ซีพีแรม คาดยอดขายปีนี้โต 10% แตะ 3.45 หมื่นล้านบาท กลุ่มอาหารเจและอาหารจากพืชดีมานด์พุ่งต่อเนื่อง เจนใหม่ไม่ได้กินแค่ช่วงเทศกาล ลุยพัฒนาเมนูพร้อมรับประทาน 500 รายการตลอดปี จาก 3 แบรนด์หลัก “วีจี ฟอร์ เลิฟ-เจด ดราก้อน-เลอแปง” ตอบโจทย์พฤติกรรมผู้บริโภคทุกกลุ่ม
วิเศษ วิศิษฎ์วิญญู กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีพีแรม จำกัด คาดการณ์ว่ายอดขายทั้งหมดของซีพีแรมในปีนี้จะอยู่ที่ 3.45 หมื่นล้านบาท เติบโตราว 10% จากปีก่อนที่มียอดขาย 3.11 หมื่นล้านบาท ท่ามกลางสภาพเศรษฐกิจที่ไม่ดีนัก แต่อาหารการกินยังเป็นสิ่งจำเป็นในชีวิต
โดยยอดขายส่วนใหญ่จะมาจากอาหารพร้อมรับประทานที่ผู้บริโภคสามารถกินได้ทุกวัน เช่น กะเพรา ข้าวผัด และกลุ่มเส้นอย่างผัดซีอิ๊ว จากทั้งหมดที่มีไม่น้อยกว่า 500 เมนูตลอดปี ซึ่งถูกพัฒนาขึ้นให้สอดคล้องตามเทศกาลและพื้นที่ต่างๆ ขณะที่ดีมานด์อาหารจากพืชและอาหารเจมีมากขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะช่วงเทศกาลกินเจ ประจำปี 2568 ระหว่างวันที่ 21-29 ตุลาคมนี้
วิเศษ กล่าวว่า ภาพรวมของตลาดอาหารเจในประเทศไทยมีมูลค่ากว่า 4.8 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มีมูลค่าราว 4.5 หมื่นล้านบาท เนื่องจากพฤติกรรมผู้บริโภคอาหารเจในปัจจุบันเปลี่ยนแปลงไปจากอดีตหลายส่วน การกินเจไม่ได้มีเเค่ช่วงเทศกาล 9-10 วันอีกต่อไป หลายคนหันมากินเจนานขึ้น โดยเข้มงวดในช่วงเทศกาล และหลังจากนั้นก็เลือกที่จะกินต่อ เช่น กินเจตรงวันเกิดในสัปดาห์ หรือกินเจในมื้อเช้า เป็นต้น แนวโน้มของผู้บริโภคอาหารเจจึงขยายตัวขึ้น
นอกจากนี้ อายุของผู้บริโภคอาหารเจยังมีสัดส่วนที่น้อยลง คนรุ่นใหม่อย่างเจน Z หันมากินเจโดยไม่ได้มองว่าเป็นการถือศีลหรือทำให้กายใจบริสุทธิ์เท่านั้น แต่ยังมองถึงเรื่องสิ่งแวดล้อม กล่าวคือ การกินพืชผักโดยตรง ดีกว่ากับการนำพืชผักไปเลี้ยงสัตว์ และค่อยกินเนื้อสัตว์อีกทีหนึ่ง ซึ่งเสียทรัพยากรทั้งน้ำ ดิน และเสียเวลามากกว่า

จากดีมานด์ของผู้บริโภคหลายช่วงอายุที่หันมากินอาหารจากพืชและอาหารเจมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้พอร์ตด้านนี้ของซีพีแรมเติบโตขึ้นเช่นกัน โดยยอดขายจากกลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารเจของซีพีแรมเติบโตมากกว่า 6% ทั้งประเทศตลอดปี และเติบโตมากกว่า 10% ในช่วงเทศกาลกินเจที่กำลังดำเนินอยู่
“ซีพีแรมเพิ่มเมนูใหม่ต่อเนื่อง ในปีนี้ได้พัฒนาเมนูเจกว่า 50 รายการ ภายใต้ 3 แบรนด์หลัก ได้แก่ วีจี ฟอร์ เลิฟ, เจด ดราก้อน และ เลอแปง ทั้งกลุ่มอาหารกล่องแบบคาวและเบเกอรี่เพื่อขายในเทศกาลกินเจ ตัวอย่างเช่น จังหวัดภูเก็ต ที่มีการจัดงานประเพณีถือศีลกินผักอย่างยิ่งใหญ่ เมนูอาหารเจที่ขายดี ประกอบด้วย กะเพรา คั่วกลิ้ง ผัดหมี่ซั่ว และ พริกแกงหมูกรอบ เป็นต้น ซึ่งอาจเป็นเนเจอร์ของคนใต้ที่ทำให้เมนูอุ่นเผ็ดขายดีมาก”
เนื่องจากคนรุ่นใหม่มีโอกาสเลือก และต้องการเห็นวิวัฒนาการของอาหาร อยากเห็นการฟิวชั่นโดยนำวัตถุดิบและการผลิตที่เชื่อมโยงกันระหว่างท้องถิ่นแต่ละแห่ง เพราะฉะนั้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์ของซีพีแรมจึงมุ่งไปที่การสร้างทางเลือกและความหลากหลาย
“พอร์ตอาหารเจและอาหารจากพืชของซีพีแรมจะใหญ่ขึ้นแน่นอน ทั้งด้านปริมาณและความหลากหลาย จุดเด่นของซีพีแรมคือความสะดวก กินได้ 24 ชั่วโมง อยู่ที่ไหนก็ซื้อได้ ตลอดจนความสะอาดวัตถุดิบ ปลอดภัย ราคาจับต้องได้ และความเชื่อมั่นที่ผู้บริโภคมีต่อองค์กร” วิเศษ กล่าว

วิเศษ กล่าวอีกว่า แต่ในทางกลับกัน ความท้าทายยุคปัจจุบันคือ ผู้บริโภคเบื่อเร็วและมีความต้องการมากขึ้น โจทย์คือจะทำอย่างไรให้ของกินสะดวกยิ่งขึ้น ในอนาคตซีพีแรมคิดไปถึงขั้นว่าฉีกซองแล้วกินได้เลยไม่ต้องรอเวฟ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคทุกด้าน
อีกประเด็นสำคัญคือผู้บริโภคแต่ละเจนมีความต้องการแตกต่างกันอย่างชัดเจน ด้วยสภาพร่างกาย บางคนต้องการอาหารสำหรับเบาหวาน บางคนต้องการไฮโปรตีน เป็นต้น สิ่งเหล่านี้เป็นความท้าทายใหม่ๆ ที่ซีพีแรมต้องหาจุดที่พร้อมจะตอบสนองผู้บริโภค
“ธุรกิจอาหารทำแล้วไม่เคยจบ และเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทั้งวัยเด็ก วัยกลางคน วัยผู้สูงอายุ ไม่มีใครอยากกินอะไรซ้ำ เราต้องหาอาหารที่เหมาะกับคนทุกเจน และจะต้องพัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่อง อาหารต้องมีความปลอดภัย ไม่มีสารอันตราย ใช้วัตถุดิบที่มีโภชนาการ และมีประโยชน์ด้วย ที่สำคัญคือต้องอร่อย คุณภาพอาหารจึงเป็นสิ่งที่เรายึดมั่นเสมอ และจะทำให้ดีขึ้นเมื่อมีโอกาส” วิเศษ กล่าว
ทัังนี้ ซีพีแรมได้ร่วมสนับสนุนและสืบสานศรัทธา 200 ปี “ประเพณีถือศีลกินผัก” ณ จังหวัดภูเก็ต ระหว่างวันที่ 21-29 ตุลาคม 2568 ซึ่งเป็นหนึ่งในเทศกาลกินเจที่ยิ่งใหญ่และได้การยอมรับในระดับสากล เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสืบทอดวัฒนธรรมอันทรงคุณค่า จาก 50 เมนูเจ ภายใต้ 3 แบรนด์หลัก ได้แก่ วีจี ฟอร์ เลิฟ, เจด ดราก้อน และ เลอแปง มอบประสบการณ์ที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้จากงานเทศกาลสู่ทุกบ้าน ทุกครัวเรือน

เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : MALEE ปรับวิสัยทัศน์ใหญ่ ตั้งเป้าสู่บริษัทสุขภาพระดับโลก ลุยสร้างสินค้า ขยายตลาดใหม่ ตั้งเป้าโต 10-15% ในปี 2026-2028
ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine


