์เพิ่มรายได้ ในไทยไม่เน้นขยายสาขา
KIKI Beauty Space ในไทยก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 2563 ด้วยบริการครบวงจรตั้งแต่ทำผม ทำเล็บ ต่อผม ทำขนตา และแต่งหน้า โดยคอนเซ็ปต์ของแบรนด์คือ “ลักชัวรี่ บิวตี้ เดสติเนชั่น” ที่ต้องการให้ลูกค้าสามารถทำสวยได้ตั้งแต่ผมจรดเท้า และใช้บริการได้ครบจบในที่เดียว โดยปัจจุบันมีอยู่ 2 สาขา ได้แก่ แฟล็กชิป สโตร์ ที่สยามสแควร์ ซอย 3 และแฮร์ซาลอนที่เมกา บางนา ซึ่งปัจจุบันมีลูกค้าที่เป็นสมาชิกอยู่มากกว่า 5 หมื่นราย ตั้งแต่อายุ 20-60 ปี ไม่รวมกับฐานลูกค้าวอล์กอิน โดยมียอดเฉลี่ยต่อบิลราว 2-3 หมื่นบาทต่อคน
ก้องภพ กล่าวว่า KIKI Beauty Space ต้องการแก้ Pain Point ของลูกค้าที่อยากทำผม ทำเล็บ และต่อขนตาในที่เดียว ไม่ต้องทำจากร้านหนึ่งและไปอีกร้านหนึ่ง โดยสร้าง Convenient และ Experience มีทุกบริการในที่เดียว โดยให้ความสำคัญกับคุณภาพของการบริการ ที่สำคัญแบรนด์ต้องมี Back Office ที่แข็งแกร่ง เพราะซาลอนไม่ใช่ธุรกิจแบบ Fast Industry กว่าที่คนจะตัดสินใจมาใช้บริการ KIKI Beauty Space จึงให้ความสำคัญกับ Data เป็นอย่างมาก เพราะทุกคนที่เดินเข้ามาคือโอกาสในการเปลี่ยนจากลูกค้าใหม่เป็นลูกค้าประจำ

“เราไม่เคยดันราคาเพื่อให้แบรนด์เป็นพรีเมียม แต่ราคาของ KIKI คำนวณจากต้นทุนที่ค่อนข้างสูง ตั้งแต่ผลิตภัณฑ์ที่เลือกใช้ มาตรฐานของช่าง ตลอดจนร้านที่เป็น Prime Location การที่ KIKI อยู่ในตำแหน่งลักชัวรี่จึงไม่ได้เกิดจากราคา แต่มาจากทุกกระบวนการ ความเข้าใจ การวิเคราะห์ และแก้ปัญหาลูกค้าได้อย่างตรงจุด เพื่อให้ลูกค้าประทับใจในการบริการ และกลับมาหาเราซ้ำ”
สำหรับแผนการขยายสาขาในไทยนั้น ก้องภพ เผยว่ายังไม่มีแผนขายแฟรนไชส์ เพราะการควบคุมคุณภาพทำได้ค่อนข้างยาก เนื่องจากแบรนด์อยู่ในตำแหน่งพรีเมียม ความพึงพอใจของลูกค้าจึงเป็นสิ่งสำคัญลำดับแรก ช่างทำผมทุกคนต้องมีมาตรฐานเดียวกันและขั้นตอนการรับบริการต้องเหมือนกัน การรีบขยายสาขาในประเทศจึงยังไม่จำเป็น
“เราไม่ได้อยู่ในยุคที่สาขาเยอะและยอดขายจะเยอะตาม เราไม่ขยายสาขาในไทยเพิ่มแล้ว แต่จะทำอย่างไรให้สร้างมูลค่าของแบรนด์ให้เพิ่มขึ้นได้”
ในทางกลับกัน เมื่อไม่ได้ขยายสาขาใหม่ การรองรับลูกค้าจึงเป็นอีกหนึ่งความท้าทาย ก้องภพจึงเลือกส่งผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ KIKI Beauty ให้เข้าถึงลูกค้าได้ง่ายขึ้นผ่านช่องทางออนไลน์ ตอบโจทย์ให้ลูกค้าไม่ต้องเดินทางมาถึงสาขา ด้วยแนวคิดที่ว่า “ทุกคนสามารถดูแลตัวเองได้ด้วยผลิตภัณฑ์ที่ถูกคิดค้นโดย Salon Professional” และเตรียมวางจำหน่ายในรีเทลด้วยภายในปีหน้า

ในภาพรวมธุรกิจ ก้องภพเผยว่า บริการด้านซาลอนคิดเป็นสัดส่วนรายได้กว่า 80% ของ KIKI อีก 20% คือฝั่งผลิตภัณฑ์ แบ่งเป็น 4 แบรนด์ย่อย ได้แก่ KIKI Hair Care เน้นผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผม, KIKI Care ประเภท Bath & Body, KIKI Perfume ที่เป็นน้ำหอม และ KIKI Cosmo แบรนด์เครื่องสำอางที่คาดว่าจะเปิดตัวในไตรมาส 3 ของปี 2569 และไม่ใช่แค่ผลิตภัณฑ์ที่พัฒนาขึ้นเองเท่านั้น แต่ KIKI ยังเป็นพาร์ตเนอร์กับแบรนด์ต่างประเทศมากกว่า 10 แบรนด์ ซึ่ง ก้องภพ ตั้งเป้าว่าในปี 2569 จะดันสัดส่วนยอดขายจากผลิตภัณฑ์ให้เป็น 50% เพราะเห็นศักยภาพการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญสำคัญ
สำหรับปี 2568 นี้ คาดว่า KIKI จะสามารถทำรายได้ราว 110 ล้านบาท เติบโตจากปีที่แล้ว 20% ส่วนปี 2569 ตั้งเป้ารายได้เติบโตถึง 200% แม้จะเป็นความท้าทาย แต่เชื่อว่าเป็นไปได้ เนื่องจาก KIKI กำลังพัฒนาด้านโปรดักต์ ยอดขายส่วนนี้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญหลังจากเน้นการขายออนไลน์ตั้งแต่ช่วงกลางปีที่ผ่านมา เฉพาะแชมพูอย่างเดียวมียอดขาย 7 หลักต่อเดือน เติบโตขึ้นราว 400% จากเมื่อก่อนที่ยังไม่ได้เน้นการขายออนไลน์
“ยอดขายแชมพูเติบโตขึ้นในพริบตาเพียงแค่ปรับวิธีดำเนินงานใหม่ หรือมีช่องทางใหม่ๆ ในการขายขึ้นมา แค่ระยะเวลาไม่กี่เดือนยังสามารถทำได้เลย ถ้าเราโฟกัสกับสิ่งนี้ มีแนวทางชัด มีการพัฒนาโปรดักต์ออกมาใหม่ สุดท้ายถ้าราคาได้ ของดีจริง ทำไมจะขายไม่ได้ เราไม้ได้ตั้งเป้าแบบเป็นไปไม้ได้ แต่วิเคราะห์มาแล้วว่ามีแนวทางที่จะเป็นไปได้” ก้องภพ กล่าว

เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : ‘เจ้านาง’ ลบภาพจำเดิม ประกาศรีแบรนด์ครั้งใหญ่! ลุยเอาใจ Gen Z พร้อมรุกตลาดสกินแคร์ คาดปีหน้ายอดขายแตะ 800 ล้านบาท
ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine

