บมจ. ซีพี แอ็กซ์ตร้า (บริษัทฯ หรือ CPAXT) โชว์ผลการดำเนินงานปี 2566 โตแข็งแกร่ง โดยในไตรมาส 4/2566 ทำรายได้รวม 128,613 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 3,282 ล้านบาท โตขึ้น 33% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนผลการดำเนินงานปี 2566 ทำรายได้รวม 489,949 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 8,640 ล้านบาท โต 4% และ 12% จากปีก่อน ตามลำดับ
ธานินทร์ บูรณมานิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซีพี แอ็กซ์ตร้า จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่าผลการดำเนินงานปี 2566 ทำรายได้รวม 489,949 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 8,640 ล้านบาท โต 4% และ 12% จากปีก่อน ตามลำดับ โดยในไตรมาส 4 ปี 2566 ถือเป็นไตรมาสที่มีผลการดำเนินงานดีที่สุดในรอบปีที่ผ่านมา จากปัจจัยบวกหลายด้าน อาทิ
1.ยอดขายสาขาเดิม (Same Store Sale) และการเปิดบริการสาขาใหม่ พร้อมปรับโฉมสาขารูปแบบใหม่ที่มีต่อเนื่องทั้งปีของทั้งแม็คโคร-โลตัส
2.การเพิ่มสัดส่วนยอดขายนอกสาขา ผ่านแอปพลิเคชัน Makro PRO, Lotus's SMART App และทีมนักขาย (B2B Salesforce) ที่เพิ่มขึ้น 38% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยการขยายบริการจัดส่งสินค้าได้ในวันเดียว (Same Day Delivery)
3.สินค้าอาหารสดเติบโตดีอย่างต่อเนื่อง
4.การเพิ่มพื้นที่ให้เช่าจากการปรับพื้นที่ศูนย์การค้า
ล่าสุด เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2567 คณะกรรมการบริษัทฯ มีมติให้เสนอที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2567 เพื่ออนุมัติจ่ายเงินปันผลประจำปี 2566 ในอัตรารวม 0.57 บาทต่อหุ้น เมื่อหักการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในอัตรา 0.18 บาทต่อหุ้นที่บริษัทฯ ได้จ่ายไปแล้ว คงเหลือเป็นเงินปันผลที่จะจ่ายอีกในอัตรา 0.39 บาทต่อหุ้น
ด้านแผนการดำเนินงานในปี 2567 บริษัทฯ และบริษัทย่อย ตั้งเป้ายอดรายได้โตต่อเนื่อง จากการขับเคลื่อนกลยุทธ์ในด้านต่างๆ
-การขายนอกร้าน โดยมีเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนยอดขายรวมเป็น 15% ภายในปีนี้ ซึ่งการขายผ่านแอปพลิเคชัน คาดว่าจะโตแบบก้าวกระโดด จากการเพิ่มความหลากหลายของสินค้า พัฒนาด้านบริการ และการขยายพื้นที่ให้บริการลูกค้าด้วยการใช้จุดแข็งของธุรกิจค้าส่งและค้าปลีกที่มีสาขารวมกันกว่า 2,600 แห่งทั่วประเทศ เป็นจุดกระจายและจัดส่งสินค้า กลยุทธ์เชิงรุกที่สำคัญคือการเดินหน้าพัฒนาทีมนักขายนอกร้านกว่า 1,400 คน ที่มีความเข้าใจ เข้าถึงลูกค้า เพื่อให้บริการแก่กลุ่มลูกค้าผู้ประกอบการได้อย่างครอบคลุม
-ตอกย้ำความแข็งแกร่งด้านอาหารสด ต่อยอดพัฒนาอาหารพร้อมปรุง และอาหารพร้อมทาน รวมทั้งการสรรหาสินค้าอุปโภคบริโภคที่หลากหลาย เพื่อสร้างความแตกต่างหลากหลาย พร้อมตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนยอดขายสินค้าภายใต้แบรนด์ของบริษัทฯ (Private Label)
-วางแผนปรับโฉมสาขา และขยายสาขาเชิงรุก ทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อสร้างเครือข่ายศูนย์กลางชุมชนให้เป็นศูนย์รวมการใช้ชีวิตแบบสมาร์ทของคนทุกวัย
โดยปีนี้เตรียมขยายในหลายรูปแบบและขนาดต่างๆ ตามกลุ่มลูกค้าแต่ละพื้นที่ทั่วประเทศ ในส่วนของแม็คโครวางแผนขยาย 6-8 สาขา ส่วนโลตัสเตรียมขยายสาขาใหม่ในประเทศไทยและมาเลเซียมากกว่า 100 สาขา
นอกจากนี้ การปรับโครงสร้างภายในกลุ่มธุรกิจโดยการผนึกกำลังธุรกิจค้าส่งแม็คโคร และธุรกิจค้าปลีกโลตัส มาอยู่ภายใต้บริษัทเดียวกันนั้น ยังเป็นการนำศักยภาพของทั้ง 2 แบรนด์มาสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวก เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการกิจการและการบริหารทรัพยากร ลดความซับซ้อนของโครงสร้างการถือหุ้นและโครงสร้างองค์กรภายในกลุ่มบริษัทฯ
อีกทั้งขยายการสนับสนุนเกษตรกรท้องถิ่น ผู้ผลิตรายย่อย และธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) โดยขับเคลื่อนธุรกิจสู่ความยั่งยืนครอบคลุมทุกมิติ ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม เห็นจากผลลัพธ์การสร้างรายได้ สร้างอาชีพให้ผู้คนในสังคม โดยปีที่ผ่านมามีการสร้างงานผ่านหลายมิติกว่า 90,000 ราย ด้านเกษตรกรท้องถิ่น แม็คโคร-โลตัส สนับสนุนรับซื้อผักและผลไม้จากเกษตรกรกว่า 9,800 ล้านบาท
รวมทั้งจัดกิจกรรมอบรมถ่ายทอดความรู้ในการพัฒนาทักษะ เพิ่มศักยภาพให้สามารถแข่งขันในตลาดได้ อีกทั้งเดินหน้าโครงการเพื่อสังคมและสิ่งแวดล้อมด้านต่างๆ อาทิ การใช้พลังงานสะอาด อาหารดีพี่ให้น้อง อาหารอิ่มสุข และกิจกรรมช่วยเหลือสังคมอีกมากมาย เรียกว่ารวมพลังแบบคูณสอง ตอกย้ำเจตนารมณ์การเป็นองค์กรที่ดำเนินธุรกิจเพื่อความยั่งยืน
เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : CRC ห่วงค้าปลีกไทยโตต่ำกว่า GDP หลังสินค้าจีนบุกหนัก เตรียมอัดฉีด 2 หมื่นล้านขยายธุรกิจในไทย
ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine