Dentiste ควักอีก 140 กว่าล้าน ต่อสัญญา ‘ลิซ่า-ลลิษา’ พร้อมลุย 3 ตลาดหิน ‘อังกฤษ-อเมริกา-ฝรั่งเศส’ - Forbes Thailand

Dentiste ควักอีก 140 กว่าล้าน ต่อสัญญา ‘ลิซ่า-ลลิษา’ พร้อมลุย 3 ตลาดหิน ‘อังกฤษ-อเมริกา-ฝรั่งเศส’

ยาสีฟัน Dentiste ยอมควักอีก 140 กว่าล้านบาท ต่อสัญญา ‘ลิซ่า-ลลิษา’ เพิ่มความแข็งแรงของแบรนด์ พร้อมลุย 3 ตลาดหินในอังกฤษ ฝรั่งเศส และอเมริกา หวังยกแบรนด์สู่ระดับโลกภายใน 3 ปี ส่วนเมืองไทยดึง ‘หมาก-คิมเบอร์ลี’ เป็นพรีเซ็นเตอร์ออกแคมเปญใหม่สัปดาห์หน้า พร้อมเน้นทำตลาด 2 แบรนด์ใหม่เจาะนิชมาร์เก็ต


    เภสัชกร ดร.แสงสุข พิทยานุกุล กรรมการผู้จัดการ Doctor Smooth Life Co.,Ltd, ผู้ผลิตสมูท อี ครีม และยาสีฟันเดนทิสเต้ เปิดเผยว่า บริษัทได้ต่อสัญญากับ ‘ลิซ่า-ลลิษา มโนบาล’ เพื่อเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้กับยาสีฟันเดนทิสเต้อีก 1 ปี ซึ่งค่าตัวอยู่ที่ 4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือราว 140 กว่าล้านบาท

    “การใช้ลิซ่าเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ที่ผ่านมา ทำให้แบรนด์ยาสีฟันเดนทิสเต้แข็งแรงขึ้นมาก การมีแบรนด์แอมบาสเดอร์ที่ดีเหมือนมีที่พิมพ์แบงค์อยู่ที่ออฟฟิศ” ดร.แสงสุข กล่าว

    การมีลิซ่าเป็นพรีเซ็นเตอร์มีส่วนทำให้เดนทิสเต้ประสบความสำเร็จขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง และทำยอดขายในเกาหลีสูงถึง 40% ของรายได้ในต่างประเทศซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 50% ของยอดขายยาสีฟันเดนทิสเต้ทั้งหมดที่มีประมาณ 4,000-5,000 ล้านบาทในปีที่ผ่านมา

    ใน 5 เดือนแรกของปีนี้ ยอดขายของเดนทิสเต้ในต่างประเทศเติบโตถึง 100% จากความสำเร็จในสองตลาดหลัก คือ เกาหลี และในญี่ปุ่น ซึ่งได้ลงทุนจ้างพรีเซ็นเตอร์ญี่ปุ่นด้วยค่าตัวถึง 18 ล้านบาท เพื่อสร้างการรู้จักและจดจำแบรนด์เดนทิสเต้ที่นั่น


    ปัจจุบันเดนทิสเต้ผลิตจากโรงงานในไทย เกาหลี และเยอรมนี จำหน่ายใน 17 ประเทศ รายได้ 40% และ 15% มาจากเกาหลีและกัมพูชาตามลำดับ และที่เหลือเป็นประเทศอื่นๆ

    “หลังจากเจาะตลาดญี่ปุ่น เกาหลี ได้เรียบร้อยแล้ว เราจะพยายามจะไปเติบโตในตลาดที่มีความท้าทายอย่างอังกฤษ ฝรั่งเศสและอเมริกา มากขึ้นในปีนี้ เราจะไม่ใช้นโยบายทุ่มเงินเยอะ เน้นเจาะนิชมาร์เก็ต ขายน้อยแต่กำไรเยอะ” ดร.แสงสุขกล่าว

    ทั้งนี้ ยาสีฟันเดนทิสเต้เข้าไปลองทำตลาดในอเมริกามา 10 ปี และจะเริ่มรุกตลาดอย่างจริงจังในปีนี้ โดยประชากรในอเมริกามี 330 ล้านคน แต่เดนทิสเต้จะเจาะประชากรส่วนน้อยที่มาจากประเทศอื่นๆ ที่มีอยู่ถึง 100 ล้านคนก่อน

    “เราจะเริ่มเจาะคนไทยกว่า 9 แสนคนที่อาศัยอยู่ในอเมริกา ลาว 2 ล้านคน เวียดนาม และเกาหลีอย่างละ 4 ล้านคน เราจะใช้ดิจิทัลเจาะในแต่ละรัฐ คนพวกนี้เปลี่ยนแปลงง่ายเพราะเขาคุ้นเคยกับแบรนด์เดนทิสเต้ และเรามีพาร์ทเนอร์คนไทยจัดจำหน่ายสินค้าอยู่ที่นี่ จึงทราบวิธีที่จะเข้าถึงลูกค้ากลุ่มนี้ แต่ถ้าเราเข้าตามปกติอาจจะต้องใช้เงินถึง 1,000 ล้านบาท” ดร.แสงสุขกล่าว

    สำหรับตลาดในประเทศ เดนทิสเต้กำลังจะเปิดตัวแคมเปญใหม่ในต้นอาทิตย์หน้านี้ โดยมี ปริญ (หมาก) สุภารัตน์ และคิมเบอร์ลี่ แอน โวลเทมัส เป็นพรีเซ็นเตอร์ ตอกย้ำ brand promise ในเรื่องการสร้างความมั่นใจในทุกโมเมนต์ที่ดีที่สุดของลูกค้า

    นอกจากนี้ยังจะโปรโมตสินค้าอีก 2 แบรนด์ คือ Repaire และ Remin ที่ได้วางตลาดไปก่อนหน้านี้ระยะหนึ่งแล้ว เจาะกลุ่มเป้าหมายลูกค้าอายุ 40 ปีที่มีปัญหาเรื่องเสียวฟัน ฟันบาง และฟันกร่อน คาดว่ารายได้บริษัทจะมากกว่า 4,000 ล้านบาท


เปิดคณะเภสัชฯ

    ดร.แสงสุข ในฐานะอธิการบดีสถาบันวิทยาการประกอบการแห่งอโยธยา (IESA) กล่าวว่า ได้เปิดคณะเภสัชศาสตร์ หลักสูตรเภสัชศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาเภสัชกรรมอุตสาหการ ขึ้นในปีนี้ เป็นหลักสูตร 6 ปี ที่เน้นสอนและยกระดับบัณฑิตให้เป็นเภสัชกรที่กล้าคิด กล้าสร้างความเปลี่ยนแปลงในวงการ

    นักศึกษาสามารถเลือกเรียนควบปริญญาตรีและโทเพื่อรับวุฒิ เภสัชศาสตรบัณฑิต (ภ.บ.) และ MBA (Master of Business Administration) ได้ในหลักสูตรเดียว และหลักสูตรนี้ได้รับความเห็นชอบและรับรองสถาบันจากสภาเภสัชกรรมแล้ว

    คณะเภสัชฯ เปิดรับนักเรียนที่จบมัธยมปลายเกรดเฉลี่ย 2.70 จำนวน 25 คน ตั้งแต่วันนี้ถึง 5 สิงหาคมนี้ นักศึกษาที่จบจาก IESA สามารถเข้าสอบและรับใบประกอบวิชาชีพเภสัชกรรมได้ตามปกติ


    ดร.แสงสุข กล่าวว่า เภสัชศาสตรบัณฑิต ของ IESA มีจุดเด่นที่แตกต่างจากสถาบันอื่นๆ ด้วยหลักสูตรที่จะปลูกฝังจิตวิญญาณ “Entrepreneur” ให้กับเภสัชกร ทำให้เภสัชกรเป็น “Pharmapreneur” (Pharmacy + Entrepreneur) ในอนาคต ความเป็น Entrepreneur หรือ ผู้ประกอบการ ไม่ได้หมายถึงการทำธุรกิจเพียงอย่างเดียว แต่มีกรอบความคิด (mindset) ที่กล้าแสวงหาการพัฒนาสิ่งใหม่ กล้าที่จะเปลี่ยนแปลง ซึ่งจะช่วยยกระดับการประกอบอาชีพเภสัชกรรมได้และสร้างความยั่งยืนในการประกอบอาชีพ



เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : เปิดแล้ว MUJI เซ็นทรัล ขอนแก่น สาขาแรกในภาคอีสาน พร้อมเตรียมขยายสู่อุดรธานี

ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine